บทนำ 1 ถือกำเนิด บทนำ ****************************************************************** แอ๊ !! คลอดแล้ว เด็กคลอดแล้วนายท่าน เสียงร่ำร้องตะโกนอย่างดีอกดีใจของหมอตำแยวัยชราดังขึ้น จริงหรือท่านหมอ เด็กผู้ชายชายหรือผู้หญิงละ ลูกชายเจ้าค่า อ้วนท้วนสมบูรณ์มากเลยเจ้าค่ะ รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของชายวัยกลางคน ผู้เฝ้ารอการทำคลอดนี้มาเนิ่นนานด้วยใจที่เต้นไม่จังหวะ ลูกชาย!! เราได้ลูกชาย ชายวัยกลางคนผู้เป็นพ่อร่ำร้องออกมาอย่างลืมตัว ตามด้วยเสียงโห่ร้องและหัวร่ออย่างมีความสุขของผู้เป็นพ่อ เสียงหัวร่ออย่างมีความสุข กระตุ้นให้ผู้คนเบื้องนอกรู้ตัวขึ้น เหล่าผู้มาให้กำลังใจทั้งหลายเมื่อได้ยินว่าได้ลูกชาย ต่างโห่ร้องกันสะเทือนเลือนลั่น ท่านเจ้าเมืองได้ลูกชาย ท่านเจ้าเมืองได้ลูกชายแล้ว!! (เฮ) พวกเรา เตรียมฉลอง! (เฮ เฮ) ประทัด!! จุดประทัดด้วย ดอกไม้ไฟที่ดีที่สุด นำดอกไม้ไฟที่ดีที่สุดออกมา (เฮ) สุราเล่า เอาสุรา เอาเนื้อ ออกมาเลย!! (เฮ เฮ เฮ) ผัก ผักเล่า!! ผักไม่ต้อง! (เฮ เฮๆๆๆๆๆๆๆๆ) ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้คนนับร้อยนับพันที่มาเฝ้ารอการทำคลอดครั้งนี้ ทันใด ประตูบ้านหมอตำแย่พลันเปิดออก ชายผู้เป็นพ่อเดินอุ้มเด็กทารกน้อยแรกเกิดออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานเป็นที่สุด เหล่าผู้คนเมื่อเห็นดังนั้นพลันระเบิดเสียงเสียงต้อนรับดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ บ้างกระโดดโลดเต้น บ้างสาดสุราขาวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า บรรยากาศช่างครึกครื้นเป็นยิ่งนัก ท่านเจ้าเมืองในสภาพมือขวาอุ้มลูกชาย มือซ้ายของท่านพลันเหยียดออก และยื่นออกมาด้านหน้า พลันประกาศเสียงกึกก้องออกมาดังๆว่า พี่น้องทั้งหลาย วันนี้ ถือเป็นวันที่ดี สมดังที่เรารอคอยมาเนิ่นาน พี่น้องทั้งหลายคงเหนื่อยกันมามากแล้ว เราขอขอบคุณ สำหรับกำลังใจอันล้นพ้นของท่าน เป็นอย่างสูง ( เสียงเฮพลันดังขึ้นทันใด) วันนี้เรารอคอยมาร่วมเก้าเดือนเต็มๆ เก้าเดือนแห่งความว้าเหว่ แต่เช่นนั้น กลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับวันนี้ ท่านเจ้าเมืองชูทารกน้อยขึ้นพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงที่ก้องกังวาลดังสะท้านรอบบริเวณ ว่า นี่คือ! บุตรชายของเรา เด็กชายผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเรา! ทายาทแห่งพรพรห์มสถาน เสียงโห่ร้องดังขึ้นกึกก้องไปทั่วแคว้นบริเวณ หยุดเล็กน้อย เจ้าเมืองหนุ่ม พลันประกาศเสียงดังกึกก้อง ต่อว่า เราจัก ขนานนามมันว่า ไชยอินทร์ บุตรแห่ง นารธา บุตรแห่ง วัลลี!! ทันใด ณ โมงยามนั้นเอง เสียงโห่ร้องพลันดังขึ้นทวีคูณ ปรากฏลำแสงสีส้มจากประทัดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เหล่าผู้คนทั่วทั้งเมืองต่างจุดพลุแสดงความยินดี สุรา อาหาร ถูกลำเลียงเข้ามาภายในพระราชวังไม่ขาดสาย งานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของบุตรชายหัวปีแห่งกษัตริย์นารธาพลันเริ่มขึ้นในทันใด เหล่าทหารม้า ทหารราบพลันเคลื่อนขบวนสวนสนามอย่างสวยงามและยิ่งใหญ่ เสียงแตร เสียงกลอง และหลอดเขา ดังกึกก้องสะท้านขึ้นทั่วแว่นแคว้น ชาวเมืองทั้งเมืองต่างจัดงานเฉลิมฉลองยินดีต่อการถือกำเนิดบุตรชายของกษัตริย์แคว้นพรพรห์มอย่างยิ่งใหญ่ ทุกบ้านช่อง ต่างปรากฏแสงไฟ เจิดจ้ากลบความมืดยามค่ำคืนไปเสียทุกย่อมหญ้า แว่วเสียงโห่ร่อง และ ขานรับไปมาของ พลทหารไม่ขาดสาย เสียงกระหึ่มของการประสานเสียงพลันดังขึ้นอย่างยาวนาน จนคนรอบด้านแทบต้องอุดหูฟัง องค์ชายไชยอินทร์ กษัตริย์นารธา ราชินีวัลลี ขบวนประสานเสียงยังวนเวียนอยู่อย่างนั้น รอบแล้วรอบเล่า คล้ายดั่งเป็นความตั้งใจที่ต้องการให้เสียงเรียนขานนั้นประทับอยู่กลางฟ้าไม่จางหายไป ทั้งเสียงย่ำเท้าของเหล่าทหารหาญ เสียงทวนที่เคาะเกราะและโล่ ยิ่งแสดงถึงความน่าเกรงขาม ไม่มีชาวเมืองบ้านใดที่ยังคงปิดตาหลับนอนได้ในเวลานี้ มันคือ โมงยามแห่งการเฉลิมฉลองอย่างแท้จริง . เสียงร่ำร้องและโห่ร้องยังดังลั่น สะท้อนไปมาตามแนวหุบเขาอยู่อย่างนั้น สะท้อนก้องกังวาลไปทั่วทุกบริเวณ ท่ามกลางความมืดแห่งป่าเขาพนาไพร ปลุกมวลหมู่เหล่าวิหคนกกาให้แตกตื่นยามค่ำคืนจากการหลับฝัน แต่ท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริงและการเฉลิมฉลองทั้งหลาย ยังคงมีบ้านหลักเล็กหลังหนึ่งท่ามกลางป่าทึบห่างไกลพระราชวังและตัวเมือง ณ ที่นี้เสียงแห่งการเฉลิมฉลองไม่อาจดังมาถึงได้ คงเหลือแต่เพียงความเงียบสงัดของป่ายามค่ำคืนเพียงเท่านั้น พระจันทร์กลางท้องฟ้าเพียงสาดส่องอย่างอ่อนแสงลงมาเพียงเท่านั้น ไร้ซึ่งเส้นเสียงสำเนียงใดๆ ภายใต้เงามืดของกระท่อมน้อยกลางป่า ปรากฏแสงตะเกียงริบหรี่แดงระเรื่อ ในบ้านไม้ที่ซ่อมซ่อไร้เครื่องเรือนใดๆ เพียงมีโต๊ะอาหารและเตียงไม้เท่านั้น ปรากฏหญิงสาวนางหนึ่งนอนร่ำไห้อยู่อย่างเดียวดายไร้ผู้คนสนใจ เสียงนางร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส ใครเล่าจะเข้าใจ เหตุใดนางถึงได้ทรมานมากเพียงนี้? กระท่อมของนางแม้จะอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขา ห่างไกลตัวเมือง แต่ หญิงสาวกลับไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงร่ำไห้อย่างที่ใจนางต้องการ สิ่งที่ทำให้ทราบว่านางกำลังร่ำไห้อยู่นั้น มีเพียงประกายน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาที่หยีติดกันอยู่เพียงเท่านั้น มันเป็นความเศร้าโศกที่ไม่อาจจะเปิดเผย คงมีเพียงแต่นางเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จำต้องทนรับชะตากรรมอันโหดร้ายเช่นนี้ หญิงสาวผู้อาภัพยิ่งนัก . ข้างกายนาง มีทาริกาน้อยน่ารัก พริ้มตาทั้งสองแอบอิงในอ้อมอกผู้เป็นมารดา ทาริกาน้อยนอนหลับไหลอยู่อย่างเงียบงัน ไม่ทราบถึงเรื่องราวๆใด ที่เกิดขึ้นข้างกายนาง ไม่อาจแม้แต่จะเข้าใจว่า น้ำอุ่นๆที่ไหลลงบนใบหน้าน้อยๆของนางนั้นคือน้ำอะไร? นางเพียงหลับฝันอยู่เท่านั้น และคงไม่ทราบว่านางกำลังฝันถึงเรื่องใด อนาคต? บิดา มารดา? ชื่อเสียงเรียงนามที่นางปราถนา? คำเยินยอสรรเสริญ? ความทุกข์ ความสุข? ใดๆ ตอนนี้นางอาจล้วนไม่เข้าใจ เพียงหวังว่า เมื่อนางเติบใหญ่ อย่าได้เข้าใจมันคงประเสริฐที่สุด แต่ชะตากรรมคงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ใครเล่าจะหลีกเลี่ยง สิ่งที่เรียกว่า โชคชะตาได้? ผู้สร้าง ได้สร้างนางมาอย่างไร หรือนางจะปฏิเสธหนทางที่ผู้สร้างขีดร่างไว้ได้เช่นนั้นหรือ? นั่นหาใช่เพียงแต่ทาริกาน้อยยามเมื่อเติบโตไม่ แม้แต่ผู้เฒ่าชราวัยสุดท้ายอาจยังคงไม่อาจหลีกหนีกงล้อแห่งชะตากรรมไปได้ ทาริกาน้อยผู้น่าเอ็นดู ทาริกาน้อยผู้อาภัพยิ่งนัก จากวันและคืน วันเวลาได้ล่วงเลยผ่านพ้นไปร่วมสิบปี นับตั้งแต่การถือกำเนิดองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นพรพรห์ม หนึ่งในสี่แคว้นมหาอำนาจแห่งผืนแผ่นดินโลก วันเวลาที่ล่วงเลย แปรเปลี่ยนชายหนุ่มเข้าสู่วัยกลางคน แปรเปลี่ยนชายวัยกลางคนเข้าสู่วัยชรา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแตกต่างจากที่เคยเป็นมาทั้งหมด สิบปีแล้วสินะ เสียงรำพึงเบาๆอย่างอ่อนล้าดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเหงา ร่างนั้นนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนาน แสงตะเกียงสีส้มอ่อนๆข้างกายสะท้อนแสงอย่างอ่อนแรงในความมืดมิดรอบบริเวณ เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครา ลมเย็นยามดึก พัดลู่ไหวตามแมกไม้ พัดผ่านกระทบสู่ผิวกาย ถึงแม้จะหนาวเหน็บจนลมหายใจพวยพุ่งเป็นไอสีขาว แต่นั่นกลับไม่ทำให้ร่างนั้นสั่นคลอนแม้แต่น้อย ร่างที่บอบเบาแต่แข็งแกร่งดุจขุนเขา ผ่านไปเนิ่นนาน ทันใด แสงจันทร์สีเหลืองอ่อนฉายวาบพ้นหมู่เมฆยามดึกสงัด ให้ความสว่างไสวแก่ทุกสิ่งบนพื้นโลกนี้ ลมหนาวยิ่งพัดยิ่งหนาวเย็น นกฮูกตัวมหึมาบินโฉบฉวัดเฉวียนเพื่อล่าเหยื่อโอชะในเวลาค่ำคืน เสียงใบใม้ยามมันบินโฉบผ่านบังเกิดเป็นเสียงเกรียวกราวชวนให้สนใจแก่ร่างนั้นยิ่งนัก นกฮูก ร่างนั้นเอื้อนเสียงที่แหบพร่าออกมาเบาๆทันทีที่ได้ยินเสียง เจ้ามีอิสระที่จะทำอะไรต่างได้ในยามค่ำคืน เราอิจฉาเจ้าเหลือเกิน เหตุใดเราจึงไม่อิสระในเวลาของเราบ้าง เหตุใดเราจึงต้องเป็นเช่นนี้น่ะ สิ่งใดกันที่ล้วนแปรเปลี่ยนให้เรื่องราวกลับกลายเป็นโหดร้ายถึงเพียงนี้? มันคืออะไรเล่า? ความโลภ ความกระหาย ความเย่อหยิ่งเช่นนั้นหรือ . โอ ช่างทุกข์ทรมานยิ่งนัก คับข้องใจยิ่งนัก ชายผู้โดดเดี่ยวท่ามกลางความมืดนิด กลับไม่ทราบผ่านพบเรื่องราวยากลำบากเท่าใดมา เห็นใบหน้ามันที่เคยเปล่งปลั่งเต็มไปด้วยสง่าราศีในเมื่อครั้งอดีต ยามนี้ กลับปรากฏแต่ริ้วรอยแห่งความเศร้าหมอง หางตามันดำคล้ำ ผมที่เคยดกดำ ยามนี้ปรากฏสีขาวแซมขึ้นประปรายแล้ว ชายผู้นี้กลับเป็น กษัตริย์แห่งแคว้นพรพรห์ม นาม พฤกษานารธา ชายผู้กุมอำนาจทั่วแคว้นไว้ในมือนั่นเอง เหตุใดมันถึงใดโดดเดี่ยว ไร้ซึ่งพลังในการดำรงชีวิตถึงเพียงนี้? เรื่องราวใดที่ทำร้าย ชายผู้เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของผืนแผ่นดินโลก หนึ่งในมหาราชาแห่งแคว้นพรพรห์มอันกว้างใหญ่ ได้ถึงเพียงนี้ มันทุกข์ทรมานใจด้วยเรื่องอันใด? ใครเล่าจะทราบ นอกจากตัวมันเอง หรือ อาจบางที แม้แต่ตัวมันเองก็ไม่ทราบ ว่ามันทุกข์ใจด้วยเหตุอันใด ที่ทราบคืออาการปวดร้าวอย่างรุนแรงบริเวณทรวงอกอันเป็นที่ตั้งของหัวใจเพียงเท่านั้น เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครา ยังคงเหนื่อยหน่ายอยู่อย่างนั้น ************************************************************************* สายชลธารเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ สะท้อนแสงสีน้ำเงินอ่อนๆท่ามกลางแสงอาทิตย์อุทัยยามเช้าในฤดูหนาว ลมหนาวพัดพาจากตะวันออกสู่ตะวันตก สายลมที่นำพาให้เหล่าผู้คนสัญจรรู้สึกโดดเดี่ยวและว้าเหว่ เสียงใบไม้หลุดล่วงลงสู่ธรณีสีน้ำตาลอ่อน ทันทีที่มันตกลงสู่เบื้องล่างก็ถูกพัดพริ้วขึ้นอีกครา คล้ายดั่ง พระหัตย์อันเย็นเยียบของพระพาย ผู้นำพาความหนาวเย็นสู่ทุกหย่อมหญ้ากำลังหยอกล้อกับมัน ต้นอ่อนของหมู่ไม้ยามหน้าหนาวหยอยพุดขึ้นตามพื้นดิน คล้ายเด็กแรกเกิดที่สดใส บันดาลให้ผู้พบเห็นอบอุ่นชื่นใจขึ้นบ้างท่ามกลางลมหนาว ยามเช้าเช่นนี้ผู้คนแม้จะยังงัวเงียซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม แต่ยังปรากฏดรุณีน้อยนางหนึ่งยังง่วนอยู่ภายใต้บรรยากาศที่เสียดผิวกายเช่นนี้ นางเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบซักเท่าใด เสื้อผ้าของนางถักขึ้นมาจากผ้าป่านเก่าๆตัวนึง ซึ่งสวมใส่ได้เพียงแค่ชั้นเดียวก็ไม่สามารถใส่ชุดอื่นสวมทับได้อีก เนื่องจากเสื้อเหล่านั้นล้วนมีขนาดใหญ่เกินตัวของนางมากเหลือเกิน ลมหายใจสีขาวพวยพุ่งอย่างเร่งร้อน คล้ายเพิ่งผ่านความเร่งรีบมาได้ไม่นานร่างกายจึงระบายอากาศออกมาอย่างรวดเร็วอยู่ ฝีเท้าที่หนักอึ้ง กลางหลังนางสะพายตะกร้าสานใบนึง ใบตะกร้าสานบรรจุไว้ด้วยสมุนไพรต่างๆที่งอกเงยใบเวลานี้ ทางเดินที่นางเดินเต็มไปด้วยพืชหญ้านานาพันธุ์ สายตาของนางก็สำรวจพืชหญ้าเหล่านั้นอย่างไม่หยุดยั้ง ดังคล้ายลืมเลือนว่าลมหนาวกระทบกายนั้นเป็นเช่นไร นางสอดส่ายสายตาอยู่เพียงชั่วครู่ ก็ อุทาน ดังๆ ออกมาครานึง แล้ววิ่งปราดไปเบื้องหน้า คล้ายดั่งนางได้พบเห็นอันใดแล้ว เจอแล้ว! ข้าพเจ้าเจอมันแล้ว หาอยู่เนิ่นนานในยามหนาวเช่นนี้ พร้อมกับเอื้อมมืออันบอบบางไปถอนต้นหญ้าต้นนั้นอย่างแผ่วเบา เจ้ากลับมาหลบอยู่ที่นี้ แทบก่อกวนจนข้าพเจ้าคลั่งตายเสียแล้ว ท่าทางนางปรีดา และ สดใสอะไรเช่นนั้น ท่านแม่ ดื่มยาสิคะ ดรุณีน้อยวัยสิบขวบประคองถ้วยยาซึ่งเคี่ยวไว้ ส่งถึงปากหญิงวัยกลางคนท่าทางอิดโรย ผมแห้งกรัง ซึ่งทั้งร่างคล้ายโครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนัง ตลอดทั้งร่างนางอยู่ภายใต้ผ้าห่มกระสอบป่าน ทั้งร่างกายเพียงโผล่พ้นออกมาเหนือช่วงไหล่ขึ้นไปเท่านั้น หญิงผู้เป็นมารดาลืมตาที่อ่อนแรงขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย อย่างยากเย็น ข้าพเจ้าสอบถามคนเดินทางผู้นั้น ได้ความมาว่า หญ้าชนิดนี้สามารถแก้โรคของท่านแม่ได้ ถึงยาจะมีรสขมฝาดยิ่ง แต่เป็นยาดีนะคะ เด็กหญิงน้อยวัยสิบขวบพูดอย่างไม่หยุดปาก คล้ายดั่งนางกลัวว่ามารดานางไม่ยอมรับประทานยาเข้าไปเพราะมันมีรสชาติขม ดังที่นางลองชิมมาแล้ว โอ ลูกแม่ มารดา ผู้เจ็บป่วยรำพึงเบาๆ ออกมา พร้อมสายตานางเฝ้ามองบุตรี ได้บังเกิดแสงสะท้อนแวววาบจากน้ำตาที่เอ่อล้นรอบดวงตาของนาง หนูลำบากมากแล้ว ลูกน้อยของแม่ นางกล่าวพลาง บังเกิดน้ำตาสองสายไหลรินออกจากดวงตาที่อ่อนแรง ยาสีเขียวรสชาติขมฝาดบรรจงไหลจากขอบถ้วยเข้าสู่ภายในกระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าของมารดา ดรุณีน้อยยิ้มอย่างร่าเริงเมื่อเห็นว่ามารดารับประทานถ้วยยาที่ตัวเองอุตส่าห์มานะหามาปรุงเพื่อรักษาได้ ทันทีที่ยาหมดจากถ้วยดินเผา มารดาก็เอนหลังพริ้มตาลงอย่างช้าๆ ดรุณีน้อยเห็นดังนั้นอดครุ่นคิดไม่ได้ถึงวันที่มารดานางหายดีเป็นปกติ รอยยิ้มรอบมุมปากของนางช่างดูไร้เดียงสากระไรเช่นนั้น ข้าพเจ้าต้องออกไปขอบคุณ ชายผู้นั้น นางคิดได้ดังนั้นก็จัดแจงห่มผ้าให้มารดานอนพักผ่อน แล้วหันกายหมายวิ่งออกจากบ้านไป มารดานางเห็นดังนั้น พลันกล่าวเสียงแหบพร่าว่า ลูกอย่าออกไปเลย อากาศหนาวเช่นนี้มันอันตราย ลูกยังเด็กเกินไปนัก ข้าพเจ้าจะรีบไปรีบมาคะแม่ กล่าวจบนางก็วิ่งตะยึงออกจากบ้านไปในทันที มารดานางมิอาจห้ามอย่างไรได้จึงพริ้มตาลงหลับต่อ ได้แต่ปล่อยให้นางออกไป จากบ้านไม้กลางหมู่พฤษชาติ ดรุณีน้อยวิ่งแล่นอย่างเบิกบาน ผีเสื้อสดใสโบยบินดูดน้ำหวานตามใบไม้ ดอกไม้สีแดงสดเบ่งบานสะพรั่งรับอากาศยามเช้า นางหยุดชมดูผีเสื้อสดใสอย่างเบิกบานใจ คล้ายดั่งโลกนี้แปรเปลี่ยนไปอย่างมากมาย แม้นางจะสวมเพียงเสื้อปอเก่าขาดๆซึ่งสมควรจะหนาวเหน็บมากในยามนี้ แต่เวลานี้ลมหนาวกลับไม่อาจทำอย่างไรกลับนางได้แม้แต่น้อย เจ้าช่างสวยงามเหลือเกิน นางจ้องมองผีเสื้อ เห็นปีกมันประกอปด้วยลวดลายหลายหลายสี จากนั้นสายตานั้นพลันเหลียวมองเสื้อผ้าปอเกาขาดกระรุ่งกระริ่งของตัวเอง พลันเงยหน้ายิ้มแย้มสุดหัวใจ กล่าวว่า ช่างปะไร! ข้าพเจ้าขอเพียงได้อยู่กับแม่ก็เพียงพอแล้ว เท่านี้ก็มีความสุขที่สุดในโลกแล้ว นางช่างไร้เดียงสากระไรปานนั้น ดรุณีน้อยผู้น่ารัก เสียงหัวร่ออันสดใสดั่งระฆังทองกระจรกระจายไปรอบบริเวณ หมู่พรานป่าผู้เดินทางสัญจรทั้งหลายด่างหยุดยั้งหันมามองตามนาง พร้อมกับยิ้มแย้ม ทักทาย หัวเราะไปพร้อมกับท่าทางของนาง ด้วยพรานป่าเหล่านี้เป็นที่รู้จักมักคุ้นกับนาง ไม่มีผู้ใดที่ไม่เอ็นดูนางเลยเนื่องด้วยนางช่างสดใสไร้เดียงสาเหลือเกิน ไร้มลทินในจิตใจใดๆ ท่ามกลางหมูดงพฤกษาที่อ่อนล้าจากลมหนาว พลันปรากฏคนผู้หนึ่งเหม่อมองมาทางดรุณีน้อยอย่างซึมเซา ถึงแม้พุ่มไม้สูงหนาตาแต่ยังคงสังเกตได้ว่าคนผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง แผ่นหลังหนาช่วงบ่ากว้างใหญ่ ประกอปไปด้วยรัศมีแห่งผู้สูงศักดิ์ ดูไปไม่คล้ายกับพรานป่าธรรมดาๆ แต่มันกลับแต่งตัวซ่อมซ่อยิ่งกว่าพรานป่าธรรมดาๆคนนึง ลมหนาวที่เยือกเย็นไม่อาจทำให้จิตใจอันร้อนระอุของมันในยามนี้สั่นคลอนได้ แววตาที่สุกใสสะท้อนประกายเงางาม ปากที่เรียวบางรายล้อมไปด้วยหนวดเคราปรากฏรอยยิ้มแห่งความหวังขึ้น ดูๆไปอายุมันประมาณสี่สิบเศษๆเท่านั้น มันกลับเป็น พฤกษานารธา กษัตริย์แห่งพรพรห์มผู้นั้นอีกแล้ว มันยืนเฝ้าดูดรุณีน้อยอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่ดรุณีน้อยจะเดินหายลับไปกับดงไม้ มันจึงค่อยๆหันหลังกลับไปอย่างช้าๆ หัวใจของมันยามนี้ชุ่มชื่นเบ่งบานยิ่งเหลือเกิน ไม่ต่างจากดรุณีน้อยเลยแม้สักนิดเดียว เงาร่างอันสูงสง่าเดินหายลับอย่างแช่มช้า ผ่านดงพุ่มไม้ไปอย่างเงียบงัน ลมหนาวพัดพริ้ว ยอดไม้สีน้ำตาลแก่ลอยละลิ่วตามลม คล้ายล้อเล่นกับกลุ่มพระพายกลางแสงอาทิตย์อุทัย ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มต้นสู่ตำนานแห่งมวลหมู่มนุษชาติในประวัติกาล นี่คงเป็นเพียงบทนำเท่านั้น เสียงหัวเราะของดรุณีน้อยยังดังก้องกังวาล ท่ามกลางสายลมหนาวอันเยือกเย็น ที่พัดผ่าน . ไปตลอดกาล .. |
Group Blog Link |
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |