ผ่อนคลายกับนิยายของ กัณธิชา - รัตมา - มธุกร ค่ะ
 
สิงหาคม 2550
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 สิงหาคม 2550
 
 

เดิมพันหัวใจ

บทนำ

ในสนามหญ้าซึ่งอยู่ทางด้านข้างของบ้านหลังใหญ่ที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์โมเดิร์น ตัวตึกทาผนังสีขาวนวลตัดกับต้นไม้สีเขียวที่ให้ความร่มรื่น และมีศาลาไทยไม้สักแบบหกเหลี่ยมวางอยู่ใกล้กับสระบัว ภายในมีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาตั้งใจดูหนังสือในมืออย่างขะมักเขม้น นัยน์ตาคมกวาดไปยังรูปชายหนุ่มบนหน้าหนังสือซึ่งอยู่ในต่างประเทศ และสวมชุดนักแข่งรถสีขาว ยืนอยู่บนแท่นหมายเลขหนึ่งพร้อมกับถ้วยรางวัลสีทองในมือ ด้วยรอยยิ้มแบบสง่ากับพวงมาลัยดอกไม้ในคอ ที่บ่งบอกถึงชัยชนะที่ได้มาอย่างน่าภาคภูมิใจ และภาพนี้ก็ทำให้เขานึกอย่างมุ่งมั่นด้วยแววตาจริงจัง

“จะต้องเป็นแบบนี้ให้ได้” คิดและก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี
อีกด้านหนึ่งเด็กสาวที่ยืนถือกุหลาบในมือก็กำลังมองอย่างจดๆจ้องๆ จะเข้าไปดีหรือไม่ดีนะ คำพูดของเพื่อนสาวดังขึ้นมาให้ได้ยิน
“ถ้าเจทไม่กล้า แล้วพี่รุทธิ์จะรู้ได้ยังไงว่าเจทชอบ” นั่นสินะมัวแต่ยืนอยู่อย่างนี้พี่รุทธิ์ก็คงจะไม่รู้ว่าตนเองคิดอะไร จึงทำให้ร่างเล็กที่ยืนทางด้านนอก สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่และกล้าที่จะเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่เมื่อนึกถึงคำของเพื่อนจบ โดยในมือมีดอกกุหลาบช่อเล็กไว้ทางเบื้องหลัง ลลนาเรียกชื่อเขาออกมาเมื่อไปถึงร่างสูง
“สวัสดีค่ะพี่รุทธิ์” เพียงได้ยินเสียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองและถามด้วยความแปลกใจกับใบหน้ายิ้ม ๆของอีกฝ่าย

“มีอะไรกับพี่เหรอเจท”ถามและจ้องหน้าของหญิงสาวด้วยความสงสัย ลลนาก็กล้า ๆ กลัว ๆ ว่าจะพูดดีหรือไม่ดี
“เอ่อ คือ”
“อ้าวเลยติดอ่างเลย มีอะไรก็พูดออกมาสิเจท” เขาถามซ้ำ ด้วยน้ำเสียงเคร่ง ลลนาไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรเธอยื่นดอกกุหลาบที่อยู่ในมือให้กับเขาทันที
“คือ นี่ค่ะ”ดอกกุหลาบถูกส่งมาให้ตรงหน้าของอนิรุทธิ์ ชายหนุ่มก็มองอย่างงง ๆ และถามซ้ำ
“ให้พี่ทำไมเหรอเจท”

“เอ่อ เจทชอบพี่รุทธิ์ค่ะ” พูดออกมาแบบโล่งอกที่ได้บอกความในใจออกไปแล้ว พร้อมกับยืนรอฟังคำตอบเขาว่าคิดตรงกันกับตนเองหรือไม่ ด้วยตลอดเวลาทั้งคู่สนิทกันอย่างมากมายและไม่ว่าจะอยากไปไหนหรืออยากกินอะไรอยากได้ของอะไรถ้าไม่แพงมากนักชายหนุ่มก็จะซื้อมาให้นั่นจึงทำให้ลลนาคิดว่าพี่ชายคงนี้ก็คงมีความรู้สึกแบบเดียวกับตนเองเช่นกัน หากแต่แล้วคำตอบเมื่อเขาเห็นดอกกุหลาบสีแดงที่อยู่ตรงหน้าก็ตอบปฏิเสธกลับมาในทันที ทำเอาคนที่รอความหวังแทบจะพูดไม่ออก เมื่อความคาดหมายผิดไปจากเดิมมาก ชายหนุ่มส่ายศีรษะและบอกกลับไป
“เก็บไว้เถอะเจท” เขาไม่หยิบแถมยังทำท่าไม่สนใจอีกต่างหาก แล้วก็หันไปอ่านหนังสือในมือต่อ เหมือนกับว่ามันสำคัญกว่าเรื่องนี้ ลลนาเริ่มเบะปาก

“ทำไมคะพี่รุทธิ์” คราวนี้เขาเงยหน้าตอบอีกครั้ง
“มันไม่เหมาะกับพี่เอาไปให้คนอื่นเถอะ” อนิรุทธิ์บอกให้อีกฝ่ายรู้ หญิงสาวจึงบอกความในใจของตนกลับไปให้เขาได้ฟัง
“เจทชอบพี่รุทธิ์จริงๆนะคะ”
“เจท พี่บอกว่าไม่เอาไง ฟังไม่เข้าใจเหรอ” เขายังยืนยันคำเดิม ลลนาร้องไห้ออกมาและยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ

“แต่เจทอยากให้พี่รุทธิ์นี่คะ”
“พี่ไม่ต้องการเอากลับไปเถอะ” บอกแล้วเขาก็เตรียมลุกขึ้นออกไปจากตรงนั้น หญิงสาวยืนน้ำตาซึมอย่างเสียใจที่เขาปฏิเสธ ลลนาส่ายหน้าและตอบ
“ถ้าพี่รุทธิ์ไม่รับก็ทิ้งไปเถอะค่ะ เพราะเจทก็ไม่เอาคืนเหมือนกัน” บอกแล้วก็วิ่งออกไป นั่นจึงทำให้เขามองอย่างอดรู้สึกสงสารไม่ได้เขาไม่อยากปีนเกลียวโดยการรักกับลูกสาวของโค้ชเพราะคนอย่างตนไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
บนห้องนอนร่างเล็กนอนคว่ำหน้าเสียใจที่เขาตอบปฏิเสธตน ฮือ ฮือ ใบหน้านวลเปื้อนคราบน้ำตาที่ไหลซึมและเปียกไปทั่วแขนเล็กซึ่งใช้เป็นที่รองรับหยดน้ำแห่งความเสียใจ ไม่เข้าใจว่าตัวเองดูแย่มากหรือไงเขาถึงไม่ยอมรับความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้ น้ำเสียงต่อว่าดังออกมาในระหว่างที่ร้องไห้

“ทำไม พี่รุทธิ์ถึงไม่เคยชอบเราเลย” บ่นและนอนซบหน้ากับที่นอนปล่อยให้ความชอกช้ำในใจได้ระบายออกมา พร้อมกับการตัดสินใจที่แน่นอน ลลนาลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์กดหาเพื่อนสาวเพื่อบอกให้รู้ถึงความคืบหน้าของเรื่องนี้
“ฮัลโหล ยูเหรอ” น้ำเสียงออกอาการสั่นเครืออย่างจับสังเกตได้ชัดเจน
“จ้า เจทเป็นอะไรน่ะ ทำไมน้ำเสียงไม่ดีเลย” เพื่อนสาวที่รับโทรศัพท์ทำเสียงกังวล ลลนาจึงบอกให้รู้
“เจทบอกพี่เขาไปแล้วนะ”

“เหรอ แล้วเป็นไง” สิ้นเสียงคำถามก็ร้องไห้ออกมาอย่างหยุดไว้ไม่อยู่
“พี่รุทธิ์ตอบปฏิเสธเจทล่ะยู เขาไม่ยอมรับดอกไม้ ฮือ ฮือ” ลลนาเล่าไปก็ร้องไห้ไป เพื่อนสาวจึงปลอบให้คลายความหมองเศร้า
“ใจเย็นๆนะเจท ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ชอบก็ปล่อยเขาไป”
“ฮือ ฮือ เจทไม่เข้าใจ ทำไมพี่รุทธิ์ไม่ชอบเจทล่ะ”เอ่ยและทำน้ำเสียงตัดพ้ออย่างเด็กๆ
“เราคงไม่ใช่ผู้หญิงที่เขาชอบมั้ง ไม่เป็นไรนะ อย่าเศร้าไปเลย” ยูหรือชโลธรทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดี ลลนาสะอึกสะอื้นไม่หยุดในระหว่างที่คุยโทรศัพท์ โดยที่มือเล็กก็หยิบกระดาษทิชชู่มาสั่งน้ำมูกด้วยความเสียใจ พรืด พรืด ก่อนจะปามันทิ้งลงกับถังขยะที่อยู่ไม่ไกล และลุกขึ้นพร้อมกับคิดว่าจะทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อเขาไม่ชอบ ก็จะไม่อยู่ให้เห็นหน้า หญิงสาวบอกกลับเพื่อนกลับไป

“ยูเราตัดสินใจละ”
“อะไรเหรอ”
“เราจะไปอยู่กับยูด้วย”
“เอางั้นเลย” อีกฝ่ายย้อนถามอีกรอบ โดยที่ลลนาถอนหายใจพร้อมกับสะอื้นตอบ
“ใช่ ตอนนี้ให้เราไปอยู่ที่บ้านยูด้วยคนนะ”
“เอาสิ เดี๋ยวยูออกไปรับละกัน”
บอกจบทั้งสองสาวก็วางหูลงและลลนาก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าในห้องน้ำ จัดการหยิบเสื้อผ้าในตู้มาใส่กระเป๋าใบใหญ่จัดการถอดชุดในไม้แขวนเสื้อ จับยัดลงในกระเป๋าอย่างไม่สนใจว่ามันจะยับแค่ไหน พอเสร็จก็เดินลงมาชั้นล่างเห็นบิดากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ จึงเดินเข้าไปหา พอนายทวีพลเห็นลูกสาวพร้อมกับกระเป๋าจึงเงยหน้าถามด้วยความแปลกใจ

“จะไปไหนน่ะ”
“เจทว่าจะไปอยู่กับยูค่ะพ่อ”
“อ้าวแล้ววันเสาร์อาทิตย์นี้ไม่อยู่กับพ่อเหรอ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม หากลลนากลับส่ายหน้าตอบ
“ไว้ปิดเทอมละกันนะคะพ่อ เจทจะกลับมาอยู่กับพ่อ” นายทวีพลก็พยักหน้าทำท่าเข้าใจ
“ก็ได้ลูก ถ้าอย่างนั้นปิดเทอมเจอกันนะ”

“ค่ะพ่อ” บอกจบหญิงสาวก็ก้มลงหอมแก้มเขาประจวบกับที่เด็กในบ้านเดินเข้ามาบอก
“คุณยูมารับแล้วค่ะคุณเจท” ร่างเล็กหันไปหาบิดาอีกครั้งหนึ่ง
“เจทไปก่อนนะคะพ่อ” แล้วจากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเดินออกไปที่หน้าบ้านสายตากลมโตมองไปยังสนามหญ้าด้านข้าง มองไม่เห็นร่างสูงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว หญิงสาวหันหน้ากลับมาและเปิดประตูขึ้นรถของเพื่อนไปทันที
ภายในห้องนอนบนบ้านชั้น 2 มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนั่งมองดอกกุหลาบสีแดงในมือที่ลูกสาวโค้ชยื่นให้เมื่อบ่าย เขาต่อว่าตัวเองในใจ
“นี่เราใจร้ายเกินไปรึเปล่าเนี่ยที่พูดอย่างนั้นออกไป คงไม่หรอกเราทำในสิ่งที่ถูกต้องต่างหากล่ะ” คิดด้วยแววตาไม่สบายใจ จะว่าไปที่เขาไม่เหงาก็เป็นเพราะคนตัวเล็กนั่นด้วย แต่ก็ในฐานะน้องไม่ใช่แบบคนรักอย่างที่อีกฝ่ายคิด ตอนนี้อาจจะเจ็บแต่ไม่นานหรอกเจทจะรู้ว่าที่พี่ทำอย่างนี้เพราะอะไร

บนโต๊ะอาหารหลังจากที่ชายหนุ่มเปลี่ยนชุดลงมาชั้นล่างและตรงไปยังโต๊ะอาหาร ร่างสูงที่นั่งอยู่ก็ใช้สายตามองหาใครอีกคนหนึ่ง พอไม่เจอก็หันไปถามคนที่นั่งใกล้ๆ
“น้องเจทไปไหนล่ะครับโค้ช”
“เจทไปอยู่กับเพื่อนน่ะ”เพียงได้ฟังอนิรุทธิ์ก็ถามซ้ำ
“ทำไมล่ะครับ” เขาอยากรู้ว่าหญิงสาวบอกคนเป็นพ่อว่าอย่างไรจะพูดถึงเขาหรือไม่ หากคำตอบที่ได้รับกลับไม่เกี่ยวกับตนเองเลย นายทวีพลพูดออกมาให้อีกฝ่ายได้ฟัง
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นวันนี้จัดกระเป๋าและก็บอกว่าจะไปบ้านเพื่อน ว่าแต่เราเถอะได้พักจากแข่งแล้วเป็นไงบ้าง”นายทวีพลเปลี่ยนเรื่องมาถามเขาต่อ และชายหนุ่มก็บอก
“มันก็ดีครับ ได้หยุดพักบ้างเลยทำให้ไม่เครียดมาก” ถึงชายหนุ่มจะคุยอย่างปกติแต่ในใจของเขากลับคิดถึงใบหน้ารูปหัวใจที่ทำสีหน้าเบะพร้อมน้ำตาไหลใส่

“ขอโทษนะเจทที่พี่ต้องทำอย่างนี้” คิดและนั่งทานข้าวต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ทำสีหน้าสงสัยให้โค้ชที่ฝึกตนแปลกใจถ้าหากเขาถามถึงลูกสาว ที่ปกติชายหนุ่มแทบไม่เคยสนใจที่จะอยากรู้ เดี๋ยวโค้ชจะสงสัยเอาได้
อีกฟากหนึ่งภายในรถของเพื่อน หญิงสาวตัวเล็กก็หยิบภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งขึ้นมาดูพร้อมกับหยาดน้ำตา ลลนายังจำได้ว่าเขาเข้ามาเป็นลูกศิษย์ของพ่อตน และยังจำวันนั้นได้ดีว่าเป็นเช่นไร
“เจท มานี่สิ พ่อจะแนะนำให้รู้จักพี่เขา” หญิงสาวที่อยู่ในชั้นมัธยมต้นมองหน้าของเด็กหนุ่มที่ตัวสูงอย่างอิจฉา ทำไมไม่สูงอย่างนี้บ้างนะ หันใบหน้าไปทางเขาและผู้เป็นพ่อก็บอก
“พี่เขาจะมาพักอยู่ที่นี่ในระหว่างซ้อมน่ะ” ชายหนุ่มหน้าตาดีส่งรอยยิ้มมาให้และแนะนำตัว

“พี่ขอฝากตัวกับน้องเจทด้วยนะครับ” ด้วยความที่ไม่มีพี่น้องมันจึงทำให้ลลนาไม่รู้สึกเกิดอาการต่อต้านจะเรียกว่าอยู่ในวัยที่เข้าใจมากแล้วก็ได้ ร่างบางพยักหน้าตอบรับ
“ค่ะ”แล้วก็หันไปหาพ่อของตน
“พี่เขาจะมาให้พ่อสอนแข่งรถใช่ไหมคะ” บิดาผงกศีรษะตอบลูกสาว
“ใช่”
“ดีค่ะ แล้วเจทจะให้พี่เขาช่วยสอนเจทบ้าง”
“ถามพี่เขาสิว่าเต็มใจรึเปล่า”
“ว่ายังไงคะ ถ้าเจทจะขับรถแข่งบ้าง พี่จะสอนเจทไหมคะ”

“สอนสิ ทำไมจะไม่สอนล่ะ” เขาบอกพร้อมกับรอยยิ้ม นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ลลนารู้สึกดี ๆ กับเขา คิดแล้วน้ำตาก็ซึมออกมา แต่ทำไมพอวันวาเลนไทน์หญิงสาวยื่นดอกกุหลาบให้ เพื่อบอกให้ทราบถึงความรู้สึก เขาถึงปฏิเสธตนกัน ใบหน้านวลแนบกับหน้าต่างรถปล่อยให้ดวงตาสองข้างเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำแห่งความเสียใจและคิดด้วยใบหน้าหม่นหมอง




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2550
10 comments
Last Update : 22 สิงหาคม 2550 9:06:20 น.
Counter : 1635 Pageviews.

 

ตอน 1

3 ปีผ่านไป
บนสนามแข่งรถที่มีรถหลากยี่ห้อหลายสีสันขับอยู่ในเลนสนาม ดูแล้วช่างเป็นกีฬาที่ท้าทายเสียเหลือเกิน สายตาของทุกคนที่มาดู ออกจะสนใจกับรถแข่งที่แรงและเร็ว โดยเฉพาะรถแรลลี่คันสีเหลืองเด่นสะดุดตา ซึ่งกำลังหักโค้งอย่างเต็มที่ มองดูแล้วแทบจะไม่น่าหักพ้น แต่รถคันนี้ก็สามารถประคองให้อยู่ในเลนได้อย่างสวยงาม ทำเอาหัวใจคนดูคอยลุ้นอย่างกระชั้นชิด ก่อนจะพารถคันสวยวิ่งเข้าสู่เส้นชัยไปได้อย่างสวยงาม ฟิ้ว……
พอรถจอดร่างของคนขับก็ก้าวลงมา แทบทำให้ทุกคนไม่เชื่อสายตา เมื่อร่างเล็กที่เดินมานั้นมันบ่งบอกให้รู้ถึงเพศแห่งความบอบบางชัด ๆ แต่กลับเป็นคนที่ขับรถแรลลี่คันสวยซึ่งมาแรงที่สุด หญิงสาวถอดหมวกที่ใส่ออกมาถือไว้พร้อมกับสลัดผมที่ยาวหยิกและดัดเป็นลอนลงมากลางแผ่นหลัง เดินตรงเข้าไปหาผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเสื้อยืดตัวเล็กสีขาวมีโลโก้รถแข่งแรลลี่อยู่กลางอก ขมวดปมไว้ที่เอวข้างซ้าย ใส่หมวกแก็ปสีดำเข้มเพื่อบดบังความร้อนบนใบหน้า ในมือมีธงสามเหลี่ยมลายหมากรุกถือเข้ามาหาอย่างดีใจ พร้อมกับนาฬิกาดิจิตอล ที่กดปุ่มค้างไว้เมื่อกี้ หลังจากเพื่อนสนิทขับเข้าเส้นชัยมา

“เป็นไงเวลาใช้ได้หรือเปล่า”นักแข่งรถสาวถามทันทีเมื่อเดินไปยืนตรงหน้า
“เยี่ยมเลยล่ะเจท ฝีมือยังไม่ตก” เพื่อนสาวบอกให้ฟังแต่พอได้ยินเวลาที่พูดว่าเยี่ยมก็ทำสีหน้าไม่พอใจนิดหนึ่งก่อนจะเปรยออกมา
“ยังไม่ดีเท่าไหร่” ลลนาบอกให้เพื่อนรู้ คิ้วเรียวขมวดนึกไปถึงเวลาของคนที่หญิงสาวตั้งใจจะลบสถิติของเขาให้ได้ แต่ทำยังไงก็ไม่ได้สักที มันจึงรู้สึกไม่ค่อยยินดีสักเท่าไหร่ ยูหรือชโลธรเพื่อนสาวจึงเอ่ย
“น่าเวลาแค่นี้ก็เก่งแล้วล่ะ เดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันดีกว่า เนี่ยยูหิ้วหิว”พูดจบก็เดินเข้ามาหาเพื่อนสาว อีกฝ่ายก็บอก
“อะไรทำไมฉันไม่เห็นหิวเลย”
“แหม ก็ฉันมายืนดูเธอซ้อมตั้งแต่เช้า จนนี่จะบ่ายแล้วนะ ไม่ให้หิวได้ยังไงล่ะ” เพียงได้ฟังคำบอก จึงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

“โอเค งั้นรอเดี๋ยวขอไปเปลี่ยนชุดก่อน”
บอกจบก็เดินถือหมวกเข้าไปด้านในซึ่งเป็นสถานที่ไว้สำหรับให้นักแข่งรถได้เปลี่ยนเสี้อผ้าและเก็บของใช้ไว้ในนั้น ลับหลังที่ลลนาเดินเข้าไป ชายหนุ่มใบหน้าคมซึ่งเป็นแชมป์แข่งรถแรลลี่ 2 ปีซ้อนก็เดินเข้ามา พร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง อะไรก็ไม่สะดุดใจคนดูเท่าคนตัวสูงที่รูปร่างเหมือนฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นบ่าที่กว้างอย่างได้สัดส่วน หน้าท้องที่เป็นรอนไร้ไขมันหรือส่วนเกินให้ระคายตา โดยเฉพาะชุดที่เขาสวมใส่นั้นทำให้ชายหนุ่มที่เดินมาดูเท่ห์อย่าบอกใครเชียว และยิ่งเวลายิ้มด้วยล่ะก็แทบทำให้สาวๆที่ได้มองละลายตามไปเลย แค่เพียงเขาเดินผ่านกลุ่มสาวๆ ก็มีเสียงเรียกอย่างคลั่งไคล้ดังขึ้นอย่างไม่หยุด
“อาร์ม หล่อจังเลย” พร้อมกับที่พากันวิ่งกรูมาหาและบอก
“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ” ซึ่งชายหนุ่มก็ยินดีและเต็มใจ ชโลธรเองก็ยืนดูนักแข่งรถตัวสูงอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกัน ด้วยความประทับใจและชื่นชอบไม่ต่างจากสาว ๆ คนอื่นเลย สักพักหนึ่งก็เดินเข้าไปหาลลนาด้านใน

ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หญิงสาวตัวเล็กถอดชุดนักแข่งออกจากกายและแขวนกับราวที่อยู่ในห้องน้ำ ดังนั้นจึงเหลือเพียงชิ้นส่วนซึ่งปกปิดความงดงามภายในแค่สองชิ้น ถอดมันออกไปจากหน้าอกซึ่งรัดรึง ทรวงอกอวบจึงได้รับการปลดปล่อยออกมาสูดอากาศเบื้องนอกทั้งยังจัดการกับผ้าชิ้นสุดท้าย จนหมดเหลือเพียงกายเปลือยเปล่าที่งดงามดั่งรูปสลักนางฟ้าตัวน้อย ทุกส่วนสัดเต็มไม้เต็มมือ ซึ่งภายนอกดูหลอกตาชัด ๆ เลย บั้นท้ายกลมกลึงได้รูปหันหลังเปิดน้ำฝักบัวให้ไหลออกมา
พร้อมกับเงยหน้าขึ้นรองรับกับความเย็นที่ทำให้ร่างกายสดชื่น ผิวเนียนขาวที่ไม่เคยถูกแสงแดดและไร้ร่องรอยแห่งการบาดเจ็บ ดวงตาหลับพริ้มปล่อยให้น้ำไหลไปทั่วใบหน้า และปล่อยให้ความเย็นรินรดไปตามลำคอ เนินบ่า แผ่นหลัง จวบจนถึงเรียวขาเพรียวเบื้องล่าง ลลนาฮัมเพลงอย่างมีความสุขเมื่อความเหนียวเหนอะในกายได้รับการชำระล้าง มือเรียวหยิบสบู่เหลวมาเทใส่มือพร้อมกับละเลงให้เกิดฟอง จากนั้นก็ลูบไล้ไปตามผิวบนกายอย่างไม่พิถีพิถันเท่าใดนัก เพราะรู้ว่าเพื่อนสาวรออยู่ จึงรีบถู ๆ ไปให้ทั่วทั้งคอ แขน ขา ทรวงอก จากนั้นก็ล้างออก พอเสร็จก็หยิบผ้าขนหนูพันกายและเปิดประตูเดินออกมา

ชโลธรที่ยามนี้เข้ามาอยู่กับเพื่อนซึ่งยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ เมื่อเห็นลลนาเดินออกมาในชุดผ้ากระโจมอก เพื่อนสาวก็ถามอย่างสงสัย
“นี่เจทเธอใส่ชุดนี้ออกมาเดินไม่กลัวบ้างเหรอ”
“กลัวอะไร”ลลนาเอ่ยถามโดยในมือมีผ้าเช็ดตัวกำลังขยี้เส้นผมที่เปียกน้ำให้แห้ง ชโลธรจึงตอบเพื่อนกลับไป
“อ้าวก็แหมมันอ่อยเหมือนกันนะ”
“เขาแยกชายหญิงต่างหากย่ะ”
“นั่นล่ะ มันก็น่ากลัวนา”
“เจทรู้ไงว่ายูจะต้องเข้ามา”

หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี แล้วจึงส่งผ้าผืนเล็กให้เพื่อน จากนั้นจึงหยิบกระป๋องแป้งขนาดเล็กมาเทใส่กายรวมไปถึงทาใบหน้าด้วย มือเล็กหยิบบาร์สีหวานขึ้นมาใส่ พร้อมกับเสื้อกล้ามรัดรูปตัวเล็ก เสร็จแล้วก็ตามด้วยกางเกงยีนส์เข้าเชฟ และสุดท้ายคลุมด้วยเสื้อแจ็กเก็ตผูกเอว เสร็จเรียบร้อยก็จัดการหยิบเสื้อผ้าชุดนักแข่งใส่ลงไปในกระเป๋า สลัดผมที่เปียกน้ำหมาด ๆ ให้ไปทางเบื้องหลัง เดินออกมาพร้อมกับเพื่อนสาวก้าวตรงไปยังรถ ชายหนุ่มที่ยืนคุยอยู่กับโค้ชซึ่งเป็นคนดูแลเขาหันหน้าไปทางที่ลลนาเดินออกมาพอดี แต่ว่าเห็นเพียงแผ่นหลังกับกลิ่นแชมพูที่ติดอยู่บนเส้นผมซึ่งหยิกหยักศกและเปียกซ่กไปด้วยน้ำ ร่างสูงมองและไม่สนใจอะไร นอกจากหันไปคุยกับโค้ชที่ดูแลตนต่อไป

รถคันสวยสีขาวรูปทรงสปอร์ตเพรียวยาวจอดลงที่หน้าบ้านประตูรั้วอัลลอยด์ คนขับบีบแตรส่งเสียงเรียกคนในบ้านให้ได้ยิน
ปิ้น ปิ้น!
รออยู่ไม่นานก็มีเด็กสาวคนหนึ่งตัวผอมวิ่งออกมาเปิดประตูให้ ชโลธรจึงขับรถเข้าไปจอด ลลนาที่นั่งอีกฟากใกล้คนขับก็เปิดประตูก้าวลงมาพร้อมกับกระเป๋าสะพายสีเข้มและเอ่ยกับเพื่อน
“ขอบใจมากนะยูที่มาส่งน่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พักผ่อนให้เต็มที่นะเจท”
“จ้า แล้วจะโทรไปหานะ”พูดจบหญิงสาวก็ยกมือขึ้นมาโบกให้นิดหนึ่ง ก่อนที่รถของเพื่อนสนิทจะขับออกไป แล้วลลนาก็เดินเข้าบ้าน

ภายในไม่มีคนอยู่เหมือนปกติทุกครั้งที่กลับมา หญิงสาววางกระเป๋าและเอนร่างลงกับโซฟาพร้อมทั้งเปิดทีวีในห้องรับแขก มือเรียวรูดซิปและหยิบดีวีดีที่อัดไว้ออกมาเปิดดู ซึ่งมันเป็นวีซีดีเกี่ยวกับการแข่งรถแรลลี่สปอตร์ต ลลนาถอดเสื้อแจ๊กเก็ตที่คลุมกายภายนอกออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวเดียวนอนดูโทรทัศน์อย่างสนใจ บนจอมีภาพของแชมป์ใบหน้าคมเดินออกมารับรางวัลพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงกรี๊ด แต่ลลนากลับแค่มองผ่านๆแบบไม่ใส่ใจ และแลสายตามองไปยังคนที่เดินตามมาทางเบื้องหลัง ซึ่งเป็นชายหนุ่มตัวสูงเช่นกันหากเสียงกรี๊ดน้อยกว่าคนแรก แล้วภาพก็ตัดฉากไปที่แชมป์ซึ่งได้รางวัลชนะเลิศ ลลนาก็กดรีโมทกรอภาพย้อนกลับไปดูฉากที่ผู้ชายคนที่สองเดินมาออกมา กรออยู่อย่างนั้นหลายรอบพอตัดฉากไปก็กรอกลับมาอีก เด็กในบ้านก็ถือแก้วน้ำส้มที่มีหยดน้ำเกาะรอบๆ มาวางไว้ลงบนโต๊ะพร้อมกับถามหญิงสาวผู้เป็นเจ้านาย
“คราวนี้คุณเจทจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ”
“ยังไม่รู้เลย ถามทำไมเหรอ”ลลนาหยิบแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ๆ ก่อนจะวางลงและถาม เด็กในบ้านจึงบอกให้รู้
“ก็เห็นคุณเจทมาอยู่ที่นี่แป๊บเดียวเอง แล้วก็บ้านคุณยู”
“ก็แล้วที่นี่มันมีอะไรให้น่าอยู่ล่ะ พ่อกับพี่รุทธิ์ก็ต้องไปสนามแข่งรถ ไม่มีใครอยู่คุยกับฉันเลย”ร่างเล็กพูดออกมาคล้ายมีอารมณ์ไม่พอใจแฝงอยู่โดยที่เด็กสาวตรงหน้าจับได้จากน้ำเสียงที่เอ่ยออกมา

“คุณเจทน้อยใจคุณพ่อเหรอคะ”คำถามแทงใจโดนอย่างแรงหากลลนาก็ยังไม่ยอมรับ
“เปล่าสักหน่อย”เธอเอ่ยปฏิเสธ แต่ในใจก็รู้ดีว่าพ่อหวังอะไรไว้มากกับผู้ชายที่เข้ามาเป็นลูกศิษย์แข่งรถ โดยลืมลูกสาวที่เคยเป็นห่วงไปเลย ลลนาคิดและเงยหน้าขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเด็กของตนยังไม่เดินไปไหนจึงบอกเหมือนไล่
“จะไปไหนก็ไปเถอะ มีอะไรแล้วจะเรียก”ความจริงคือไม่อยากให้ใครมาเห็นน้ำตาที่อ่อนแอของตน ใครจะไม่คิดบ้างว่าเขาจะเข้ามามีความสำคัญกับพ่อของตัวเองมากกว่า ถ้าวันนั้นหญิงสาวต่อต้านบิดาก็คงจะไม่ต้องมานั่งเสียน้ำตาอย่างนี้ แต่แปลกนะถึงชายหนุ่มจะเข้ามาแบ่งแยกความอบอุ่นไป แต่ทำไมก็ไม่รู้ที่ลลนาเองกลับเกลียดเขาไม่ลงสักที สักพักหนึ่งดูเหมือนหญิงสาวจะเริ่มรู้สึกว่าเธอคิดมากเกินไปอีกแล้ว จึงใช้มือเช็ดน้ำตาที่เอ่อเต็มสองตาและเปรยออกมาเหมือนต่อว่าตัวเอง

“จะบ้าแล้วเรา อยู่ ๆ มาร้องไห้เสียใจอิจฉาผู้ชายที่เราชอบอยู่ได้” คิดแล้วจึงหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลเปรอะเปื้อนแก้ม โดยมือเล็กก็กดหยุดที่เครื่องดีวีดีและเปลี่ยนเป็นไปดูรายการโทรทัศน์ช่องอื่น ก่อนจะเอนกายลงไปนอนยังโซฟาตัวยาวสีขาว เพื่อให้ความสนุกบนหน้าจอทีวีเครื่องใหญ่ผ่อนคลายอารมณ์เศร้าหมองของตนให้จางหายไป
ทางด้านชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ในสนามแข่งตอนนี้ก็กำลังขับรถสปอร์ตเครื่องแรงไปตามถนน ระหว่างนั้นก็กดโทรศัพท์ต่อไปหาเพื่อนสนิทอีกคนที่เป็นลูกชายของเพื่อนมารดา โดยทั้งสองเติบโตมาพร้อมกัน แต่ผิดกันตรงที่ชายหนุ่มอีกคนไม่ชอบกีฬาผาดโผนเยี่ยงนี้แบบตน
ตึง ตึง ตึง เสียงโทรศัพท์มือถือส่วนตัวที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นทำให้นายตำรวจหนุ่มรีบวางงานในมือลงทันที พร้อมกับหยิบขึ้นมารับ เพียงเห็นเบอร์ของเพื่อนสนิทโชว์ก็กดทักทาย
“ไงอาร์ม อยู่ไหนเนี่ย”
“สนามบิน นายจะมารับรึเปล่าล่ะ”

“จะไปรับได้ไง ยังทำงานอยู่เลย”อีกฝ่ายบอกกลับมา
“อ้าวเหรอแต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันอยู่หน้าหน้าสถานีตำรวจนายแล้วล่ะ”
“เฮ้ยจริงเหรอเนี่ย ไหนบอกว่าอยู่สนามบิน”พูดพร้อมกับมองลงมาทางเบื้องล่างซึ่งเป็นด้านหน้าของสถานี แล้วธนบดินทร์ก็ได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะ
“หึ หึ ล้อเล่นน่ะ”หนุ่มอารมณ์ดีบอกให้เพื่อนรู้ นายตำรวจก็ยังสอดส่ายสายตามองหาอีกฝ่ายไม่หยุด
“อาร์ม นายอยู่ตรงไหน ทำไมฉันไม่เห็นรถนายเลย”คนคุยโทรศัพท์ลุกขึ้นไปดูที่หน้าต่างห้องทำงาน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้ง
“ฮะ ฮะ ฮะ หาเจอไหม รถแรงๆ คันสีแดงน่ะ”
“รถสีแดงมีเต็มไปหมด ใครจะไปรู้คันไหน”

“หาไม่เจอล่ะสิ ใช่ไหม”เพื่อนหนุ่มถามกลับ ธนบดินทร์ก็ตอบกลับไป
“ก็ใช่น่ะสิ”
“หาไม่เจอก็ไม่ต้องหา เพราะฉันไม่ได้อยู่หน้าสถานีนาย”
“อ้าว”อีกฝ่ายร้อง
“ฉันอยู่บนถนนต่างหาก กำลังจะขับรถกลับบ้านไปเลี้ยงฉลองการชนะในครั้งนี้กับพ่อแม่”
“นี่นายชนะอีกแล้วเหรอ”นายตำรวจหนุ่มเอ่ยถาม เพื่อนชายจึงอดคุยไม่ได้
“ระดับนี้จะแพ้ได้ยังไงกัน”
“ดีใจด้วยว่ะเพื่อน”ธนบดินทร์บอกอย่างยินดี
และระหว่างที่เขากำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบอกทางด้านนอก ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“สารวัตรครับ มีงานด่วนครับ”เพียงได้ยินเขาก็รีบตัดบทกับเพื่อน
“แค่นี้ก่อนนะอาร์ม พอดีมีงานด่วน เอาไว้จะโทรไปหาละกัน”
“เชิญเลยคุณสารวัตรงานยุ่ง”
“ใครจะสบายอย่างนายล่ะแค่แข่งรถก็ได้เงินมาเยอะละ ฉันไปทำงานก่อนนะ”บอกจบก็ปิดสายโทรศัพท์ไป พร้อมกับเตรียมตัวเก็บงานบนโต๊ะใส่แฟ้ม ฝ่ายเจ้าของรถก็ขับตรงไปที่บ้านของตนเองซึ่งได้อยู่มาตั้งแต่เด็ก

ไม่นานรถของกฤษรัฐก็ขับมาจอดหน้ารั้วประตูอัลลอยด์สีขาว ชายหนุ่มกดแตรเรียกคนด้านในให้มาเปิดประตู ปิ้น ปิ้น!
หญิงสาวที่ยืนทำกับข้าวในครัว โดยอยู่ในชุดสวมผ้ากันเปื้อน มัดผมมวยขึ้นมาไว้บนศีรษะ ในมือถือตะหลิวเตรียมผัดกับข้าว พอได้ยินเสียงแตรเรียกด้านนอกก็เอ่ยกับเด็กที่เป็นลูกมือ
“ไปดูซิใครมา”
“ค่ะคุณปัจ”บอกแล้วก็รีบล้างมือในอ่างโดยเร็วพร้อมกับวิ่งออกไปดู
“เปิดประตูให้หน่อยสิ”คนขับส่งเสียงพร้อมกับใบหน้าชวนมองออกมา ทำให้อีกฝ่ายรีบเปิดประตูอย่างทันที พอเขาขับเข้ามาก็เอ่ยถามถึงคนที่ตนรักมากที่สุด
“คุณแม่อยู่รึเปล่าน่ะ”

“อยู่ข้างในค่ะ กำลังทำกับข้าวอยู่”
“ไม่ต้องบอกนะว่าผมมา”
ชายหนุ่มเปิดท้ายรถส่งกระเป๋าเสื้อผ้าของตนให้ไป ความจริงวันนี้เขาต้องไปงานเลี้ยงของตัวเอง แต่ชายหนุ่มอยากกลับบ้านมากกว่า จึงไม่ได้แต่งตัวไป และเลือกมาหาบุพการีทั้งสองแทน
กายสูงเดินย่องเข้าไปในครัวอย่างเงียบกริบ มองเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนผัดอะไรอยู่ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง จึงก้าวเข้าไปกอดทางเบื้องหลังของอีกฝ่าย ทำเอาคนถูกกอดร้องออกมาอย่างตกใจ
“อุ๊ย”พอร้องจบก็รู้สึกเหมือนโดนจุมพิตที่แก้มเนียน จุ๊บ!
“คิดถึงคุณแม่จังเลยครับ”พอรู้ว่าใครเป็นคนแอบลักหอมแก้มตนก็ร้องออกมา
“ตัวแม่เหม็นออกมาหอมได้ไงเนี่ย”

“ไม่เห็นเหม็นครับเลยออกจะหอม”บอกและกวาดตามองไปที่กระทะตรงหน้าวางใบหน้าคมบนไหล่มน
“วันนี้ทำอะไรทานเหรอครับคุณแม่”
“ก็ทำกับข้าวไว้รอคุณพ่อน่ะ”
“คุณพ่อมีเวลากลับมาทานด้วยเหรอครับ ไม่ต้องหาเสียงเหรอครับ”
“ตอนนี้งานไม่ค่อยยุ่งไงเลยกลับมาทานได้”พูดยังไม่ทันขาดคำทั้งสองก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังขึ้นด้านนอก
“สงสัยคุณพ่อจะกลับมาแล้วล่ะ ลูกออกไปรับคุณพ่อก่อนละกัน เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวให้เสร็จก่อน”
“ครับคุณแม่”บอกจบก็ปล่อยร่างมารดาออกและเดินไปทางหน้าบ้าน ซึ่งยามนี้นักการเมืองหนุ่มถือกระเป๋าเจมส์บอนด์สีเขียวหัวเป็ดเดินลงมาจากรถ แม้จะอายุมากแล้วแต่พ่อของเขาก็ยังคงมาดดีไม่เปลี่ยนแปลง เพียงหนุ่มอังกฤษเห็นชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมที่เดินมารับถึงหน้าบ้านก็เอ่ยทักทายอย่างดีใจ

“นี่พ่อตาฝาดรึเปล่าเนี่ย ที่เห็นเรา”
“ไม่ฝาดหรอกครับคุณพ่อ ผมอาร์มลูกของคุณพ่อไงครับ ตัวจริง เสียงจริง”อังกฤษเดินเข้าไปกอดลูกชายและเอ่ยชม
“ไม่นึกว่าหน้าตาจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ หล่อซะไม่มี แต่ยังไงก็แพ้พ่ออยู่ดี”กฤษรัฐเดินมารับกระเป๋าไปจากมือของอังกฤษและพากันโอบเข้าไปด้านใน พร้อมกับทรุดร่างลงที่โซฟาในห้องรับแขก
“คราวนี้จะอยู่นานแค่ไหนล่ะเรา ว่าแต่ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเยอะนะ”
“โหคุณพ่อครับผมไม่ใช่เด็กลูกกรอกนะครับ ที่ผ่านไปกี่ปีก็ตัวเท่าเดิม”พูดจบก็ใช้สายตามองไปที่พ่อของตนเช่นกัน

“ผมไม่เจอคุณพ่อนาน ผมว่าคุณพ่อเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะครับ”บอกและยิ้ม ๆ อังกฤษทำหน้าสงสัย
“เปลี่ยนไปยังไง หล่อขึ้นเหรอ”
“เปล่าครับ หูของคุณพ่อต่างหากที่ผมว่าเปลี่ยนไป มันดูยานขึ้นรึเปล่าครับ”กฤษรัฐแกล้งแซวและใช้นิ้วชี้ไปที่หูของหนุ่มใหญ่ พอได้ยินเจ้าของก็รีบตอบกลับมาโดยเร็ว
“มาถึงก็หาเรื่องเลยเชียวนะเจ้าตัวแสบ ไม่มีแล้วเลิกเจ้าชู้แล้ว”เขาตะโกนอย่างเสียงดังคล้ายเป็นคำสัญญาให้ผู้หญิงที่อยู่ในครัวได้ยิน

“จริงเหรอครับคุณพ่อที่พูดน่ะ”อีกฝ่ายยังคงเย้าไม่เลิก
“ก็จริงน่ะสิ ขืนไม่เลิกแม่เราก็เลิกกับพ่อแทน”
“ไม่คิดว่าวิธีที่แม่ใช้จะได้ผล”
“อะไรแทนที่เราจะเข้าข้างผู้ชายด้วยกัน กลับไม่เข้าข้างซะนี่”อังกฤษบอกอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูก ซึ่งชายหนุ่มที่ได้ยินก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนความคิดอยู่ดี
“ผมคิดว่าที่คุณแม่ทำน่ะถูกแล้วครับ”

“ดีแล้วลูกที่คิดอย่างนี้”ผู้เป็นแม่เดินออกมาพร้อมจานกับข้าวที่ทำเสร็จแล้วหนึ่งอย่างวางลงบนโต๊ะทานข้าวที่อยู่ทางด้านนอก ก่อนจะเดินไปหาทั้งสองหนุ่มที่ห้องรับแขก
ปัจสินาฏไม่เคยปิดบังให้ลูกรู้ว่าตนเองเคยมีปัญหากับอังกฤษนั่นก็เพราะอยากสอนลูกชายทางอ้อม ไม่ให้ประพฤติตัวอย่างที่บิดาทำ ลูกชายเพียงคนเดียวที่ชื่อกฤษรัฐได้รับรู้เรื่องนี้เมื่อวันหนึ่งที่เขาเห็นเพื่อนร้องไห้ในโรงเรียน พอถามก็ได้คำตอบว่า
“พ่อแม่ทะเลาะกันอีกแล้ว”มันจึงทำให้เขาเอ่ยถามปัจสินาฏหลังจากที่กลับมาจากโรงเรียนในระหว่างที่มารดากำลังนั่งสอนการบ้านเขา เด็กผู้ชายก็วางปากกาและหันมาพูดกับผู้เป็นแม่
“บ้านเราเนี่ยดีจังนะครับที่ไม่ค่อยมีปัญหาทะเลาะเหมือนครอบครัวอื่นเลย อย่างครอบครัวอาวีก็ไม่มี ไม่เหมือนเพื่อนอาร์ม ที่บอกว่าพ่อแม่ทะเลาะกันตลอด ผู้เป็นแม่จึงมองหน้าและตอบให้รู้
“ความจริงบ้านเราก็เคยมีปัญหาอย่างนั้นนะลูก แต่ว่าเราสองคนเคลียร์กันได้แล้วล่ะจ้ะ”

“คุณพ่อคุณแม่เคยทะเลาะกันด้วยเหรอครับทำไมผมไม่เคยเห็น”เด็กน้อยทำสีหน้าไม่เชื่อ ปัจสินาฏจึงเอ่ยให้ฟัง
“เพราะแม่ไม่อยากให้อาร์มรู้ไงล่ะ”
“คุณพ่อทำอะไรเหรอครับ คุณแม่ถึงได้โมโหมาก”
“หลอกแม่ไงล่ะ พ่อเขาคิดว่าแม่โง่ที่รู้ไม่ทันเขา ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าการทำอย่างนั้นกับคนที่รักมันเหมือนเป็นการดูถูกและไม่ให้เกียรติกัน แม่ก็เลยขอเลิก ถ้ายังคิดอย่างนี้ก็คงอยู่ร่วมบ้านกันไม่ได้ จากนั้นปัจสินาฏก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ลูกชายฟัง พอเล่าจบก็พูดสำทับเป็นคำสอนเด็กหนุ่ม
“จำไว้นะลูกอย่าทำอย่างนี้กับคนที่เรารัก อย่าทำให้คนที่รักเรารู้สึกเหมือนเขาโง่”เด็กชายพยักหน้าตอบรับเหมือนให้คำมั่นสัญญา

“ครับคุณแม่ผมจะไม่ทำอย่างนั้น”เมื่อได้ยินคำยืนยันแบบลูกผู้ชายปัจสินาฎจึงยิ้มและเอ่ยชมเขาโดยใช้มือลูบไปที่ศีรษะเล็กด้วยความชื่นชม
“ดีแล้วลูก”
ภาพในเวลานั้นหายไปและกลับมาสู่ปัจจุบันที่ชีวิตครอบครัวของเขาไม่เคยมีปัญหาเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะคุณพ่อคงเข็ดไปอีกนานเมื่อคุณแม่ลุกขึ้นมาเอ่ยขอหย่า
ปัจสินาฏที่เห็นลูกชายและสามีเพิ่งกลับมาจากด้านนอกจึงบอกกับทั้งคู่
“ไปอาบน้ำกันก่อนดีไหมทั้งสองคน แล้วค่อยลงมาทาน น่าจะพอดีกับที่กับข้าวเสร็จ”ชายหนุ่มสองวัยเห็นด้วยกับความคิดผู้หญิงตรงหน้า จึงพากันเดินขึ้นไปชั้นบน ปัจสินาฏจึงหันไปทำกับข้าวต่อในครัว

 

โดย: ต้นข้าว (tonkho-w ) 22 สิงหาคม 2550 9:09:53 น.  

 

ตอน 2

ตอน 2
ที่บ้านหลังใหญ่ตึกสีขาวที่ซึ่งหญิงสาวร่างเล็กเผลอนอนหลับไป ก็ต้องตื่นขึ้นมา นั่นก็เพราะเสียงโวยวายหงุดหงิดของคนเป็นพ่อกับผู้ชายที่เคยทำลลนาอกหักเมื่อหลายปีก่อน ใบหน้าที่หล่อคมกลับดูหงุดหงิด คิ้วเข้มที่เป็นสัญลักษณ์ในตัวเขาขมวดมุ่นชนกัน ตะโกนออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมนะผมไม่เคยเอาชนะไอ้อาร์มได้เลย”
“เราคงซ้อมน้อยไปหน่อย”
“ไม่ใช่ครับโค้ช มันเก่ง”
สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เขาต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าผู้ชายอีกคนชั้นเชิงในการขับรถและการแก้ปัญหามีมากกว่าเขา ทั้งที่ตนก็พยายามจะเอาชนะให้ได้แต่มันก็เหมือนเดิม ทำยังไงก็แพ้ตลอด ได้ที่สองทุกที เมื่อได้เห็นร่างสูงเดินเข้ามา จึงเอ่ยเหมือนเดา

“แพ้กลับมาล่ะสิใช่ไหมคะ ทำหน้าโมโหอย่างนี้น่ะ”เสียงหวานบอกในขณะที่ลุกขึ้นมานั่ง พออนิรุทธิ์ได้ยินคำพูดซึ่งไม่ให้กำลังใจ ทำให้เขาหันไปต่อว่าอีกฝ่ายทันทีอย่างลืมตัว
“เจท ถ้าไม่ให้กำลังใจกัน ก็อย่ามาทับถม”
“พี่เขากำลังเครียดแทนที่จะพูดอะไรที่มันดีๆ กลับมาทำให้เสียอารมณ์”
สิ้นคำพูดเขา บิดาของลลนาจึงต่อว่าเธอ อย่างไม่สนใจเลยว่าคนที่เขากำลังพูดด้วยนั้นคือลูกสาวเพียงคนเดียวที่เขาเคยบอกรักนักรักหนา ใบหน้านวลหงิกในทันที ลลนาลุกขึ้นยืนตอบ
“เจทพูดอะไรก็ไม่ถูกสักอย่างทั้งนั่นล่ะค่ะ ไม่เคยถูกใจพ่อกับพี่รุทธิ์เลย”เอ่ยจบก็วิ่งขึ้นข้างบน ชนกับเด็กในบ้านที่กำลังจะเดินลงมาชั้นล่างแต่เธอไม่มีอารมณ์เอ่ยขอโทษ เพราะตอนนี้อยากร้องไห้มากกว่า อนิรุทธิ์เงยหน้าตามร่างเล็กขึ้นไปและคิดว่าตนเองพูดกับหญิงสาวแรงไปหรือเปล่า โค้ชทวีพลจึงบอกกับเขาอย่างไม่ต้องกังวล

“ไม่ต้องไปสนหรอก เดี๋ยวก็หาย”
ภายในห้องนอนที่สภาพไม่แตกต่างกับเมื่อสามปีก่อนเลย แต่สิ่งที่เหมือนเดิมก็คือความรู้สึกเสียใจที่มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่จบ โดยการกระทำของคนที่รักไม่ว่าจะเป็นพ่อของตนและเขาผู้ชายที่ทำยังไงก็ลืมไม่ลงซะที รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่มีใจให้ก็ยังไม่เลิกชอบเขา ผู้ชายเย็นชา ในหัวของเขาจะมีแต่เรื่องชัยชนะอย่างเดียวรึไงกัน จะไม่สนที่จะมีความรักแบบคนอื่นบ้างเลยหรือ ลลนาร้องไห้กับที่นอนและทุบหมอนเพื่อระบายอารมณ์
“ทั้งพี่รุทธิ์ทั้งพ่อทำไมถึงได้เปลี่ยนไป ทำไม ๆ”มือเรียวปาหมอนในมือลงไปจากเตียงด้วยความน้อยใจ และนอนก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียใจ ลลนาไม่เข้าใจว่าเวลาที่ผันผ่านไปแค่สามปีจะทำให้ผู้ชายที่เคยอ่อนโยนและน่ารักทั้งสองถูกแปลเปลี่ยนกลายเป็นคนที่หงุดหงิดได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้ ทั้งที่แต่ก่อนไม่ใช่อย่างนี้เลย มันเพราะคำว่าเพื่อชัยชนะแค่นั้นหรือไง ที่ทำให้ทั้งพ่อและคนที่ตนหลงรักเปลี่ยนไป

คิดและนอนร้องไห้ แผ่นหลังสะอื้นตัวโยน มีไหมนะที่ลลนาจะทำให้บ้านหลังเก่าที่เคยมีแต่ความสุขหวนกลับมา แม้ขนาดว่าเลือกเส้นทางเดียวกับพวกเขาแล้ว แต่ก็เหมือนว่ามันอยู่คนละทางกันเลย ทุกคนมองข้ามตัวเองไปกันหมด
ร่างบางนอนร้องไห้จนกระทั่งเผลอหลับไป กว่าจะรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มมืดลงเข้าสู่ยามค่ำคืน
ได้เวลาทานอาหารเย็นแล้ว เสียงท้องร้องที่ทำหน้าที่ของมันอย่างสม่ำเสมอดังขึ้น นั่นจึงทำให้ลลนาลุกขึ้นจากเตียงเดินลงไปชั้นล่าง แต่พอลงมาถึงก็พบกับความเงียบงัน ลลนากวาดตามองไปที่ห้องรับแขกก็ไม่เห็นมีใครอยู่ รถคันใหญ่ซึ่งเป็นของเขาก็หายไป จึงทำให้เกิดความสงสัย ไปไหนกันหมดเนี่ย
“ใครอยู่แถวนี้บ้าง”ลลนาตะโกนเรียกเด็กในบ้าน ไม่นานก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมา

“คุณเจทมีอะไรจะใช้หนูเหรอคะ”
“พ่อกับพี่รุทธิ์ไปไหนน่ะ”
“ออกไปข้างนอกแล้วค่ะ”
“ไปไหน”น้ำเสียงถามอย่างคาดคั้น
“เห็นบอกว่าจะไปงานเลี้ยงฉลองการแข่งแรลลี่ที่เพิ่งไปแข่งมาน่ะค่ะ”
พอได้ฟังลลนาก็เงียบไป นี่ไม่มีใครคิดจะชวนตนเลยเหรอ ทั้ง ๆ ที่หญิงสาวเองก็เป็นนักแข่งรถที่ชนะมาเหมือนกัน ด้วยความน้อยใจไม่เปลี่ยนจึงวิ่งออกไปด้านนอก เรียกแท็กซี่หน้าบ้านให้ไปส่งที่บ้านของชโลธร ร้องไห้ในรถไปตลอดทาง ไม่มีใครสนใจเลย ฮือ ฮือ ไม่มีใครสนใจเลย

จนกระทั่งรถแท็กซี่ขับมาจอดตรงหน้าบ้านของชโลธร ยามนี้ภายนอกเริ่มมีฝนตกลงมาอย่างไม่หยุด ลลนายืนอยู่อย่างนั้นด้วยใบหน้าเปียกชุ่ม มือเรียวกดกริ่งที่ประตู
ติ๊ง ต่อง ๆ มีเด็กออกมาเปิดประตูให้พร้อมกับร่มในมือ พอเห็นว่าเป็นใครก็เรียกชื่อออกมา
“คุณเจท”
“ช่วยจ่ายค่ารถแทนที ฉันไม่ได้เอาเงินมา”
“ค่ะ”เด็กของชโลธรจึงหยิบเงินยื่นให้คนขับแท็กซี่ ส่วนตัวลลนาก็เดินลุยฝนเข้าไปบนตึก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ชโลธรที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ใช้มือกดรีโมทให้เบาลงและถามออกไป
“ใครคะ”

“ฉันเองยู”พอรู้ว่าใครมาหาก็รีบลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
แกร๊ก! ชโลธรเห็นสภาพของเพื่อนก็เรียกอย่างตกใจ
“เจท ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ”เพื่อนสาวมองเห็นลลนาตัวเปียกโชกจึงรีบหยิบผ้าขนหนูส่งให้เช็ดผม
“เอ้า เช็ดซะ เดี๋ยวป่วยไปจะแย่เอา”
“ถึงฉันป่วยก็คงไม่มีใครสนใจหรอก คงปล่อยให้ป่วยตายไปเลยมั้ง”ลลนาพูดอย่างเสียใจ ชโลธรจึงเดินเข้ามาปลอบ
“คิดมาก อย่างน้อยก็มีฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ทิ้งเธอ”พร้อมกับดึงเพื่อนเข้ามากอดถึงแม้ตัวจะเปียกแต่ก็ไม่นึกรังเกียจ

“ก็คงมีแต่เธอเท่านั้นล่ะที่ห่วงฉัน”
ลลนาบอกและนั่งลงร้องไห้ออกมา จะมีใครรู้บ้างไหมนะว่าภายนอกที่ดูแข็งแกร่งของนักแข่งแรลลี่หญิงคนเก่งนั้น จะแฝงไปด้วยความอ่อนแอและอ่อนไหวมากขนาดนี้ หญิงสาวระบายความรู้สึกของตัวเองให้เพื่อนได้ฟัง
“ยู รู้ไหมว่าพ่อกับพี่รุทธิ์ไม่สนใจฉันเลย ขนาดฉันแข่งชนะมา เขายังไม่ถามหรือแสดงความยินดีกับฉันสักคำ กลับไปงานเลี้ยงโดยไม่ชวนฉันเลย ฮือ ฮือ”ลลนาบอกออกมาอย่างน้อยใจ หากอีกฝ่ายกลับใช้วิธีตัดบทพูดเรื่องอื่นแทน
“ไปเปลี่ยนชุดก่อนนะเจท ตัวเปียกหมดแล้วเนี่ย ดูสิที่นอนยูเปียกหมดเลย”ชโลธรพยายามทำเรื่องเศร้าให้กลายเป็นเรื่องอื่น พอลลนาได้ยินที่เพื่อนบอกจึงก้มลงมองและตอบ

“โทษทีพอดีมัวแต่ร้องไห้น่ะ เลยไม่ทันมอง”
“รู้แล้วก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ ยังนั่งอยู่อีก แต่ทางที่ดีสระผมไปเลยก็ได้นะ เพราะโดนฝนมาเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”พูดแล้วก็เดินไปเปิดตู้ใบใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกับโยนผ้าขนหนูสีขาวกับเสื้อผ้าส่งให้ สองมือเรียวก็รับไว้ได้ทันอย่างท่วงที ก่อนจะลุกขึ้นไปทำตามที่เพื่อนบอก
ระหว่างที่ลลนาอาบน้ำอยู่ในนั้น ชโลธรก็เอ่ยชวน
“นี่ถ้าไม่สบายใจ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวพักผ่อนกันไหมเจท”
“ไปไหนล่ะ”ส่งเสียงถามออกมาจากในห้องน้ำ
“หัวหินเป็นไง เราไม่ได้ไปกันนานแล้วนะ”พอได้ยินข้อเสนอของเพื่อนก็ตอบกลับไปอย่างเร็ว

“เหรอเอาสิ น่าสน”
“ถือว่าฉันเลี้ยงฉลองที่แข่งชนะละกันนะ”เพื่อนสาวตะโกนเข้าไปด้านใน ลลนาจึงตอบออกมา
“จ้า”แล้วชโลธรก็เดินกลับไปที่เตียงและนอนดูหนังที่เปิดค้างไว้ โดยปล่อยให้เพื่อนสาวอาบน้ำต่อไป
ไม่นานนักแข่งรถสาวก็เดินออกมาด้วยชุดนอนขาสั้นกับเสื้อกล้ามเอนกายลงนอนข้างๆ เพื่อนและบอกเหมือนเริ่มทำใจได้แล้ว
“ไม่มีใครฉลองเราไปกันเองก็ได้เนอะ”
“อื้อ ใช่ ไม่ต้องคิดมากหรอก เดี๋ยวเราไปที่นั่นก็สนุกแล้วล่ะ จะได้ไปขี่เจ็ตสกี กีฬาโปรดเธอไง”ชโลธรปลอบให้อีกฝ่ายคลายเศร้า ลลนาจึงพยักหน้าออกมาอย่างอารมณ์ดีขึ้น

“จริงด้วย ไม่ได้ไปเล่นนานละ ขอบใจมากนะยู”เธอหันไปจับแก้มของชโลธรอย่างขอบคุณ และอีกฝ่ายก็หยิกตอบกลับมา
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”
มองภายนอกอาจจะคิดว่าลลนาเป็นคนดูแลชโลธร ด้วยเพราะความบอบบางของเรือนกายที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็งในตัว แต่ใครจะรู้กันล่ะว่าความจริงแล้วชโลธรต่างหากที่เป็นคนดูแลและปลอบใจเพื่อนเสมอมา
หลังจากงานเลี้ยงเลิกนายทวีพลและนิรุทธิ์ก็ขับรถมาจอดหน้าบ้าน คนขับกดแตรเรียกเหมือนเช่นเคย ไม่นานเด็กในบ้านก็เดินออกมาจากประตู นิรุทธิ์ขับรถเข้าไปจอดยังหน้าตึก นายทวีพลเปิดประตูลงมาพอเห็นในบ้านเงียบก็ทำหน้าสงสัย เขาถามเด็กที่มาเปิดประตู

“ยัยเจทนอนแล้วเหรอ”
“คุณเจทไม่อยู่ค่ะ ออกไปข้างนอกหลังจากคุณผู้ชายออกไป”ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ก็หันไปถามคนฝึกของตน
“หรือว่าเจทจะน้อยใจที่ผมกับโค้ชพูดครับ”เขาถามอย่างห่วงใยร่างเล็กที่เป็นเหมือนน้องสาว แต่โค้ชทวีพลก็ทำหน้าไม่ใส่ใจมากมาย

“ช่างมันเถอะ เรื่องยัยเจทน่ะ ก็เป็นอย่างนี้ประจำ ขี้น้อยใจไม่เลิก”
“ผมเองก็ผิดแทนที่จะแสดงความยินดีกับน้องแต่กลับเอาอารมณ์ไม่ดีไปลงกับเจท”
“เอาไว้เราค่อยฉลองให้ทีหลังก็ได้ ตอนนี้มาพูดเรื่องของเราก่อนดีกว่า”
พอโค้ชพูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ทำให้อนิรุทธิ์หน้านิ่ว เมื่อกี้ที่ไปงานกลับมา ดูแต่ละคนจะชื่นชมแต่ไอ้อาร์ม ที่เขาจัดงานฉลองให้แต่ดันไม่อยู่ คงคิดว่าตัวเองสำคัญล่ะสิ งานคืนนี้เขาก็เลยกลายเป็นดาวเด่นไป แต่ยังไงก็ไม่สามารถลบรัศมีของคู่แข่งลงได้ ทางสมาคมพูดถึงความเก่งของอีกฝ่ายอย่างไม่หยุด ซ้ำยังปลอบใจเขาเหมือนสงสาร

“ไม่เป็นไรนะอนิรุทธิ์ได้ที่สองก็ยังดี” คนพูดไม่รู้หรอกว่ามันทำให้เขาเจ็บใจจี๊ดๆ ที่เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าตนไม่มีความสามารถพอ ถ้าไม่มีมัน เขาก็คงได้ที่ 1 ไปครองแล้ว แต่เพราะมัน ทำให้โอกาสที่จะได้เป็นหนึ่งหลุดไป เขากำมือตนเองแน่นด้วยความเจ็บใจ
โค้ชทวีพลเองก็ได้ยินนายกสมาคมเอ่ยปลอบใจลูกศิษย์ตน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้ารู้สึกยังไง ที่ตลอดเวลาไม่เคยได้ที่หนึ่งเลย อย่างเก่งก็ได้ที่สอง เขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ดีจึงบอกอย่างตัดบท
“อาว่ารุทธิ์ขึ้นไปอาบน้ำนอนพักผ่อนก่อนดีไหม วันนี้เครียดมาทั้งวันแล้วนี่”
“ก็ดีครับโค้ช ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”

บอกจบอนิรุทธิ์ก็เดินหายขึ้นไปชั้นบน โค้ชทวีพลจึงทรุดกายนั่งในห้องรับแขก ใช่ว่าตนเองจะไม่คิดอย่างลูกศิษย์ตน ที่ไม่เคยเอาชนะโค้ชของกฤษรัฐได้เลย ทั้ง ๆ ที่ ทั้งสองเองก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่เพราะความเก่งของอีกฝ่ายที่ทำให้เขาทนไม่ได้ จึงได้ปั้นตัวตายตัวแทนของตัวเองขึ้นมา ซึ่งไม่ต่างกับเพื่อนเขาที่ปั้นกฤษรัฐขึ้นมาเป็นตัวแทนอีกทีหนึ่ง ดังนั้นอนิรุทธิ์จึงกลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่เขาจะใช้เพื่อเอาชนะเพื่อน เพื่อนที่เคยคิดว่าแสนดีแต่สุดท้ายก็ทำให้เขาผิดหวัง
ตอนเช้าที่บ้านของชโลธรทั้งสองสาวต่างก็เตรียมจัดเสื้อผ้าไปเที่ยวผ่อนคลาย ลลนาอยู่ในชุดกางเกงยีนส์เสื้อกล้ามตามเคยทับด้วยเสื้อยีนส์ตัวใหญ่สีเข้ม กับแว่นตาสีดำเลนส์ทำจากกระจกปรอท ส่วนชโลธรกลับเน้นหวานมากกว่าด้วยเสื้อแขนกุดผูกเอว กับกางเกงขาสามส่วนครึ่งน่อง ทั้งสองเดินออกมาที่รถ
“เดี๋ยวฉันขับเองนะยู”

“ได้เลย”บอกเสร็จก็โยนกุญแจให้เพื่อนลลนาก็รับได้อย่างแม่นยำ จากนั้นก็เปิดประตูขึ้นไปประจำที่คนขับ และก็สตาร์ทเครื่องขับออกไป จุดมุ่งหมายของทั้งสองก็คือหัวหิน ชายหาดแห่งความเย็นสบาย ผ่อนคลาย ทั้งสองขับรถกินลมมาเรื่อยๆแบบไม่รีบร้อน แต่อาจจะเป็นเพราะลลนาขับรถเร็วมาตลอด จึงทำให้ชโลธรต้องคอยเตือนเพื่อนสาวอยู่เสมอ
“อย่าขับเร็วสิเจท เดี๋ยวก็โดนตำรวจเรียกหรอก”
“โทษทีมันลืมตัวน่ะ คิดว่าขับรถในสนามแข่ง”ลลนาบอกแล้วค่อยๆชะลอความเร็วลงให้กลับมาสู่ความเร็วปกติ
แล้วทั้งคู่ก็มาถึงหัวหินในช่วงเที่ยงซึ่งเป็นเวลาที่พักทานอาหารพอดี ลลนาแวะจอดหาอะไรทานกับเพื่อนสาว และอาหารที่ทั้งคู่สั่งก็คือ ส้มตำปู ของโปรดที่เหมือนกัน แม้จะดูเป็นลูกคนมีเงินแต่ชโลธรกลับไม่ถือในเรื่องร้านอาหารหรูหรา ทั้งสองเลือกร้านอาหารที่เป็นเพิง ลลนาจอดรถตรงหน้าร้านและก้าวลงไปเลือกที่นั่งด้านใน โดยมีลมพัดโปร่งเย็นสบาย หญิงสาวถอดแว่นวางไว้ที่โต๊ะ เด็กเสริฟก็ถือเมนูมาให้ทั้งคู่สั่ง มือเรียวหยิบขึ้นมาเปิดดู พร้อมกับไล่สายตาไปตามรายการอาหารด้านใน

“เอาอะไรบ้างล่ะยู” เงยหน้าถามเพื่อน
“เอาส้มตำปูละกันนะเจท ขอเผ็ด ๆ ด้วยนะคะ”
“ตับหวานด้วยเนอะ” ลลนาอ่านรายชื่ออาหารที่อยากทาน เพื่อนสาวก็พยักหน้ารับและสั่งต่อ
“ไก่ย่าง 1 จานด้วย”
“ขนมจีน 1 เหมือนกัน” ชโลธรอ่านออกมา
“ต้มแซ่บด้วยดีกว่านะยู”
“ตามใจสิ”
“ข้าวเหนียวเอาไหมครับ” เด็กเสริฟเอ่ยถามทั้งสอง

“เอาก็ดีเนอะ เอาด้วยจ้า” ชโลธรพยักหน้าและหันไปสั่งกับเด็กเสริฟ
“น้ำล่ะครับ”
“ขอเป็นเป็ปซี่ละกัน แค่นี้ก่อนละกันค่ะ” พูดจบลลนาก็ปิดเมนูลง แล้วดูเหมือนจะได้ยินเสียงทางโต๊ะข้าง ๆ ที่ดูคล้ายผู้เป็นพ่อจะถามลูกสาวซึ่งตัวและอายุน่าจะอยู่ประมาณมหาวิทยาลัยแล้ว แต่คนเป็นพ่อก็ยังห่วงใยอยู่
“อิ่มไหมลูก ถ้าไม่อิ่มสั่งได้อีกนะ” ชโลธรที่มองเห็นเพื่อนสาวมองไปทางหนุ่มใหญ่คนหนึ่งกับหญิงสาวผมยาวก็พอจะรู้ว่าเพื่อนกำลังคิดอะไรอยู่ จึงเอื้อมมือไปแตะหลังมือของอีกฝ่าย
“มาเที่ยวอย่าคิดเรื่องเศร้าสิเจท”
“เปล่าหรอก ไม่ได้คิดอะไรนี่”

“ไม่ได้คิดน่ะดีแล้ว เพราะคิดไปก็ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น”
“ใช่ยูพูดถูก ถึงฉันจะทำตัวยังไง พ่อก็ไม่เคยเห็นฉันสำคัญกว่าพี่รุทธิ์หรอก”
บอกด้วยนัยน์ตาเศร้า ซึ่งพอดีกับที่เด็กเสริฟเอาน้ำมาวางบนโต๊ะ ชโลธรจึงจัดการหยิบมันมาเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่ทั้งสองใบ ก่อนจะหนีบน้ำแข็งใส่แก้ว พร้อมกับเทน้ำเป็ปซี่ลงไป จากนั้นก็ยื่นให้เพื่อน
“ดื่มน้ำเย็น ๆ ซะ เผื่อจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น”
ลลนารับมันขึ้นมาจิบพร้อมกับเบนสายตาหันไปทางอื่นที่ไม่ต้องเห็นภาพความผูกพันระหว่างพ่อลูกคู่นั้น
พอรายการอาหารที่สั่งค่อย ๆ ทยอยนำมาเสริฟ ทั้งสองก็ลงมือทานอย่างเอร็ดอร่อย โดยใช้ความเผ็ดเป็นตัวช่วยทำให้ลืมเรื่องราวน่าเศร้า ทั้งคู่ทานไปทำท่าห่อปากไป เมื่อตักส้มตำปูรสแซ่บขึ้นมาทาน

“โอ๊ย เผ็ด ๆ” พูดไปก็หยิบน้ำทานไป สลับกันไปมาอย่างนี้เรื่อย ๆ จนกระทั่งอาหารที่อยู่บนโต๊ะหมด ใบหน้าของลลนาและชโลธรก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ต่างใช้กระดาษทิชชู่ซับไปตามวงหน้าที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีชมพู นั่นก็เพราะเนื่องมาจากความเผ็ดอย่างถึงใจ แล้วชโลธรก็กวักมือเรียกพนักงานมาเช็คบิล
พอทานอิ่มทั้งสองก็พากันขับรถไปที่บ้านพัก เพื่อนสาวเป็นคนเอากระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปเก็บพร้อมกับกับข้าวและไวน์ที่ซื้อมาเพื่อหวังจะจัดฉลองให้กับเพื่อน ส่วนลลนากลับเลือกเดินเล่นอยู่ทางด้านนอก มองเห็นชายทะเลที่มีน้ำสาดซัดขึ้นมาบนฝั่ง จึงทำให้อยากลงไปเล่น เท้าสองข้างเดินเตะพื้นทรายเหมือนระบายอารมณ์ไปเรื่อย ๆ ก่อนจะลงไปยืนเรียบชายฝั่งโดยให้เท้าถูกน้ำทะเลที่สาดขึ้นมาด้วยความสนุก ท่ามกลางสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ จนทำให้เส้นผมที่ปล่อยสยายปลิวไปตามลม

หลังจากที่ชโลธรเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกมาที่หาดทราย แต่สายตากลับสนใจที่เตียงพับซึ่งเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวเช่า เธอเดินไปตกลงราคาเตียงพับ 2 ตัว พอเรียบร้อยก็เอนร่างลงนอนอย่างสบายอารมณ์ สักพักหนึ่งลลนาก็เดินมาทรุดร่างนั่งลงที่เตียงพับบ้าง เอนกายลงไปเช่นกันและเหยียดแขนสองมือขึ้นไปทางด้านบน
“อากาศเย็น น่านอนดีเหมือนกันนะเจท”
“ใช่”ลลนาตอบเพื่อนสาว
“งั้นฉันขอตัวนอนก่อนละกันนะ แบบว่านาน ๆ จะได้มานอนอย่างนี้ซะที”
“เดี๋ยวฉันจะนอนหลับบ้างเหมือนกัน” คนตอบมองไปทางเพื่อนและยิ้ม

เมื่อพูดจบชโลธรจึงนอนหลับตาไปก่อน ส่วนลลนายังนอนลืมตาอยู่และคิดถึงเรื่องตัวเอง ชีวิตของเธอมีจุดหมายอะไรไหมนะ นอกจากทำตามความพอใจที่ไร้สาระของตัวเอง
การเป็นนักแข่งรถก็ไม่ใช่ว่าหญิงสาวอยากเป็นมาตั้งแต่ต้น แต่เพราะอยากที่จะได้เห็นเขาอยู่เสมอแม้ว่าจะเคยตั้งใจไว้ว่าจะลืมอีกฝ่าย แต่ก็ทำไม่ได้สักที จึงทำให้ลลนาเลือกเส้นทางนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความคิดเลยนะ ที่ทำอะไรเอาแต่ใจ ลลนานอนยกมือก่ายหน้าผากคิดถึงอนาคตในวันข้างหน้า จะมีไหมนะที่พ่อกับพี่รุทธิ์จะมองเห็นความสำคัญของเธอบ้าง นัยน์ตากลมโตได้แต่เหม่อมองออกไปยังทะเลตรงหน้าที่ไหลสุดลูกหูลูกตา
ที่บ้านของอังกฤษกับปัจสินาฏเมื่อผู้เป็นแม่เห็นลูกชายแบกเป้ลงมาก็ทำสีหน้าแปลกใจ จึงถามเขาด้วยความอยากรู้ พร้อมกับต่อว่าอีกฝ่ายกลายๆ
“จะเตรียมตัวไปไหนอีกล่ะอาร์ม นี่เราอยู่กับพ่อแม่แค่นี้เองเหรอ” ชายหนุ่มกายสูงถือกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินเข้ามาหาและตอบ

“ผมว่าจะไปนอนพักที่บ้านอาทินน่ะครับ แบบว่านาน ๆ จะได้พักสักที แม่ก็รู้นี่ครับว่าผมชอบไปที่นั่นเป็นประจำ”
“รู้สิ แต่แม่ก็อดน้อยใจไม่ได้ นี่ถ้าแม่รู้ว่าการที่อาร์มเป็นนักแข่งรถแล้วทำให้แม่กับเราต้องห่างกันอย่างนี้ล่ะก็ ตอนนั้นแม่จะไม่สนับสนุนเลย” ปัจสินาฏทำหน้างอนๆ ชายหนุ่มก็โอบกอดตัวเธอไว้
“ผมไปไม่นานหรอกครับคุณแม่”
“ตอนนั้นก็บอกอย่างนี้ แล้วเป็นไงเราต้องไปอยู่กับเพื่อนพ่อที่กรุงเทพแทนที่จะได้อยู่กับแม่ที่นี่”
“คุณแม่ไปกับผมไหมล่ะครับ” เขาถามมารดา ปัจสินาฏจึงตอบกลับมา

“ทำเป็นถาม รู้อยู่ว่าแม่จะไปได้ยังไงกัน”
“กลัวคุณพ่อไม่มีคนดูแลใช่ไหมครับ”ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ดี มือเรียวจึงยกขึ้นลูบศีรษะและถามอีก
“ไม่ไปไม่ได้เหรออาร์ม”ผู้เป็นแม่ขอร้องเขา เมื่อเห็นแววตาของผู้เป็นแม่มันก็ทำให้เขายอมทำตาม
“ก็ได้ครับ ผมจะอยู่กับคุณแม่” แล้วกฤษรัฐก็วางกระเป๋าเป้ลง ทางด้านปัจสินาฏก็ดึงเขาเข้ามาหอม ลูกต่อให้โตแค่ไหนก็ยังดูเด็กในสายตาของบิดามารดาอยู่ดี

 

โดย: tonkho-w 22 สิงหาคม 2550 9:13:34 น.  

 

ตอน 3

ลลนาลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายที่แสงแดดเริ่มส่องมาโดนตัวของทั้งสอง จึงหันไปปลุกเพื่อน ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์เลยทีเดียว มือเรียวเอื้อมไปสะกิดแขนของชโลธร
“ยู ๆ ย้ายที่กันเถอะ แดดมันส่องโดน”
“อ้าวเหรอ”ชโลธรตื่นขึ้นมาและขยับที่เข้าไปด้านใน แต่พอเห็นเพื่อนไม่ยอมนอนลงต่อก็เอ่ยถาม
“ไม่นอนแล้วเหรอเจท”
“ไม่แล้วล่ะ ว่าจะไปเล่นน้ำ”พอได้ยินชโลธรก็มองไปที่ดวงอาทิตย์กับแสงแดดที่ส่องลงมายังตนด้วยใบหน้าไม่สู้ดีนัก
“ร้อนอย่างนี้เนี่ยนะเจท ไม่กลัวผิวไหม้เหรอ” ถามอย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า
“ไม่กลัว ถ้ายูไม่เล่นเดี๋ยวเจทเล่นเอง” บอกแล้วก็วิ่งเข้าไปในบ้านพักสักพักหนึ่ง ก่อนจะออกมาในชุดทูพีซสีแดงเข้มตัดกับผิวขาวนวลที่อยู่ด้านใน ลลนาเดินมานั่งลงที่เตียงพับและบอกเพื่อน

“ทาให้หน่อยสิ”พูดและยื่นครีมกันแดดส่งให้ ส่วนตนเองก็แกะชุดเชือกที่ผูกยังคอลงมา เผยให้เห็นเนินอกเนียน ลลนาเอนกายนอนคว่ำเพื่อให้เพื่อนทาครีมได้อย่างสะดวก ชโลธรเทครีมใส่ฝ่ามือและไล้ไปทั่วแผ่นหลังนวลละไม จะไม่เป็นเช่นนี้ได้ยังไงในเมื่อเพื่อนสาวของตนใส่แต่ชุดแข่งรถที่ทั้งหนาและร้อน ก็เหมือนเป็นการอบผิวไปในตัว ลลนาถามเพื่อนซ้ำอีก
“ตกลงไม่เล่นแน่เหรอยู”
“หึ ไม่ล่ะ ร้อน ขอนั่งดูอยู่บนนี้ดีกว่า” บอกและชโลมครีมกันแดดลงไปตามขาเรียวของเพื่อนพอเสร็จก็บอกให้รู้
“ทาเสร็จละ”
ชโลธรยื่นครีมคืนให้ลลนาก็รับมา ก่อนจะจัดการผูกเชือกที่หน้าอกกับต้นคออีกครั้งหนึ่ง หยิบครีมกันแดดมาทาไปตามแขนขาที่อยู่ด้านหน้าแล้วก็ลุกขึ้นยืน สะบัดสะโพกกลมกลึงที่เปิดให้คนได้ยลตาอย่างไม่ตั้งใจนั่นก็เพราะชุดบิกินี่เบื้องล่างที่มันเว้าอย่างเข้ารูปไปกับเรือนร่างของคนใส่ ช่วงขาเพรียวยาวที่ทำให้ชุดนักแข่งดูพอดีตัวรัดรึงไปทุกสัดส่วน เรียกได้ว่าเพื่อนของตนมีกายเป็นอาวุธที่จะทำให้หนุ่ม ๆ ทั้งหลายตาเป็นมันกับความเหมาะเจาะทุกส่วนของเรือนร่าง

ลลนาวิ่งลงไปในน้ำทะเลอย่างไม่กลัวว่าผิวที่ขาวของตนจะถูกแดดเลียให้คล้ำ เธอดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนาน ดั่งปลาโลมาที่โผเข้าหาน้ำด้วยท่าทางดีใจ ชโลธรเอนกายลงกับเตียงพับและนอนมองเพื่อนว่ายน้ำในทะเลด้วยท่าทางมีความสุข ก็รู้สึกดีใจที่เพื่อนสาวไม่ได้มานั่งคิดมากเกี่ยวกับเรื่องที่น้อยใจ กะว่ารอให้แดดร่มอีกสักนิดก็จะลงไปเล่นน้ำเหมือนกัน
ส่วนตัวชายหนุ่มอีกคนพอรับปากว่าจะอยู่กับมารดาในช่วงพักร้อนจากการแข่งทำให้เขาต้องนอนอยู่ที่บ้านแทน ทำไงได้สัญญากับแม่แล้วนี่ว่าจะอยู่ด้วยในช่วงนี้ กฤษรัฐนอนเหยียดกายอยู่บนเตียงไม้สีขาวข้างสระว่ายน้ำ ปล่อยให้แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องร่างของตน
ทางด้านนอกของหน้าบ้าน รถเก๋งสีดำแบบเรียบ ๆ คันใหญ่ก็ขับเข้ามาในบ้านของอังกฤษกับปัจสินาฏ คนขับเปิดประตูก้าวลงมาจากรถ เจ้าของเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่มาพร้อมกับมารดา ที่หอบกับข้าวลงมาจากรถเต็มไปหมด
“เอ้าเร็วยูโรเอากับข้าวขึ้นไปบนตึก”

“ครับแม่”ชายหนุ่มเอ่ยขานตอบและบ่นออกมา
“แม่ครับผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม”
“แหมชื่อยูโรออกจะน่ารัก” ธารวีแกล้งกระเซ้าลูกชายที่เวลานี้กำลังเปิดท้ายรถ โดยภายในนั้นมีหม้อกับขนมและกับข้าวเต็มไปหมด ปัจสินาฏที่ได้ยินเสียงรถขับเข้ามาในบ้านก็เดินออกมาต้อนรับเมื่อเห็นว่าใครมาเยี่ยม
“อ้าววี ไปไงมาไงเนี่ย”
“เอากับข้าวมาให้น่ะ พอดีไหว้เจ้าเพิ่งเสร็จ เลยแบ่งกับข้าวมาเผื่อ”
“โห คราวหลังไม่ต้องก็ได้” ปัจสินาฏเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็ทานไม่หมดอยู่แล้ว” ธารวีหันไปทางเด็กในบ้านของปัจสินาฏและร้องสั่ง
“มาช่วยยกกับข้าวขึ้นไปเร็ว”

“ค่ะ คุณวี“ ไม่ต้องเอ่ยซ้ำเด็กในบ้านก็กุลีกุจอเข้ามาช่วยอย่างขมีขมัน ชายหนุ่มอีกคนจึงเอ่ยถามผู้หญิงที่เดินลงมา
“อาร์มอยู่ไหมครับอาปัจ”
“นอนอยู่ด้านหลังน่ะจ้ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอไปหาอาร์มนะครับ” นายตำรวจหนุ่มที่เป็นลูกชายของธารวีบอกกับปัจสินาฏ และอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบ
“ตามสบายเลยจ้ะยูโร” เพียงได้ยินเพื่อนมารดาเรียกชื่อเต็ม ๆ ของตนเขาก็โอดครวญเหมือนเมื่อครู่
“โธ่ อาปัจ ขอร้องล่ะครับ อย่าเรียกชื่อผมเต็ม ๆ ผมทำใจยอมรับไม่ได้”
“อ้าวก็เราเกิดตอนมีบอลโลกพอดีนี่ แม่เราเขาก็เลยตั้งชื่อนี้ให้”
“มันก็ถูกครับ แต่พอเวลาคนอื่นเรียกยูโร ยูโร มันดูเด็กจัง เรียกยูเฉยๆก็พอนะครับ” ปัจสินาฏหัวเราะออกมาและบอก

“ก็ได้จ้ะ อาจะเรียกยูเฉย ๆ ก็ได้”ธนบดินทร์ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ขอบคุณครับอาปัจ ถ้าอย่างนั้นผมไปหาอารม์ก่อนนะครับ”
“จ้ะ” เมื่อได้รับคำอนุญาตเขาก็เดินหายไปทางหลังตึกทันที โดยมารดาของชายหนุ่มก็มองตามและถามเพื่อน
“ชื่อยูโรมันตลกตรงไหนน่ะปัจ ออกจะน่ารัก”
“มันดูเด็กไปมั้ง ช่างเถอะเขาไม่ชอบเราก็อย่าไปเรียกละกัน” หญิงสาวบอกกับเพื่อนแต่ธารวีหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ฉันจะเรียก ยูโร ยูโร”
“โธ่ ยัยวีเดี๋ยวลูกก็น้อยใจหรอก ป่ะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า” บอกเสร็จก็พาเพื่อนเข้าไปในบ้าน
ทางด้านของธนบดินทร์ก็เดินไปทางด้านหลังของตึก ก้าวลงบันไดไปยังสถานที่ซึ่งแม่ของเพื่อนบอกว่าอาร์มอยู่ที่นั่น เพียงเดินลงไปที่บริเวณสระว่ายน้ำเขาก็เห็นร่างของกฤษรัฐนอนเหยียดยาวอยู่ ดูเหมือนกำลังหลับอย่างสบายใจเหลือเกิน ด้วยความหมั่นไส้จึงแกล้งวักน้ำในสระสาดใส่ ซู่ ….
ชายหนุ่มที่นอนอยู่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที และทำหน้านิ่วใส่พอเห็นว่าใครทำ

“เจ้ายู ทำอะไรเนี่ย”
“เห็น ๆ อยู่ว่าสาดน้ำ ยังจะถามอีก” อีกฝ่ายตอบไม่ตรงคำถามทำให้ร่างที่อยู่บนเตียงไม้ ลุกขึ้นมาดึงคอเสื้อคนแกล้งไว้และทำเป็นลากไปที่สระ
“รู้แล้วว่าสาดน้ำ แต่ทำแบบนี้ทำไม” นายตำรวจหนุ่มที่ไซส์ต่างกันไม่มากโดนกระชากคอเสื้อ รีบพูดเสียงอ่อย
“เฮ้ยอาร์ม ปล่อยก่อน ๆ พูดดี ๆ ก็ได้นี่หว่าทำไมต้องดึงคอเสื้อกันด้วย”เพียงพูดจบมือใหญ่ก็ปล่อยตามคำขอ ปรากฏว่าร่างของธนบดินทร์หล่นลงไปในสระว่ายน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว ตูม! กฤษรัฐยืนหัวเราะขำที่เห็นเพื่อนตกน้ำ
“ฮะ ฮะ ฮะ โทษทีนะเพื่อนที่ปล่อยเร็วไปหน่อย” พูดแล้วก็ฉุดอีกฝ่ายขึ้นมา ธนบดินทร์พอขึ้นมาได้ในสภาพเปียกปอน ก็เอ่ยแบบกัดฟัน
“ขอบใจมากเพื่อนที่ปล่อยได้จังหวะพอดี” เอ่ยจบก็ฉุดร่างซึ่งอยู่บนฝั่งลงไปด้วย กฤษรัฐร้องออกมาแต่ไม่ทันการณ์

“เฮ้ย ตูม” ธารวีเดินออกมาทางด้านหลังเห็นสองหนุ่มลงไปแช่น้ำทั้งชุดก็ถามด้วยความสงสัย
“นี่ร้อนจัดกันมากเหรอจ๊ะ ถึงลงไปว่ายน้ำกันน่ะยูโร“
“ยูน่ะครับเขาบอกว่าร้อนผมก็เลยช่วยสงเคราะห์ให้”
“แล้วผมก็สงเคราะห์อาร์มเหมือนกันครับแม่แทนคำขอบคุณ แม่ครับผมบอกให้เรียกว่ายูเฉย ๆ ไม่ใช่ยูโร” อีกฝ่ายพูดอย่างกัดฟันด้วยความเจ็บใจที่โดนโยนลงน้ำ และหันไปบอกมารดาของตน ธารวีก็ตอบกลับมา
“อ้าวก็ชื่อเรามันมาจากที่แม่ชอบบอลนี่ ชื่อยูเฉยๆ มันจะไปเท่ห์อะไร”ธารวีเถียงกลับ คนเป็นลูกจึงไม่อยากต่อล้อต่อเถียง
“อยากเรียกชื่ออะไรก็ตามสะดวกครับแม่” แล้วก็หันไปทางเพื่อน“แล้วไงเนี่ยเปียกหมด”
“ก็ขึ้นไปเปลี่ยนชุดสิถามแปลกๆ” นักแข่งรถหนุ่มบอกกลับมา พร้อมกับยืดตัวกระโดดขึ้นไปบนฝั่ง ก่อนนายตำรวจหนุ่มจะยืดตัวกระโดดตามขึ้นไปเช่นกัน ปัจสินาฏเดินออกมาเห็นทั้งสองหนุ่มก็เอ่ยถาม
“นั่นทำไมตัวเปียกหมดอย่างนั้นล่ะอาร์ม”

“อากาศมันร้อนครับ เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศ เดี๋ยวผมขอตัวขึ้นเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ ไปยูโรไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” เพียงเอ่ยจบก็ได้ยินเสียงเพื่อนบอกกลับมา
“ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมอาร์ม ว่าอย่าเรียกชื่อเต็ม” ธนบดินทร์ทำเสียงฮึ่มๆ ใส่เพื่อน เขาก็แกล้งเย้ากลับ
“ออกจะน่ารัก นายน่าจะชอบ”
“ไม่ชอบ ถ้าขืนนายเรียกอีกละก็ นายกับเราเลิกเป็นเพื่อนกัน” นายตำรวจหนุ่มพูดขู่ทำให้อีกฝ่ายเลิกแซว
“โอเคไม่เรียกก็ไม่เรียก” บอกแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน เพื่อนหนุ่มก็ก้าวตามไป
บนห้องชั้นบนภายในห้องนอนของกฤษรัฐที่มีเตียงนอนใหญ่วางอยู่ตรงกลาง ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อไว้ผ่อนคลายโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นโปสเตอร์รูปผู้หญิงหุ่นสะบึมที่เรียกได้ว่าเนื้อนมไข่ทีเดียว อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกดินระเบิด มองไปฝั่งซ้ายมือก็มีจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่เหมือนมีโรงหนังในบ้านเองอย่างไรอย่างนั้น ส่วนฝั่งขวามือก็เป็นตู้โชว์ถ้วยรางวัลที่ขับชนะมาหลายสนาม
“โอ้โห ถ้วยเยอะชะมัด”

“ตะลึงเลยหรือไง”
“ก็มีบ้าง”
“การได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะ” บอกและเปิดตู้เสื้อผ้าดึงชุดเสื้อยืดโปโลกับกางเกงขาสั้นพร้อมกับผ้าขนหนูส่งให้เพื่อน
“อ่ะ เอาไปเปลี่ยน” ธนบดินทร์รีบรับไว้ได้อย่างรวดเร็วและเดินเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเดินออกมาอีกครั้งหนึ่งในสภาพที่เรียบร้อย สายตาของเขากวาดไปยังหน้าจอโทรทัศน์ที่เพื่อนกำลังดูอย่างสนใจ เป็นลู่แข่งของรถแรลลี่ รถสองคันกำลังทะยานขึ้นมาเพื่อที่จะแซงหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้กัน ทำให้คนที่ยืนดูเกิดอาการลุ้นตามถึงกับทรุดกายนั่งลงบนเตียง
“นายว่าคันไหนชนะ”
“สีเหลือง” หนุ่มอีกคนบอกกลับมา

“ฉันก็ว่าอย่างนั้นล่ะ”
และก็เป็นจริงเมื่อรถคันสีขาวพยายามจะขับแซงขึ้นมา คนขับรถสีเหลืองก็หักพวงมาลัยกั้นทางไว้ ทำให้รถสีขาวยิ่งพยายามหาทางจะแซงให้ผ่าน แต่ก็เหมือนเดิม อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปได้ง่ายนัก ขับโยกซ้าย อีกคันก็โยกตามเหมือนดักทาง พอขับโยกขวา ก็หักเข้าตามประชิด แบบไม่ให้รถคันหลังได้ประสบความสำเร็จ ดวงตาของกฤษรัฐจ้องนิ่งไปที่รถคันเหลือง ต่างกันกับเพื่อนหนุ่มที่นาน ๆ จะได้ดูกีฬาเร้าใจและลุ้นระทึกอย่างนี้ จนมาถึงโค้งสุดท้าย มีรถอีกคันตีตื้นตามขึ้นมาติด ๆ เป็นรถสีน้ำเงิน กำลังพยายามจะเหยียบแซงให้พ้นรถคันหน้าทั้งสอง คนขับรถสีเหลืองกลับหักพวงมาลัยเข้ามายังเลนในสุด รถคันสีขาวก็หักแซงขวาขึ้นมา แต่ก็ติดรถคันสีน้ำเงิน ทำให้ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด ธนบดินทร์เห็นการแข่งขันบนจอแล้วอดทึ่งไม่ได้
“เก่งว่ะ คิดได้ไงเนี่ย”
“ของอย่างนี้มันต้องมีเทคนิค” กฤษรัฐเอ่ยชม
จนกระทั่งรถแข่งคันสีเหลืองขับผ่านเส้นชัยไป พร้อมกับเสียงโห่ร้องอย่างดีใจ เขามองดูเวลาที่วิ่งอยู่บนจอ เกือบดีแต่ยังไม่ดีที่สุด ทันทีที่รถจอดเสร็จ ร่างในรถสีเหลืองก็ก้าวลงมา ชายหนุ่มที่มองจอก็ร้องออกมาอย่างแปลกใจ

“เฮ้ย ผู้หญิงนี่หว่า ที่เป็นคนขับ”
เจ้าของรถก้าวลงมาในชุดแข่งสีดำที่เข้ารูป สองหนุ่มมองอย่างไม่กระพริบ โดยเฉพาะเวลาที่สลัดหมวกรถแข่งออกมาทำให้ผมหยักศกที่เก็บไว้ด้านในหลุดลงมาสยายเต็มแผ่นหลัง แล้วใบหน้ามนก็หันมาฉีกยิ้มกว้างให้กับทุกคน กฤษรัฐกดปุ่มรีโมทสต็อปไว้ก่อน เพื่อที่จะได้เห็นหน้าของเธออย่างชัดเจน ทรงผมทรงนี้กับผู้หญิงที่ตนเองเห็นเมื่อวาน จะเป็นคนเดียวกันหรือเปล่านะ
“หน้าตาสวยสุด ๆ เลยว่ะ ใครจะคิดว่าผู้หญิงก็กล้าขับรถแรง ๆ แบบนี้เหมือนกัน นายเคยเห็นเธอรึยัง ชื่อ ลลนา ธรรมดิศร คนไทยนี่นา”ธนบดินทร์ได้ยินเสียงโฆษกประกาศผ่านหน้าจอ ผู้ชายที่เห็นใบหน้าเนียนอย่างชัดเจนคิดอย่างมุ่งมั่นในใจ
“จะต้องรู้จักเธอให้ได้”
“นายรู้จักผู้หญิงคนนี้ไหมน่ะ” นายตำรวจหนุ่มหันมาถามและเขาก็ส่ายหน้า
“ไม่รู้จัก แต่อีกไม่นานต้องได้รู้จักแน่”ไม่รู้ทำไมเขาถึงตั้งมั่นที่จะรู้จักอีกฝ่ายให้ได้ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกของตนมันบอกว่าเริ่มสนใจผู้หญิงนักแข่งรถสาวที่หุ่นถูกตาเขา ขณะที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นแม่ของเพื่อนตะโกนเรียกขึ้นมา

“เด็ก ๆ ลงไปทานข้าวกันได้แล้วนะ”
“ครับแม่” ธนบดินทร์ได้ยินเสียงของมารดาตนเองตะโกนเรียกจึงตอบรับกลับไป เขาหันมาถามเพื่อนหนุ่มที่ปิดทีวี
“นายมีภาพแข่งรถของผู้หญิงคนนี้อีกไหม”
“ทำไมเกิดสนใจกีฬานี้เหรอ”
“ก็นิดหน่อย แต่ชอบเวลาผู้หญิงคนนี้ขับรถชะมัด ดูเก่งและมีกึ๋นดี”
“ก็มีอยู่ประมาณ 2 แผ่น นายเอาไปดูสิ” พูดแล้วก็ค้นซีดีที่อยู่ในกระเป๋าเป้ส่งให้ไป ทำเอาเพื่อนหนุ่มที่เห็นเกิดอาการสงสัย
“อย่าบอกนะว่านายพกซีดีแข่งรถนี่ไปทุกที่” เขาพยักหน้ารับ
“ก็ใช่”
“ทำไมเกิดติดใจนักแข่งรถสาวเหรอ”
“มันก็มีบ้างนิดหน่อย เหมือนกับที่นายติดใจใบหน้าคนขับน่ะล่ะ” กฤษรัฐบอกให้เพื่อนฟัง

“นี่เด็กๆ เรียกรอบสองละนะ ถ้ามีรอบสามเป็นเรื่องแน่”
“ลงไปกันเหอะ แม่เรียกสองรอบแล้ว” นายตำรวจหนุ่มบอกกับเพื่อนและรีบรีบถือซีดีแผ่นเล็กลงไปชั้นล่างพร้อมกับชายหนุ่มที่เป็นนักแข่งรถ
บนโต๊ะอาหารธารวีก็คุยให้กฤษรัฐฟังถึงเรื่องที่ตอนนี้ตนไม่ได้เป็นแค่แฟนบอลเท่านั้นแต่ยังมีกีฬาอื่นที่ตัวเองสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
“นี่รู้ไหมอาร์มว่าตอนนี้อาวีน่ะ ไม่ได้บ้าบอลอย่างเดียวแล้วนะ แต่ว่าอายังดูกีฬารถแข่งด้วย ก็ตั้งแต่ที่อาร์มไปเป็นนักแข่งรถนี่ล่ะ นี่ถ้าเจ้ายูโรเก่งแบบอาร์มนะอาก็ไม่พลาด เสียดายลูกชายอาปอดแหกไปหน่อยไม่ยอมขับรถแบบนี้มั่ง”
“โธ่แม่ครับแต่ผมก็เป็นตำรวจได้นะครับ”

“ก็ใช่สิหน้าตาให้นี่นาดุเชียว มา ๆ ทานอาหารกันดีกว่า เดี๋ยวกับข้าวเย็นหมดจะไม่อร่อย”
“นั่นสิ”
ปัจสินาฏเห็นด้วยกับเพื่อน วันนี้บ้านเธอดูเหมือนเป็นศูนย์รวมวันนัดพบระหว่างครอบครัวของธารวีและของตน บดินทรและอังกฤษที่ทำงานเสร็จก็ขับรถตามกันมาตามลำดับ ทั้งคู่แทบจะเลิกนิสัยเจ้าชู้ไปเลยเพราะกลัวฤทธิ์ภรรยาทั้งสองถ้าหากจับได้ว่าเจ้าชู้ไม่เลิก เรียกว่าเข็ดจนตายเลยดีกว่า ถ้าเจอแบบนั้นรอบสอง วันนี้ปัจสินาฏทำกับข้าวฉลองให้กับลูกชายที่แข่งรถชนะอีกแล้ว โดยมีครอบครัวของเพื่อนที่ร่วมแสดงความยินดีด้วย

ทางด้านลลนาหลังจากที่เล่นน้ำจนฉ่ำปอดกับเพื่อนสาวแล้ว ก็พากันไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกมาช่วยกันทำอาหารทานในบ้านพัก โดยยามนี้ทั้งสองสาวอยู่ในชุดสไตล์สบาย ๆ ง่าย ๆ ลลนาใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น ส่วนชโลธรก็ใส่เสื้อสายเดี่ยวสีหวานกำลังเปิดตู้เย็นหยิบของภายในนั้นออกมาวางที่เคาน์เตอร์ห้องครัวซึ่งเป็นสีฟ้า จากนั้นก็หยิบเขียงขึ้นมาโดยคนที่หั่นหมูก็เป็นชโลธร ผู้เป็นคนคิดเมนูอาหารมื้อเย็น
“วันนี้จะทำผัดสปาเก็ตตี้หมูอบน้ำผึ้ง เคยทานไหมเจท” หันมาถามลลนาโดยที่ในมือยังถือมีดไว้อยู่ หญิงสาวอีกคนก็ตอบ
“เคยแต่กล้วยอบน้ำผึ้ง”
“งั้นเดี๋ยววันนี้ลองทานกับข้าวฝีมือของยูดูละกัน” พูดจบก็หยิบหมูมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ชามจัดการคลุกเคล้าซอสกับน้ำผึ้งให้เข้ากันด้วยมือเปล่า ๆ ลลนามองดูเพื่อนทำก็ยิ้มและพูดแซว
“โห ทานขี้มือเธอเนี่ยนะยัยยู”

“เออน่า ไม่สกปรกหรอกอร่อย”
แม่ครัวการันตีความสะอาด พอเครื่องปรุงเข้าที่ก็นำมาใส่หม้อเชฟรอน แล้วก็เปิดเตาอบไมโครเวฟให้ทำงาน จัดการปรับเวลาอบไว้ประมาณ 30 นาที ยิ่งอบนานซอสก็ยิ่งหอม พอเสร็จก็หันไปล้างกะทะไฟฟ้าให้สะอาด จัดการเทน้ำมันลงไป รอให้เดือดสักครู่ก็หยิบเส้นสปาเก็ตตี้ใส่ลงไปผัด พลิกตะหลิวไปมาให้เส้นสุกพอประมาณก็ตักขึ้น ระหว่างนั้นชโลธรก็หยิบผักกระหล่ำมาหั่นเป็นเส้นเล็ก ๆ ไว้โรยหน้า
จนกระทั่งเสียงเตาอบไมโครเวฟบอกเวลาหมูอบสุกได้ที่แล้ว จึงหันไปเปิดฝาออกและใช้ผ้าหยิบชามใส่หมูออกมา เทใส่จานที่อยู่ในครัว จากนั้นชโลธรก็ใช้มือหยิบหมูขึ้นมาลองกัดชิม
“โอ้ อร่อยมากเลย หอมทั้งซอส ทั้งน้ำผึ้ง”
“ไหนชิมบ้างสิ” พูดแล้วลลนาก็หยิบมากัดมั่งก่อนจะยิ้มออกมา
“อื้ม อร่อย” จากนั้นก็หยิบอีกพอหมดก็จะหยิบต่อคราวนี้เพื่อนสาวห้ามไว้

“พอแล้วยัยเจทเดี๋ยวกับข้าวก็หมดหรอก ยังไม่เสร็จเรียบร้อยซะหน่อย”
“อ้าวขาดอะไรอีกล่ะ”ลลนาถามโดยที่ในปากยังเคี้ยวตุ้ย ๆ อยู่ และดูดปลายนิ้วที่ติดน้ำผึ้งอย่างอร่อย ชโลธรจึงของอีกอย่างขึ้นมา
“ก็นี่ไงอุตส่าห์ผัดเส้นไว้ไม่เห็นเหรอ” พูดจบก็จัดการแบ่งสปาเกตตี้ใส่จานสองใบโดยใช้ส้อมช่วย จากนั้นก็ใช้ช้อนตักหมูอบซอสน้ำผึ้งวางใส่ลงไป ก่อนจะหยิบพริกไทยดำเหยาะที่ด้านบนและโรยด้วยเส้นกระหล่ำปลีที่ซอยทิ้งไว้เมื่อครู่ ก่อนจะร้องออกมาอย่างดีใจ
“เสร็จแล้ว สปาเกตตี้หมูอบน้ำผึ้ง เอาออกไปทานข้างนอกกันเถอะเจท”
“ได้ เดี๋ยวเจทไปหยิบไวน์มาเปิดด้วย” พูดแล้วก็วิ่งไปที่ตู้เย็นหยิบขวดไวน์ที่แช่ไว้ออกมา ชโลธรก็แย่งไปจากมือและบอก

“เดี๋ยวยูเขย่าเอง”เอ่ยจบก็เอามายืนเขย่าแบบสาวเชค บิดสะโพกไปซ้ายทีขวาที จนหญิงสาวอีกคนต้องบอก
“พอแล้วยัยยูเดี๋ยวสะโพกก็หักหรอก”
“น่า นิดหน่อยเอง” พูดเสร็จก็เปิดฝาขวดไวน์ออก ป๊อก….
“ฉลองที่ขับรถชนะมานะเจท” เท่านั้นล่ะลลนาก็ยิ้มและดึงเพื่อนเข้าไปกอดก่อนจะบอกด้วยความซึ้ง
“ขอบใจมากนะยู”
“ไม่เป็นไร เอ้า เลยร้องไห้เลย เรามาทานสปาเก็ตตี้กันดีกว่า เดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อย อ้อ แล้วก็อย่าทำ
น้ำตาหยดไปนะจ๊ะ เดี๋ยวจะหาว่าสวยไม่เตือน เกิดเค็มไปหมดอร่อยไม่รู้ด้วย”
เพียงคำพูดปลอบใจของเพื่อนก็ทำให้ลลนายิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา ทุกครั้งที่หญิงสาวมีเรื่องเสียใจเพื่อนคนนี้จะคอยอยู่ข้างเธอเสมอ

ชโลธรจัดการเทไวน์แดงใส่แก้วทรงสูงสองใบ กว่าจะได้ทานท้องฟ้าด้านนอกก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว พอเห็นดังนั้นเพื่อนสาวก็วิ่งเข้าไปด้านในหยิบเทียนในลิ้นชักที่เก็บไว้กันไฟดับมาจุดและบอก
“ไหน ๆ จะฉลองทั้งที เอาเทียนมาจุดเพิ่มบรรยากาศหน่อยดีกว่า ถึงมันจะไม่สวยก็ช่างเหอะเนอะ บรรยากาศอยู่ที่ใจ” พอจุดเสร็จก็เปรยออกมา
“เท่านี้ก็เรียบร้อย ได้ทานอาหารภายใต้แสงจันทร์แบบโรแมนติก”ชโลธรพูดและหยิบช้อนส้อมเตรียมตัวตะลุยอาหารตรงหน้า
“มาเจท จัดการกับอาหารกันเถอะ”
“โอเค”ลลนาพยักหน้ารับ แล้วทั้งคู่ก็เริ่มลงมือตักอาหารตรงหน้าทานอย่างเอร็ดอร่อย

 

โดย: tonkho-w 22 สิงหาคม 2550 9:15:56 น.  

 

ตอน 4

ช่วงบ่ายๆหลังจากที่สองสาวตื่นขึ้นมาจัดการกับอาหารเช้าแต่มันคงกลายเป็นเที่ยงแล้วล่ะ เพราะทั้งคู่ตื่นสายกันเกือบหมด ชโลธรกับลลนาพากันเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะออกไปขับเรือเล่นกัน โดยวันนี้สองสาวใส่ชุดเกาะอกกางเกงขาสั้นเหมือนกันทั้งคู่ ต่างคนต่างนั่งทาครีมกันแดด จนเสร็จก็พากันวิ่งลงไปในน้ำ มองเห็นเรือที่จอดอยู่ก็เข้าไปติดต่อ คนเป็นเจ้าของเรือมองสองสาวตาไม่กระพริบเลย จนชโลธรต้องส่งเสียงบอก
“ขอเช่าเรือค่ะ” เท่านั้นล่ะ หนุ่มที่มองสองสาวตาเป็นมันก็รีบพยักหน้าตอบ
“อ้อ ครับ ได้ครับ”

เมื่อตกลงราคาเป็นรายชั่วโมงกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงเข็นเรือลงไปให้กับทั้งคู่ที่ชายทะเล จัดการสตาร์ทเครื่อง ชโลธรก้าวขึ้นไปพร้อมกับลลนา แล้วทั้งสองสาวก็พากันขับเรือตะลุยออกสู่ท้องทะเลกว้าง ลมเย็น ๆ ที่พัดมาต้องใบหน้าทำให้เกิดความสดชื่น เส้นผมที่ปลิวล้อเล่นลมไม่ได้เป็นอะไรที่ทำให้สองสาวเกิดความรู้สึกรำคาญ กลับดูเหมือนได้มาปลดปล่อยความสนุกสนาน โดยเฉพาะลลนาที่ชอบกีฬาแข่งความเร็วด้วยล่ะก็ ยิ่งเร็วแรงเท่าไหร่ยิ่งดี
“วู้ สนุกจังเลย” ชโลธรร้องออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม
ภายในบ้านพักเสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของลลนาดังขึ้น ตึง ตึง ตึง ซึ่งวางอยู่ในห้องนอนที่ทั้งสองสาวมาพัก ไม่มีวี่แววว่าจะมีคนรับสาย ทำให้คนที่โทรหาถึงกับบ่นอย่างหงุดหงิด

“ไปไหนนะทำไมไม่รับสาย”ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็เอ่ยขึ้น
“สงสัยไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะครับโค้ช หรือไม่ก็คงไม่ได้เอามือถือติดตัวไปด้วย”
ความจริงนายทวีพลแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องของลูกสาวเลยถ้าหากผู้ชายที่เป็นลูกศิษย์ของตนไม่พูดถึง สิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญมากกว่าคือศักดิ์ศรีและชัยชนะเท่านั้น เมื่อโทรไม่ติดเขาก็วางโทรศัพท์ลงทำท่าไม่สนใจ
“ช่างเถอะ โทรไม่ติดก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวยัยเจทก็คงกลับมาเองน่ะล่ะ เห็นเป็นอย่างนี้ทุกที”
บอกจบก็นั่งลงที่โซฟาหยิบแผ่นซีดีที่มีการแข่งขันแรลลี่เมื่อหลายปีก่อนแต่เป็นของต่างประเทศมาให้นิรุทธิ์ดู
“ตอนนี้สิ่งที่รุทธิ์ควรสนใจมากที่สุดก็คือ เทคนิคในการเอาชนะคู่แข่ง นี่อาไปหาโหลดมาจากเน็ตได้ คนนี้เป็นนักแข่งรถที่เก่งนะ”

นายทวีพลเอ่ยถึงชื่อนักแข่งรถที่ดังมากให้อนิรุทธิ์ฟัง แล้วเปิดโทรทัศน์ให้เครื่องเล่นทำงาน ตาจ้องมองวิธีการเอาชนะคู่แข่งเวลาที่ถูกตามอย่างกระชั้นชิด ลลนาเองก็ใช้วิธีนี้เหมือนกัน ศึกษาจากนักแข่งต่างประเทศ แล้วเอามาใช้ในสนามแข่งตนเอง ฝึกและซ้อมให้คล่องพร้อมกับใช้สมาธิที่ไม่ว่อกแว่กจะช่วยทำให้เอาชนะคู่ต่อสู้อีกฝ่ายได้ อนิรุทธิ์ก็มีนิสัยไม่ต่างกับนายทวีพลเลยเมื่อสิ่งที่เขามุ่งมั่นอยากทำให้ได้นั่นก็คือการเอาชนะกฤษรัฐนักแข่งรถซึ่งเป็นแชมป์ให้ได้

ต่างกันกับชายหนุ่มอีกคนเมื่อมีเวลาพักเขาก็จะพักอย่างเต็มที่ มีออกกำลังกายบ้างนิดหน่อย และยามนี้กฤษรัฐก็กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำที่บ้านของตนอย่างสบายใจ สองแขนและสองขาตีท่าฟรีสไตล์ไปกลับทางด้านความยาวของสระ เพื่อทำให้ร่างกายมีความอึดและแข็งแรง บนใบหน้าหล่อมีแว่นกันน้ำสีดำคาดอยู่ ชายหนุ่มอยู่ในชุดกางเกงว่ายน้ำสีน้ำเงินเข้ม ด้วยรูปร่างที่ได้สัดส่วน ก็คงมาจากการที่เขาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ทำให้ร่างกายดูสูงใหญ่ บึกบึน มัดกล้ามขึ้นในที่ส่วนซึ่งเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นบ่ากว้างทรวงอกที่มีไรขนอ่อนๆกับกล้ามเนื้อที่เป็นรอน ไร้ไขมัน ก่อนจะหายเข้าไปยังขอบกางเกงตัวเล็ก รูปร่างแบบนี้สิที่เวลาใส่ชุดแข่งรถแล้วจะทำให้เขาดูเท่ห์เป็นอย่างมาก จนทำให้สาวๆเห็นถึงกับกรี๊ดกันไม่หยุด เมื่อมือแตะขอบสระฝั่งที่มีสปิงบอร์ดเขาก็ว่ายกรรเชียงกลับมาในท่าไม่รีบร้อน ปัจสินาฏที่ถือขนมของว่างมาให้ก็ส่งเสียงเรียก
“ขึ้นมาทานขนมที่แม่ทำเร้วอาร์ม” ชายหนุ่มที่ได้ยินเสียงก็กระโดดขึ้นมาบนสระโดยไม่ปีนบันได ก้าวเข้ามาหามารดาที่มองลูกชายอย่างชื่นชมในความหล่อ ที่ไม่ต่างกับสามีเท่าไหร่ เธอหยิบผ้าขนหนูส่งให้ลูกชายเพื่อเช็ดตัวและหยดน้ำที่เกาะพราวตามร่างกายและใบหน้า รวมไปถึงเส้นผมที่มีสภาพเปียกปอนไม่ต่างกัน

“นี่จ้ะ”
“ขอบคุณครับคุณแม่” เขารับผ้ามาจากมือเธอคลุมไปบนร่างกายและนั่งลงที่เก้าอี้ ใช้ส้อมจิ้มขนมที่มารดาทำขึ้นมาทานคำโต
“เป็นไงอร่อยไหม” ปัจสินาฏเอ่ยถามและนั่งลงใกล้ ๆ
“ไม่อร่อยได้ไงครับ ต้องอร่อยสิครับถ้าคุณแม่ทำ”
“ถ้าอร่อยก็ต้องทานเยอะ ๆ นะ”
“นี่ถ้าผมอยู่ที่นี่กับคุณแม่เหมือนตอนเด็ก ๆ ผมคงอ้วนกลมเป็นหมูแน่เลย”

“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ อยู่กับแม่ไม่ดีรึไง” ชายหนุ่มเคี้ยวขนมให้หมดก่อนจะบอก
“มันก็ดีครับ คุณแม่ทำแต่ของอร่อยให้ทาน ตอนผมอยู่กรุงเทพยังอดคิดถึงขนมที่คุณแม่ทำไม่ได้”
“แต่ก็ไม่ค่อยกลับมาเลย อย่างนี้เหรอที่บอกคิดถึง” ปัจสินาฏทำหน้างอน ๆ จนลูกชายต้องโอบกอดเพื่อปลอบใจ
“ก็ผมต้องซ้อมหนักนี่ครับ เลยไม่มีเวลามาหา”
“แล้วนี่ต้องกลับไปแข่งอีกเมื่อไหร่”
“เดือนหน้าครับ”เขาบอกกับเธอให้รู้
“ถ้าอย่างนั้นก็พักให้สบายอย่างเต็มที่ละกัน กลับไปซ้อมจะได้สดชื่น”
“ครับ ขอบคุณครับคุณแม่ที่เข้าใจผม”

เอ่ยจบร่างสูงก็กอดแม่ของตนที่ไม่ขัดขวางในสิ่งที่ตัวเองชอบ แม้มันจะเป็นกีฬาที่ใช้ความเร็ว แต่ในเมื่อมันคือความชอบของลูก ทั้งคู่ก็ไม่ขัด จะมีบ่นน้อยใจบ้างก็ที่เขามีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยเกินไป
หลังจากที่ลลนาเล่นน้ำเสร็จจึงกลับขึ้นฝั่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ระหว่างนั้นก็เห็นเบอร์ของบิดาโชว์อยู่บนเครื่องเธอมองอย่างรู้สึกแปลกใจ ทุกครั้งแทบไม่เคยเห็นโทรตาม แล้วทำไมครั้งนี้ถึงกดหาได้ล่ะ หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาและกดทวนเบอร์กลับไป แต่กลับไม่มีคนรับสาย นั่นเป็นเพราะนายทวีพลกำลังคุยกับนายกสมาคมกีฬาเกี่ยวกับการลงแข่งขันคราวหน้า รอสายอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าจะรับเธอจึงกดสายทิ้ง แล้ววางโทรศัพท์ลงก่อนจะเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านใน
ลลนาใช้เวลาช่วงนี้พักผ่อนที่ชายทะเล เพื่อเป็นการปล่อยให้เวลาผ่านไป หญิงสาวไม่ชอบเวลาพักเลยถึงแม้จะบอกกับเพื่อนว่าสนุกแต่ในใจกลับรู้สึกเหงาอย่างบอกไม่ถูก ลลนาชอบเวลาซ้อมแข่งรถมากกว่าเพราะมันไม่มีเวลามานั่งคิดถึงเรื่องนี้ เอาสมาธิทั้งหมดมามุ่งอยู่กับการซ้อมทำเวลาให้ดีที่สุด
แล้วเวลาแห่งการพักผ่อนก็หมดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อใกล้ครบกำหนดที่เธอจะต้องกลับไปซ้อมแข่งรถต่อ หญิงสาวทั้งคู่ก็เตรียมเก็บของเพื่อเข้ากรุงเทพ ระหว่างที่นั่งรถกลับชโลธรก็ถามเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ
“จะให้ไปส่งที่ไหนเจท”
“ที่บ้านเธอนั่นล่ะ”ร่างเล็กตอบกลับไป
“ทำไมไม่กลับบ้านไปบอกพ่อก่อนล่ะ”
“ฉันมีพ่อที่ไหนกัน”
“เจทอย่าทำอย่างนี้สิ ยังไงเราก็เป็นลูกนะ ถึงเขาจะไม่มีเวลาคุยกับเรา แต่หน้าที่ของเราก็ต้องทำไปตามปกติ”พอได้ยินที่เพื่อนบอกลลนาก็เอ่ยกลับไป

“ก็ได้ ถ้างั้นก็ส่งฉันที่บ้านละกัน จะได้บอกเขาว่าจะกลับไปซ้อมต่อแล้ว”
“แค่นั้นเหรอ” ชโลธรถามอีก ลลนาก็มองหน้าอีกฝ่ายและถอนหายใจ
“แล้วเธอจะให้ฉันทำอะไรล่ะ เข้าไปหอมแก้มบอกพ่อขา เจทไปแล้วนะคะอย่างนั้นรึไง”
“แต่เมื่อก่อนเธอเองก็ทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ฉันเคยทำอย่างนั้น แต่สิ่งที่ฉันได้รับล่ะ ตอนนี้พ่อกำลังเครียดนะเจท ออกไปเล่นข้างนอกก่อน ไม่ก็ พ่ออยากอยู่คนเดียวต้องใช้สมาธินั่งดูซีดี บางครั้งก็ พ่อกำลังซ้อมแข่งรถให้พี่เขาอยู่มีอะไรจะไปทำก็ทำไปก่อนนะ นี่น่ะเหรอคือสิ่งที่เธออยากให้ฉันทำ ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากเจอคำพูดอย่างนั้นอีก เธออยากให้ฉันกลับบ้านฉันก็กลับแล้วไง”
หญิงสาวพูดออกมาและหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งแอบร้องไห้ ชโลธรใช้หลังมือแตะมือเพื่อนเบา ๆ ปลอบใจ

“ฉันขอโทษนะเจทที่ทำให้เธอเสียใจน่ะ”
“ไม่หรอกเธอไม่ผิด ฉันต่างหากที่ผิด ผิดที่เป็นลูกสาวที่เอาชัยชนะมาให้พ่อไม่ได้ เธอไม่รู้หรอกว่าพ่อฉันอยากเอาชนะเพื่อนเขามากขนาดไหน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเป็นเพื่อนกันจะต้องแกร่งแย่งกันด้วย”
“เพื่อนพ่อเธอก็เป็นโค้ชสอนแข่งรถอย่างนั้นเหรอ”ชโลธรย้อนถามและลลนาก็พยักหน้าตอบ
“ใช่ เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกัน แต่ฝ่ายนั้นเก่งกว่า สามารถพาลูกศิษย์ขับเข้าเส้นชัยมาหลายครั้ง แต่พ่อฉันไม่เคยเลยที่จะทำได้แบบนั้น มากที่สุดก็ได้แค่ที่สอง มันเป็นสิ่งที่พ่อฉันยอมไม่ได้”
ที่ลลนารู้ก็เพราะแอบได้ยินอนิรุทธิ์กับพ่อคุยกัน ทีแรกก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรจริงจังมาก แต่มันไม่ใช่ พ่อเครียดมากกับเรื่องนี้ ขนาดหญิงสาวยอมลงทุนไปหัดขับรถแข่งให้ท่านเห็น เพื่อที่จะได้ภูมิใจ แต่มันก็ไม่ช่วยอะไรได้เลย เพราะคนที่พ่อหวังไว้ก็คือพี่รุทธิ์คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้พ่อสมหวังได้
พอเห็นเพื่อนเงียบไปลลนาก็หันไปขอโทษ

“ฉันเสียใจนะที่ไม่เคยเป็นเพื่อนที่ไร้ปัญหากับเธอเลย มีแต่ปัญหาน้อยใจพ่อมาให้เธอเครียดตลอด”
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจว่าที่เธอเป็นอย่างนี้เพราะอะไร” ลลนาหันไปยิ้มทั้งน้ำตา
“ฉันขอบใจนะยูที่เป็นเพื่อนฉันเสมอมา คงไม่มีใครเข้าใจฉันมากเท่าเธอแล้วล่ะ”เอ่ยจบก็เอนกายลงพิงกับเบาะรถ ไม่มีสิ่งไหนจะสามารถทำลายกำลังใจของเธอได้เท่ากับเรื่องนี้เลย คิดแล้วก็เศร้า ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวถึงต้องเจอเรื่องอย่างนี้ด้วย
พอเธอก้าวเข้าบ้านก็เจอกับเสียงนี้ของพ่อตนเอง ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขก
“กลับมาแล้วเหรอ เลิกน้อยใจแล้วรึไงถึงได้กลับมาได้” ลลนาหยุดเดินและหันมาทางนายทวีพล
“พ่อรู้เหมือนกันเหรอคะ ว่าเจทน้อยใจ นึกว่าพ่อไม่รู้ซะอีก เห็นพ่อไม่เคยใส่ใจหรือสนใจเจทเลย นอกจาก” เธอไม่พูดออกมาแต่ใช้สายตาเหลือบไปที่ชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล
“เราโตแล้วนะเจท ควรเข้าใจบ้างว่าพ่องานยุ่ง”
“ค่ะเจทเข้าใจว่าพ่องานยุ่ง ยุ่งมากจนไม่มีเวลาถามไถ่หรือแสดงความยินดีกับลูกสาวตัวเองเลย”หญิงสาวพูดอย่างน้อยใจอีกครั้ง พอนายทวีพลได้ยินก็เกิดความละอายใจ ที่ตนเองเป็นอย่างที่ลูกสาวบอกทุกอย่าง เขาลุกขึ้นมาหาและบอกอย่างรู้สึกผิด

“พ่อขอโทษ ที่ไม่ได้ถาม พ่อลืมน่ะ อย่าโกรธพ่อนะ”
“ค่ะ เจทไม่เคยโกรธพ่อเลย”ลลนาบอกและกอดร่างของบิดาพร้อมกับน้ำตาซึม พ่อลืมน่ะ เป็นคำพูดที่เธอเจ็บมาก เมื่อก่อนเธอเป็นคนที่พ่อรักมาก แต่เดี๋ยวนี้กลับเป็นคนที่พ่อลืม แต่หญิงสาวก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป นอกจากผละร่างออกมาและใช้มือป้ายน้ำตาบอกทั้งสอง
“พรุ่งนี้เจทจะกลับไปซ้อมแข่งรถแล้วค่ะ”
“ก็ดี ซ้อมเยอะๆ จะได้เก่ง” ดีใจสินะที่ตนเองไป จะได้ไม่ต้องมาปวดหัวเรื่องน้อยใจอีก ลลนากระพริบตาตอบ
“ค่ะพ่อ เจทจะเป็นคนเก่งให้พ่อเห็น ถึงแม้ว่าเจทจะทำให้พ่อสมหวังไม่ได้”
พูดจบก็เดินขึ้นข้างบนนายทวีพลได้แต่มองตามลูกสาวซึ่งเดินจากไปพร้อมกับคำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะหันมาสนใจกับทีวีที่อยู่ตรงหน้าต่อ อย่างลืมไปเลยว่าเมื่อครู่ทำให้ลูกน้อยใจ นั่นเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าเรื่องนี้ ลลนาหันกลับมามองผู้เป็นพ่อที่ทำท่าไม่ใส่ใจตน ก่อนจะก้าวกลับขึ้นไปชั้นบนเพื่อเตรียมเสื้อผ้า

ส่วนชายหนุ่มร่างสูงที่พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วก็เตรียมเก็บของขับรถกลับเช่นกัน ปัจสินาฏกับอังกฤษออกมาส่งเขาที่หน้าบ้าน
“ขับรถกลับดีๆนะลูก อย่าขับเร็วมากรู้ไหม”
“ครับ ผมจะขับอย่างระวังที่สุด” กฤษรัฐรับคำอย่างลูกชายที่เชื่อฟัง
“แล้วว่าง ๆ ก็โทรหาแม่เขาบ่อย ๆ นะลูก” นี่คือคำพูดของอังกฤษผู้เป็นพ่อ
“ผมจะโทรกลับมาหาบ่อย ๆ ครับคุณพ่อ” พูดจบปัจสินาฏก็เดินเข้ามากอดและหอมแก้มเขา
“โชคดีนะอาร์มลูกแม่”
“ครับ” เขากอดตอบและหอมแก้มนวลกลับบ้าง นานเป็นครู่ชายหนุ่มก็ผละร่างออกมา

“ผมไปก่อนนะครับ”
แล้วเขาก็ก้าวกลับไปที่รถยกมือโบกให้กับบิดามารดาที่แม้จะได้อยู่ด้วยกันน้อย เพราะตอนที่ตนเองเรียนอยู่ช่วงมหาวิทยาปี 2 นั้น กลับต้องย้ายไปอยู่กับเพื่อนของอังกฤษเพื่อฝึกซ้อมขับรถ จนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรีออกมาก็ยังไม่ได้เอาความรู้ที่เรียนนำไปใช้ เพราะติดภาระที่ต้องแข่งรถที่ดูแล้วจะได้เงินมากกว่าทำงานเสียอีก เขาคิดว่าขอเวลาตนเองได้สนุกกับเรื่องพวกนี้ก่อนแล้วจะกลับไปทำงานตามที่ได้ร่ำเรียนมา ซึ่งเป็นความคิดที่ต่างไปจากผู้หญิงอีกคน ซึ่งต้องการเพียงแค่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาเท่านั้นก็เพียงพอ

ในสนามแข่งรถหญิงสาวคนหนึ่งเหยียบคันเร่งอย่างเต็มที่เหมือนปลดปล่อยความอึดอัดในใจออกไป รองเท้าคู่ใหญ่กดมันลงไปที่คันเร่ง ใบหน้าเนียนแสดงท่าทีจริงจัง ก่อนจะขับออกไปจากจุดสตาร์ทอย่างเร็ว ฟิ้ว…….. ชายหนุ่มอีกคนที่เดินมาเห็น ถึงกับหยุดยืนมองด้วยความสนใจและคิด
“นั่นเรียกว่าซ้อมเหรอ เหมือนกำลังโมโหใครเลย”
รถที่เหยียบความเร็วอย่างเต็มพิกัด มันเหมือนกำลังโกรธอะไรสักอย่าง กฤษรัฐยืนกอดอกมองรถสีแดงที่อยู่ตรงหน้าทางข้างมุมสนามแข่ง เขาหันไปถามทีมงานที่คอยดูแลนักแข่งรถ
“รถคันนั้นใครขับเหรอ” พอได้ยินอีกฝ่ายถามก็มองไปที่สนามแข่ง หลังจากเห็นก็บอก
“อ๋อ ลลนา ลูกสาวโค้ชทวีพลไงครับ”
“ลูกสาวโค้ชเหรอ”

“ใช่ครับ ขับเก่งมากเลย ขนาดผมเป็นผู้ชายยังยอมยกนิ้วให้” กฤษรัฐพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ไม่ยักรู้ว่าโค้ชจะมีลูกสาวสวยขนาดนี้ ไม่เห็นเคยพูดให้ใครฟังเลยว่ามีลูกสาวเป็นนักแข่งรถ เห็นมีแต่พยายามโปรโมทลูกศิษย์คนโปรด จนดูเหมือนเป็นลูกชายแท้ ๆ แล้ว
หลังจากขับจนพอใจลลนาก็ก้าวลงมา ใบหน้าของเธอออกอาการเครียดมาก ๆ มือเรียวถอดหมวกเดินเข้ามาในร่มเพื่อนั่งพัก โค้ชที่ฝึกเดินเข้ามาบอกถึงอารมณ์ในวันนี้ที่ขับรถ หญิงสาวก็ยืนฟังและรับรู้อย่างใจเย็น ก่อนจะเดินมาหยิบขวดน้ำที่อยู่ในกระติกใบใหญ่ซึ่งเตรียมไว้สำหรับให้นักแข่งรถดื่ม ก็มีมือหนึ่งยื่นส่งมาให้ ลลนามองอย่างแปลกใจก่อนจะเลี่ยงไปทางอื่นและหยิบน้ำในถังขวดใหม่ขึ้นมาแทน เปิดฝาออก และดื่มมันอย่างกระหายหิว หยดน้ำที่ไหลลงมาตามลำคอขาวเนียนทำให้เขามองตาม แล้วลลนาก็ปามันลงถังขยะ กฤษรัฐก็ก้าวตามไป
“ดูคุณอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ”
“ขอบคุณที่บอก” ร่างเล็กตอบกลับไปคนละประโยคกับที่ชายหนุ่มถาม

“เมื่อกี้ผมเห็นคุณขับรถเร็วมาก”
“มันก็เป็นปกติของฉันอยู่แล้ว” ลลนาตอบอย่างไม่แยแสอะไร
“เราจะหยุดคุยกันสักครู่หนึ่งไม่ได้เหรอ” พอได้ยินที่เขาเอ่ย ลลนาก็หยุดเดินและหันมามอง ซึ่งภาพนี้โค้ชทวีพลและอนิรุทธิ์ที่กำลังเดินมาเห็นพอดี เธอตอบเขากลับไปอย่างตัดบท
“ฉันไม่ว่างพอจะคุยอะไรที่ไร้สาระหรอกค่ะ”
และโดยเฉพาะกับคนที่ทำให้พ่อต้องลืมตนเพื่อหวังชัยชนะล่ะก็ ลลนาก็แทบไม่อยากมองหน้าเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเก่งและดูดีแค่ไหน แต่หญิงสาวก็จะไม่มีทางสนใจเด็ดขาด พอเอ่ยจบลลนาก็เดินเข้าไปด้านในอย่างเร็ว
“โค้ชครับนั่นมันไอ้อาร์มไม่ใช่เหรอครับที่เดินตามเจท” อนิรุทธิ์บอกกับผู้เป็นโค้ช ที่เมื่อกี้ก็เห็นเหมือนเขา
“ใช่ ทำไมมาวุ่นวายกับยัยเจท” นายทวีพลถามอย่างสงสัย
“หรือว่าจะติดใจเจทครับ” อนิรุทธิ์เอ่ยให้รู้ นายทวีพลไม่อยากเชื่อตามที่ลูกศิษย์บอก แต่พอเห็นลูกสาวของตนเดินออกมาอีกครั้ง ก็เห็นอีกฝ่ายก้าวตรงเข้าไปหาเพื่ออยากทำความคุ้นเคยให้มากขึ้น

“เราเป็นนักแข่งรถเหมือนกัน อย่างน้อยก็น่าจะทำความรู้จักกันไว้นะครับ” กฤษรัฐพูดกับร่างบางที่เดินอย่างไม่หยุด
“แต่ฉันไม่อยากรู้จักคุณ” หญิงสาวตอบแบบจริงจัง
“คุณตอบเหมือนกับว่าผมเคยไปทำอะไรให้คุณอย่างนั้นล่ะ” ลลนาเม้มปาก ใช่ พูดในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปกลับใช้วิธีตัดบทที่ไม่อยากข้องเกี่ยว
“คือฉันเป็นคนเข้ากับคนอื่นยากน่ะ เดี๋ยวคุณก็เบื่อ เลยไม่อยากให้มาเสียเวลา”
“ยังไม่ลองคบจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเข้ากับคนอื่นยากอย่างที่พูดหรือเปล่า” ลลนามองเขาและตอกกลับไป

“ทำไมคุณตื๊ออย่างนี้เนี่ย ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่ไง” ตอบอย่างไม่ไว้หน้า เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี นานๆจะได้เจอสาวที่ปฏิเสธอย่างจริงจังแบบนี้ซะที ดูมันทำให้เกิดความต้องการเอาชนะขึ้นมาเหลือเกิน กฤษรัฐหัวเราะอย่างขำ ๆ ในท่าทีของอีกฝ่าย ทำให้ร่างบางหยุดเดินและหันมาถาม
“มันมีอะไรน่าขำนักเหรอ”
“ขำคุณไง ทำเหมือนว่าการที่คบกับผมเนี่ยมันจะทำให้คุณต้องเสียอะไรหลายอย่าง แค่คุยกันมันคงไม่ทำให้คุณเปลืองตัวนักหรอก จูบกันก็ว่าไปอย่าง”
“หยาบคาย ฉันไม่มีวันทำอย่างนั้นเด็ดขาด” พูดจบเธอก็เดินไป เขาก็ตะโกนตามหลังมาอย่างท้าทาย

“แล้วคอยดูกันไหมล่ะว่าผมจะทำได้หรือเปล่า”หญิงสาวไม่ตอบอะไรทั้งนั้นนอกจากเดินไปให้พ้นจากตรงนี้ ทุกอริยาบทที่ทั้งสองตอบโต้กันอยู่ในสายตาของคนสองคนที่กำลังคิดแผนการณ์อะไรบางอย่างออก
“โค้ชคิดเหมือนผมไหมครับ ว่าเรามีทางที่จะชนะแล้ว” เขาหันไปถามผู้ชายที่ยืนข้างๆ
“คิดสิ เราจะใช้ยัยเจทนี่ล่ะเป็นตัวล่ออีกฝ่าย”
“ใช่ครับโค้ช เจทจะทำให้เราสมหวัง” ทั้งคู่หัวเราะให้กันเมื่อหาหนทางที่จะทำลายฝั่งตรงข้ามได้

 

โดย: tonkho-w 22 สิงหาคม 2550 9:19:46 น.  

 

เข้ามาแล้วก็เจิมคนแรกซะเลย

คิดถึงจ้า

 

โดย: คณิตยา IP: 124.121.232.130 23 สิงหาคม 2550 2:23:15 น.  

 

อยากถามว่าออกกับ สนพ. อะไรจ๊ะ

 

โดย: จ๊ะ IP: 202.133.136.76 26 สิงหาคม 2550 21:10:16 น.  

 

สถาพรค่ะ จ๊ะ เดือนหน้าวันที่ 15 ค่ะ

 

โดย: ต้นข้าว IP: 124.121.182.120 27 สิงหาคม 2550 19:57:05 น.  

 

เข้าอ่านก้อขอเเวบอ่านก่อนซื้อเลย.............อิอิ

 

โดย: นู๋เกด (นางสาวหนอน ) 3 กันยายน 2550 19:23:09 น.  

 

ตอน 5

หลังจากที่ลลนาเดินออกมาจากสนามแข่ง ก็เจอกับบิดาและอนิรุทธิ์ จึงเอ่ยทักทั้งสอง
“สวัสดีค่ะพ่อ พี่รุทธิ์” พูดจบก็เตรียมเดินออกไป หากอนิรุทธิ์กลับเรียกไว้ก่อน
“เจท พี่กับโค้ชมีอะไรจะคุยกับเจทหน่อย” ชายหนุ่มเป็นคนเอ่ยก่อน และลลนาก็ทำสีหน้าสงสัยถาม

“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“คุยที่นี่คงไม่สะดวก พี่อยากให้เจทไปหาพี่กับพ่อที่ห้องพักโรงแรม”
“คืนนี้เหรอคะ”
“ใช่ คืนนี้” นายทวีพลบอกกับลูกสาว ลลนาก็ถามอย่างเด็กเอาแต่ใจ

“ทำไมต้องรีบด้วยคะ หรือว่าเรื่องที่จะคุยมันสำคัญมาก”
“ใช่ สำคัญ”
“แล้วมันเกี่ยวกับเจทตรงไหนคะ” ร่างเล็กย้อนถามและทำหน้าไม่สนใจนายทวีพลก็บอก
“เกี่ยวมาก เพราะเจทจะทำให้พ่อสมหวัง อย่าลืมล่ะ คืนนี้ไปหาพ่อที่ห้องพักด้วย ไปรุทธิ์ไปซ้อมต่อเถอะ”

พูดจบก็พาอนิรุทธิ์เดินออกไป ลลนาได้แต่มองตามแผ่นหลังของทั้งสองคนที่เดินห่างไปคำพูดเมื่อกี้ที่พ่อบอกยังคงลั่นในหัว เพราะเจทจะทำให้พ่อสมหวัง มันหมายความว่ายังไงกัน
และพอถึงเวลาในตอนกลางคืน ก็เก็บความสงสัยในใจไว้ไม่ได้ จึงเดินไปหาพ่อกับชายหนุ่มอีกคนที่ห้องพัก มือเรียวยกขึ้นเคาะประตูส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนได้ยิน
ก๊อก ก๊อก

“เจทเองค่ะพ่อ” แล้วประตูที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกเปิดออก อนิรุทธิ์นั่นเองเป็นคนเปิดให้เ
“เข้ามาสิเจท” ลลนาเดินเข้าไปด้านในนั่งลงที่เตียงนอนพร้อมกับถาม
“พ่อมีอะไรจะคุยกับเจทเหรอคะ”

“วันนี้พ่อเห็นไอ้อาร์มมาคุยกับเจท” เขาพูดถึงภาพที่เห็นวันนี้ ลลนาก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ใครเหรอคะอาร์ม เจทไม่เห็นรู้จักเลย” อนิรุทธิ์จึงพูดต่อ
“ก็ผู้ชายที่วันนี้เดินตามเจทไง นั่นล่ะไอ้อาร์ม ศัตรูหมายเลขหนึ่งของพี่กับพ่อ” ทำไมลลนาจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ถึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไงล่ะ จึงตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ

“งั้นเหรอคะ ที่พ่อเรียกเจทมาเพื่อจะบอกว่าไม่ให้เจทยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ใช่ไหมคะ” ความเข้าใจของลลนาเป็นแบบนั้น แต่พอพูดจบก็ต้องตกใจกับคำตอบที่บิดาและผู้ชายที่หญิงสาวยังชอบเขาไม่เปลี่ยนแปลงบอก
“เปล่า” พอได้ฟังก็ถามกลับ

“เปล่า มันแปลว่าอะไรคะ”
“พี่กับพ่ออยากให้เจทพยายามตีสนิทผู้ชายคนนี้เอาไว้” เท่านั้นล่ะหญิงสาวก็ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที
“นี่พ่อกำลังคิดอะไรอยู่คะ แล้วก็พี่รุทธิ์ ในเมื่อเขาเป็นศัตรูของเรา ทำไมยังให้เจทเข้าไปใกล้เขาอีกคะ”ลลนาย้อนถามทั้งคู่ด้วยความไม่พอใจ

“เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่เราจะเอาชนะอีกฝ่ายได้ไงล่ะ” วงหน้าหวานส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่ค่ะ เจทไม่ทำ”
“ต้องทำ” นายทวีพลพูดออกมา ลลนาจึงมองหน้าผู้เป็นบิดาอย่างไม่เข้าใจ
“พ่ออย่าบังคับเจทได้ไหมคะ”

“พ่อไม่ได้บังคับ แต่พ่อขอร้อง แค่นี้เจททำให้พ่อไม่ได้เหรอ”
“แต่ให้เจททำอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะ” ผู้เป็นลูกสาวถามกลับไป นายทวีพลก็ส่ายศีรษะตอบ
“มันไม่มีทางไหนดีเท่าทางนี้อีกแล้ว เจทไม่อยากช่วยพ่อเหรอ ถ้าพ่อสามารถเอาชนะโค้ชไอ้อาร์มได้ รุทธิ์ก็จะชนะเป็นที่หนึ่ง เจทไม่อยากเห็นครอบครัวเราประสบความสำเร็จเหรอ พ่อรู้นะว่าที่เจทแข่งรถน่ะเพราะเจทอยากให้พ่อมองว่าเจทเก่ง แต่ในเมื่อเจทสามารถช่วยพ่อได้ ทำไมเจทไม่ช่วยพ่อล่ะ”นายทวีพลบอกกับลูกสาวให้ได้รู้ นี่พ่อเข้าใจในสิ่งที่ตนเองทำเหรอ ว่าที่เลือกเป็นนักแข่งรถเพราะอะไรอนิรุทธิ์จับแขนเล็กไว้และพูดไม่ต่างกันเลย

“เจทเท่านั้นนะที่จะทำให้พ่อกับพี่สมหวัง หรือเจทอยากเห็นพ่อกับพี่เป็นรองคนอื่นอย่างนี้ตลอดไปล่ะ ถ้าไม่มีไอ้อาร์ม ชัยชนะก็ต้องเป็นของเรา” ลลนาก้มหน้าและถอนหายใจออกมา
“ขอเจทกลับไปคิดดูก่อนได้ไหมคะ”
“ได้ แต่พ่ออยากให้เจททำอย่างที่พ่อบอก ไปนอนเถอะลูก พรุ่งนี้จะต้องซ้อมแข่งอีก”เธอพยักหน้ารับ

“ค่ะพ่อ”
“ราตรีสวัสติ์นะลูกสาวคนเก่งของพ่อ”
“ฝันดีนะเจท พี่อยากให้เจทคิดดูให้ดีเกี่ยวกับเรื่องที่เราคุยกัน” อนิรุทธิ์อยากให้อีกฝ่ายยอมทำตามความต้องการของทั้งสอง ลลนาตอบอย่างไม่ยอมรับเต็มคำ

“เจทจะเอากลับไปคิดค่ะพี่รุทธิ์ไม่ต้องห่วง” พูดแล้วก็เดินออกไปที่ประตูอนิรุทธิ์ก็บอกกับร่างเล็ก
“เดี๋ยวพี่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไร เจทเดินกลับเองได้”

พูดจบก็เดินไปยังห้องของตน ลลนามองเขาด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง อนิรุทธิ์ยืนมองน้องสาวต่างสายเลือดเข้าห้องไปจึงเดินกลับไปที่ห้องของตนเอง ลับหลังแค่ไม่ถึง 2 นาทีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก๊อก ก๊อก ด้วยความรีบร้อนลลนาคิดว่าเป็นพี่ชายคนที่ตนเองแอบมีใจมาเคาะเรียกจึงเปิดประตูออกไปโดยไม่มองที่ช่องเล็ก ๆ หน้าประตูก่อน และพอเห็นว่าเป็นใครก็เตรียมตะโกนร้องเสียงดัง เขารีบใช้มือปิดปากบางนั้นก่อนจะดันประตูให้เปิดออกพร้อมกับแทรกตัวเข้ามา พอล็อกห้องเสร็จก็ปล่อยมือจากใบหน้านวลที่แสนนุ่มนั้น เมื่อหลุดพ้นมาได้หญิงสาวก็มองหน้าเขาอย่างไม่พอใจพร้อมกับไล่

“ออกไปนะ”
“อะไรกัน ก็คุณเป็นคนเปิดประตูให้ผมเข้ามาเองนี่”
“ฉันไม่คิดว่าเป็นคุณ”
“แล้วคุณคิดว่าเป็นใครกัน”กฤษรัฐย้อนถาม ลลนานิ่งไปไม่ยอมตอบ ชายหนุ่มจึงพูดแทน

“คิดว่าเป็นพี่ชายต่างเลือดของคุณรึไงกัน เมื่อกี้ผมเห็นนะว่าคุณมองเขาอย่างกับจะให้อีกฝ่ายรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเขา”พอได้ฟังใบหน้านวลก็เกิดอาการตกใจ รีบปฏิเสธทันที
“พูดอะไรบ้า ๆ ฉันไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นซะหน่อย”

“จริงเหรอ แต่เมื่อกี้ที่เห็นมันไม่ใช่คำตอบนี้นี่”
“คุณจะคิดยังไงก็ตามใจ แต่ตอนนี้กรุณาออกไปจากห้องฉันด้วย”ร่างบางไล่ แต่เขาไม่พูดอะไรกลับเอนกายลงนอนบนเตียงใหญ่อย่างหน้าตาเฉยแถมยังดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่าง ลลนาเดินไปหาและเรียกเสียงดัง
“นี่คุณ ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ”

“ที่นอนนุ้มนุ่ม”อีกฝ่ายทำหูทวนลม นอนหงายกลางเตียงอย่างสบายอารมณ์ แต่คนที่ยืนอยู่ไม่มีอารมณ์นั้น เธอเดินเข้าไปฉุดเขาให้ลุกขึ้น
“นี่ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นล่ะก็”
“ไม่งั้นจะทำไมเหรอครับเจท” พอได้ยินเขาเรียกชื่อตนเองก็ทำหน้างงและสงสัย

“คุณรู้จักชื่อฉันได้ไง”
“อ้าวก็เห็นพี่ชายคุณเรียกไง น่ามานอนด้วยกันเถอะ นอนสองคนอบอุ่นกว่านะ”เขาลุกขึ้นมาฉุดมือเล็กหน้าตาเฉยอีกรอบ แต่ลลนาแข็งขืนไว้
“ไม่ นี่ไม่ต้องมามั่วนิ่มเลย ลุกออกไปจากเตียงฉันเดี๋ยวนี้นะ”
หญิงสาวพยายามดันร่างของชายหนุ่มให้ลงมาจากเตียงของตนให้ได้ แต่อีกฝ่ายก็ทำเหมือนว่าแรงที่ผลักนั้นมันช่างน้อยนิดนักไม่สามารถทำอะไรตนได้ และในขณะที่เผลอไม่ทันระวังตัวมือใหญ่ก็ดึงร่างเล็กลงมานอนด้วยกัน แต่อาจจะดึงแรงไปหน่อยทำให้กายของลลนาล้มทับกับใบหน้าของกฤษรัฐพอดีทำให้ทรวงอกอวบนุ่มปะทะกับใบหน้าเขาเต็มๆ ร่างบางสะดุ้งโหยงและผลักใบหน้าคมออกห่างอย่างทันที

“นี่ปล่อยนะ” แต่อีกฝ่ายก็เหมือนแกล้ง กลับกอดร่างเนียนแน่นอย่างใกล้ชิด ลลนาก็พยายามดิ้นและสะบัดเขาออกไป แต่มันทำไมถึงยากเหลือเกิน
“อยู่นิ่งๆหน่อยได้ไหม”
“พูดบ้าอะไรน่ะ” บอกจบก็ใช้ปลายเล็บจิกไปที่แขนเขาอย่างแรง คำพูดของบิดาและอนิรุทธิ์ดังขึ้นมาในความคิด

เจทเท่านั้นนะที่จะทำให้พ่อกับพี่สมหวัง มือเรียวกระตุกนิดหนึ่งกับคำพูดนี้ เขาก็คงงงว่าทำไมอยู่ ๆ เมื่อกี้ดิ้นอย่างไม่ยอมแล้วจึงหยุดไป แต่พอสบดวงตาคมที่มองมาลลนาก็ผลักเขาออกไปอย่างแรง ไม่สนว่าสิ่งที่พ่อกับอนิรุทธิ์บอกจะเป็นยังไง พอสลัดร่างสูงออกไปได้ก็วิ่งไปที่ประตูห้องพัก เปิดประตูให้เขาออกไป

“ออกไปเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องโวยวายว่าคุณเข้ามาทำมิดีมิร้ายกับฉัน”
ร่างสูงยอมจำนนอย่างง่ายดายเขาลุกลงมาจากเตียงใหญ่ เดินออกไปยังประตู และไม่ทันตั้งตัวร่างเล็กก็ถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปปะทะอก จากนั้นก็กดจุมพิตลงไปบนเรียวปากบาง จูบเร่าร้อนถูกประกบลงบนเรียวปากนุ่มโลมไล้อย่างฉวยโอกาส ส่วนมือก็บังคับใบหน้าของลลนาไม่ให้ขยับไปไหน มืออีกข้างหนึ่งก็กอดรัดเอวเล็กไว้แน่นไม่ให้ดิ้นหนีได้ กฤษรัฐขบเม้มไปที่ปากสีชมพูของอีกฝ่ายอย่างห้ามใจตัวเองไม่อยู่ สอดแทรกปลายลิ้นอ่อนไหวเข้าไปลิ้มรสน้ำหวานภายในโดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตแต่เขาละลาบละล้วงไร้มารยาทเอง

“อื้อ”

ลลนาพยายามหลบเลี่ยงจุมพิตนี้แต่มันก็ดูจะไร้ผลเหลือเกิน
หญิงสาวเริ่มตัวสั่นเมื่อเขาเปลี่ยนจากจุมพิตเร่าร้อนเป็นแบบเว้าวอนนุ่มนวล ไหนจะจูบแทบสูบลมหายใจให้ขาดห้วงยังเจอมือของเขาอีกข้างหนึ่งที่โลมลูบไปตามแผ่นหลังของตน แม้จะเป็นชุดนอนที่มีเนื้อผ้าบางเบากลางกั้นแต่ก็ไม่อาจจะกีดกันความร้อนจากมือที่เขาสัมผัสกายตนได้เลย รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วกาย เหมือนไฟแผดเผาร่าง กฤษรัฐใช้ปลายลิ้นเข้าไปพันเกี่ยวกับลิ้นเล็ก ด้วยความอ่อนเดียงสาด้านนี้ทำให้ลลนาทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอกับความรู้สึกหวามไหวเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายอื่นมากถึงขนาดนี้อย่างมากก็แค่กอดหรือโอบธรรมดาและหอมแก้มกันเท่านั้น แต่แบบนี้ยังไม่เคยทำ ลลนาเริ่มต้านทานความรู้สึกที่ถูกอีกฝ่ายสร้างให้ไม่ไหว จนสติแทบลอยหายไป และเผลอจูบตอบเขากลับไปด้วยความไม่รู้สึกตัว

เพียงได้การตอบรับกลับมา ชายหนุ่มก็ผละออกมาจากร่างนวลด้วยความเสียดาย ไม่อยากปล่อยเลยให้ตาย เถอะโรบิ้น แต่จะกอดอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นเปิดประตูไว้อย่างนั้น ทันทีที่ลลนาถูกปล่อยเป็นอิสระ ก็เตรียมที่จะยกมือตบหน้าคนอวดดีที่บังอาจทำอย่างนี้กับตน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เกมส์ใช้มือจับไว้ได้ทัน กฤษรัฐยิ้มอย่างอารมณ์ดีและบอก
“จะเล่นบทตบจูบก็ไม่บอก เอาไหมล่ะ ตบทีหนึ่ง จูบกลับหนึ่งที”

“คนบ้าออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ”เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็มีเพียงแค่ไล่เขาออกไปจากห้อง กฤษรัฐยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้และบอกข้างหูเล็กให้อีกฝ่ายตกใจเล่น
“ออกน่ะออกแน่ แต่จะบอกว่า คราวนี้คุณเชื่อหรือยังว่าผมสามารถทำให้คุณจูบกับผมได้น่ะ”พูดแล้วก็รีบเดินออกไปทันทีทิ้งให้หญิงสาวเกิดความอายและต่อว่าตัวเองในสิ่งที่เขาบอก

“บ้าเอ๊ยทำอะไรลงไปเนี่ยเรา ไปจูบตอบเขากลับได้ยังไงกัน”คิดแล้วก็รีบเดินไปปิดประตูเมื่ออีกฝ่ายเดินออกไปแล้ว ยืนพิงร่างกับกรอบประตูไม้และต่อว่าเขา
“คนฉวยโอกาส แย่ที่สุด”
ลลนายืนอยู่ตรงนั้นไม่นานก็ปิดไฟกลางห้องก่อนจะล้มกายลงบนเตียง โดยที่มือเรียวใช้หลังมือถูริมฝีปากของตัวเองหลายที เหมือนจะให้ลบรอยที่ถูกสัมผัสเมื่อครู่ออกไป จูบแรกของฉันนายบังอาจมากเลยนะ นายอาร์มบ้า บ้าที่สุดเลย หญิงสาวร้องด่าเขาอย่างเจ็บใจ

ทางด้านร่างสูงที่เดินออกไปเมื่อครู่ก็ยิ้มกระหยิ่มมองประตูที่ปิดลงของหญิงสาวอย่างมีความสุข ที่ได้จูบริมฝีปากอิ่มนั่น มันช่างหวานอะไรอย่างนั้น ดูเหมือนชายหนุ่มเริ่มติดใจจูบนี้ซะแล้วสิ เขาเดินกลับไปที่ห้องฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

ตอนเช้าหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะไปซ้อมแข่งรถที่สนามต่อ พอเปิดประตูออกมาก็เจอกับอนิรุทธิ์ชายหนุ่มที่เป็นพี่ชายต่างสายเลือดกับตน ลลนาทำหน้าตกใจก่อนในทีแรกเริ่มกลัวกับการเปิดประตูออกมาเจอคนที่ไม่ตั้งใจอยากพบ พออนิรุทธิ์เห็นอีกฝ่ายทำท่าสะดุ้งก็ทำสีหน้าสงสัย
“เป็นอะไรเห็นหน้าพี่ทำไมต้องตกใจ”

“เอ่อ เปล่าค่ะ ก็พี่รุทธิ์เล่นมายืนแบบไม่บอกกล่าว เจทเปิดมาก็ต้องตกใจน่ะสิคะ แล้วว่าแต่พี่รุทธิ์มายืนคอยที่หน้าห้องทำไมคะ”เธอถามเขา และชายหนุ่มก็ตอบ
“จะมาถามเรื่องที่เมื่อคืนบอกว่าจะเก็บเอาไปคิด ตกลงเจทจะว่ายังไง”
“เจทยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”

“ทำไมล่ะเจท มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดนานขนาดนั้นเลยเหรอ”เขาเขย่าร่างของลลนาหัวสั่นหัวคลอนเธอมองหน้าเขาอย่างไม่ชอบใจ
“ทุกครั้งพี่รุทธิ์ไม่เคยคิดที่จะคุยกับเจทด้วยซ้ำ แล้วนึกยังไงเหรอคะถึงมาคุยกับเจท”เธอถามเขากลับไป สิ่งที่ได้ฟังจากปากเขาก็คือ
“พี่อยากให้เจทยอมทำตามที่โค้ชบอก”ลลนาทำสีหน้าคิดหนัก
“แล้วเจทจะได้อะไรกับการทำแบบนี้คะ”เธอถามเขากลับ และมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งไป

“เจทอยากได้อะไรล่ะ ถ้าพี่ให้ได้พี่ก็จะให้” อนิรุทธิ์ตอบกลับและจ้องมองดวงตาของลลนาเขารู้ดีว่าผู้หญิงในอ้อมกอดต้องการอะไร เพราะยังจำคำพูดที่เมื่อหลายปีก่อนบอกตนเองได้ เพียงได้ฟังลลนาก็โผเข้าหาเขา
“พี่รุทธิ์ก็รู้ว่าเจทคิดยังไงกับพี่”ชายหนุ่มโอบกอดร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนใช้มือลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยนก่อนจะตอบ
“พี่รู้ว่าเจทรักพี่”พอได้ยินอย่างนั้นใบหน้านวลก็ผละร่างออกมาด้วยความแปลกใจ

“พี่รุทธิ์รู้”อนิรุทธิ์พยักหน้าตอบรับ
“ใช่พี่รู้ ก็เจทเป็นคนบอกพี่เองนี่ แต่เจทจะให้พี่คิดถึงความรักได้ยังไงกันในเมื่อเวลานี้พี่ยังไม่สมหวังกับสิ่งที่ต้องการ เจทก็รู้ว่าพี่อยากได้อะไรมากที่สุด แต่พี่ก็ไม่เคยทำได้ เพราะมีคนมาคอยขัดขวางไว้”เขาบอกให้ลลนาฟังถึงความต้องการของตน อนิรุทธิ์กุมมือของอีกฝ่ายไว้และพูดต่อ

“แต่ตอนนี้มีเพียงเจทเท่านั้นที่จะทำให้พี่สมหวังได้ พี่ให้สัญญาว่าถ้าหากพี่ได้ชัยชนะนั้นมา พี่ก็จะไม่เครียดแล้วก็คิดถึงเรื่องของเราแทนไงล่ะ”เพียงได้ฟังลลนาจึงยิ้มอย่างดีใจ
“พี่รุทธิ์พูดจริงนะคะ ว่าถ้าพี่รุทธิ์ชนะผู้ชายคนนั้นได้ พี่รุทธิ์จะยอมรับเจทเป็นเอ่อ……”ลลนาพูดไม่ออกเขาดึงร่างเล็กเข้ามากอดอีกครั้งให้ใบหน้านวลซบกับบ่ากว้างของตน

“ทุกอย่างที่เจทอยากเป็นพี่ให้ได้หมด”
เขาพูดและกระชับอ้อมแขนกอดลลนาแน่นกว่าเดิมโดยดวงตาคมและริมฝีปากแอบยิ้มไม่ให้อีกฝ่ายเห็น
พอเดินกลับไปที่ห้องโค้ชทวีพลก็ถามชายหนุ่มถึงเรื่องที่ให้ไปคุยกับลูกสาวตน

“เป็นไง ยัยเจทยอมทำตามอย่างที่พวกเราบอกหรือเปล่า”
“โค้ชไม่ต้องห่วงครับ ผมคิดว่าเจทต้องยอมทำตามแน่นอน”
“อะไรทำให้รุทธิ์มั่นใจอย่างนั้น ในเมื่อเราเองก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกัน ไม่แน่ยัยเจทอาจจะไม่ยอมก็ได้”นายทวีพลยังไม่เชื่อตามคำบอกของลูกศิษย์ อนิรุทธิ์ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ

“เชื่อผมเถอะครับโค้ช ว่าเจทต้องทำตามที่เราบอกแน่ เพราะเจทเองก็อยากให้โค้ชรัก ถ้ามีทางทำได้ เจทต้องทำแน่นอน เราไปหาอะไรทานกันดีกว่าครับ จะได้มีแรงซ้อม” พูดแล้วก็เดินออกไปโดยมีนายทวีพลก้าวตามหลัง
ทางด้านลลนาหลังจากได้ยินคำสัญญาจากปากของอีกฝ่ายที่ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าถ้าหากทำเรื่องนี้สำเร็จเขาจะยอมรับตัวเองในฐานะอื่นที่ไม่ใช่น้องสาว นั่นจึงทำให้ลลนาเกิดความหวัง

ร่างเล็กก้าวเดินไปยังซุ้มอาหารที่วางอยู่หลายถาด หยิบจานขึ้นมาตักข้าวและกับอีกประมาณ 2-3 อย่าง จากนั้นก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ บริกรเดินมาเสิร์ฟน้ำให้ ระหว่างนั้นลลนาก็เห็นร่างสูงที่ตนไม่ชอบหน้าเดินมากับโค้ชของเขา หญิงสาวเห็นอีกฝ่ายเดินไปตักอาหารและตรงมาทางโต๊ะของตัวเอง เธอรู้ว่าเขาจะต้องเดินมานั่งที่นี่แน่นอน รู้สึกมั่นใจเช่นนั้น

และก็เป็นจริงทันทีที่กฤษรัฐมองเห็นคนที่ทำให้ติดใจเมื่อคืน ร่างสูงก็เดินตรงเข้ามาหาที่โต๊ะวางจานข้าวลงตรงข้ามกับหญิงสาว
“ขอนั่งทานด้วยคนนะครับ”
“ฉันอิ่มพอดี”ตอบแบบไม่รักษามารยาทและเตรียมลุกขึ้นเขาก็เอื้อมมือมาดึงมืออีกฝ่ายไว้ก่อน ลลนาทำเสียงดุใส่

“เอ๊ะ นี่คุณ”
“แค่นั่งเป็นเพื่อนคงไม่เสียเวลาคุณมากนักหรอก”
“แต่ฉันไม่อยากนั่ง”ยังคงเถียงกลับ”
“ถ้าคุณไม่นั่งผมจะพูดถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ออกมา”เพียงได้ฟังทำให้ลลนาไม่กล้าลุกขึ้นอีก และยอมทรุดร่างลงที่เก้าอี้อย่างขัดใจ จนเขาต้องทำท่ายกนิ้วขึ้นมาแตะปากบอก

“จุ๊ จุ๊ เบา ๆ หน่อยก็ได้ นั่งซะแรงเชียวเดี๋ยวเครื่องเคราก็เสียหายหมดหรอก”
“บ้า พูดจาลามก”หญิงสาวต่อว่าเขา ชายหนุ่มก็นั่งทานอย่างอารมณ์ดีโดยมีดวงตาเขียวขุ่นคอยส่งให้เป็นระยะๆ พอทานไปจนอิ่มเขาก็บอกออกมา
“แหมทานข้าวมื้อนี้ได้อารมณ์จริง ๆ มีคนมานั่งส่งตาหวานให้ข้าง ๆ เนี่ย”

“ประสาท คนเขาทำท่าเกลียด ยังบอกว่าส่งตาหวาน”ลลนาว่าเหน็บอย่างอดไม่ได้ เขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปากตนเอง
“แต่ผมว่าคนอื่นเขาไม่มองอย่างนั้นนะ เขาต้องว่าคุณเนี่ยไม่ปกติ”
“ไม่ปกติยังไง”กฤษรัฐหัวเราะก่อนตอบ

“อ้าวก็มีผู้ชายหน้าตาดีมานั่งร่วมโต๊ะแต่คุณกลับทำท่าแตกต่างกว่าสาวคนอื่นอีก ไม่เชื่อคุณลองหันไปมองรอบ ๆ สิ จะได้รู้ว่าเป็นยังไง”เขาพูดอย่างอารมณ์ดี

ลลนาก็หันไปมองข้าง ๆ ตามที่เขาบอก จึงเห็นอย่างที่พูด สาว ๆ แต่ละคนที่มองมาโต๊ะตนเองส่วนใหญ่นั่งทำตาเขียวใส่ แต่พอผู้ชายตรงหน้าหันไปมองเท่านั้นล่ะดวงตาขุ่นเคืองที่ให้ก็กลายเป็นอ่อนหวานยิ้มสวยในทันใด พอหันกลับมาที่โต๊ะเขาก็ถาม
“เป็นอย่างที่ผมพูดไหมล่ะ”

“หลงตัวเอง”พูดจบลลนาก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก แต่ขณะเดินก็มีขาคู่หนึ่งยื่นออกมาถัดขาตนจนทำให้เกือบหน้าทิ่มคะมำ ถ้าหากไม่มีมือเขามาพยุงไว้พอหญิงสาวเงยหน้ามองไปที่โต๊ะซึ่งคิดว่าขัดขาตนก็ไม่เห็นอะไร จึงบอกกับเขา
“ขอบคุณนะที่ช่วยไว้ไม่ให้ล้ม”บอกจบก็เดินออกมา และลลนาก็ได้ยินเสียงตามหลังมาไม่ไกล

“ไม่คิดเลยว่าผมจะเสน่ห์แรงทำให้ผู้หญิงถึงกับทำร้ายกันได้”พอได้ยินร่างบางก็หันขวับไปถาม
“คุณเห็นเหรอว่าใครทำฉันเมื่อกี้”
“ทำไมคุณจะกลับไปหาเรื่องเขาเหรอ”ชายหนุ่มย้อนถามแบบหน้าเป็น
“เปล่า ฉันจะกลับไปบอกเขาว่าหาเรื่องผิดคนแล้ว เพราะฉันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด”ลลนาตอบกลับไปอย่างเร็ว

“คุณรู้เหรอว่าเขาคิดอะไร”
“ไม่รู้ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่หรอก ไม่อย่างนั้นฉันจะโดนแกล้งอย่างเมื่อกี้เหรอ” บอกและหันมาทางเขาที่เป็นต้นเหตุทำให้โดนทำร้าย เอ่ยจบก็พยายามเดินให้ห่าง ชายหนุ่มก็ก้าวตามมา ลลนาจึงหันไปแหวใส่
“นี่คุณไม่ต้องมาเดินใกล้ฉันมาก ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่อย่างปกติ”พูดเสร็จก็เดินเลี่ยงออกไปอีกทางหนึ่งเพื่อตรงไปหาโค้ชที่ดูแล ส่วนกฤษรัฐก็แยกไปหาอาของตนซึ่งยืนคอยอยู่

 

โดย: ต้นข้าว (tonkho-w ) 17 มกราคม 2553 2:43:57 น.  

 

ตอน 6

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จลลนาก็เดินตรงไปยังสนามฝึกซ้อม หยิบหมวกขึ้นมาใส่ให้เรียบร้อยก่อนจะก้าวขึ้นไปที่รถคันสีแดงของตน มือเรียวบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องพร้อมกับเหยียบคันเร่งเตรียมออกตัว โค้ชที่ดูแลก็ยกธงบอกให้ขับไปได้ ลลนาจึงเหยียบเต็มที่พร้อมทั้งเร่งเครื่องอย่างแรงผลักเกียร์ไปด้านหน้า ก่อนปล่อยคลัชท์พุ่งรถออกไป ขับมาตอนแรกก็ดีอยู่ แต่พอถึงทางโค้งที่เธอต้องหักพวงมาลัยก็พบว่ามีรถอีกคันหนึ่งพยายามขับมาเบียดตน
ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าเป็นรถใครกันที่ขับแบบนี้ จึงหันใบหน้ามองไปทางด้านขวามือ

ก็พบว่ากระจกของรถอีกคันกดลงพร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าของคนขับ ที่ส่งยิ้มให้อย่างโปรยเสน่ห์ เพียงรู้ว่าเป็นใคร คิ้วสวยก็ขมวดมุ่น ลลนาพยายามจะขับแซงอีกฝ่ายให้ได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้อย่างนั้น เมื่อชายหนุ่มเองก็ไม่ยอมให้หญิงสาวทำได้สำเร็จ

ลลนาพยายามตีโค้งออกไปให้ห่างจากรถคันที่แล่นมาประชิด เพื่อจะได้ตีวงกว้างนำรถทางด้านขวามือ แต่เขาก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้นได้ ด้วยความโมโห ลลนาจึงเหยียบคันเร่งเต็มที่ และหักพวงมาลัยพยายามเบียดรถข้าง ๆ ออกไป ให้มันรู้ไปสิว่าจะทำไม่ได้ เขาหันมายิ้มเยาะใส่ทำให้ลลนาฮึดอีกครั้งหนึ่ง มือเรียวกระชากเกียร์อย่างแรงชะลอรถให้ช้าลง ปล่อยให้รถคันสีน้ำเงินด้านข้างนำไปก่อน

พอเห็นจังหวะที่จะขับแซงได้อีกครั้งหนึ่ง ก็ขับตรงไปอย่างเร็ว ด้วยความที่มัวแต่มองด้านหน้าที่มีรถคันสีน้ำเงินขับอยู่ทำให้ลลนาไม่ทันมองว่ามีรถคันหลังขับมาพอดี ทำให้รีบหักพวงมาลัยเข้าทางด้านซ้ายมืออย่างกระทันหันและนั่นก็ทำให้รถของลลนาเสียศูนย์เบรคไม่ทันพุ่งชนกำแพงด้านข้างที่มีแผ่นไม้สปอนเซอร์แปะอยู่เต็มไปหมด โครม!!

เพียงรถคันหน้าที่มองทางกระจกหลังเห็นเหตุการณ์ก็รีบเหยียบเบรคเปิดประตูลงมาอย่างเร็ว วิ่งตรงไปที่รถคันสีแดงซึ่งจอดอยู่ทางด้านข้าง ดีที่ลลนาเซฟตัวเองไว้ จึงทำให้ไม่เป็นอะไรมาก หญิงสาวเปิดประตูออกมาด้วยมือข้างขวาเพียงบานประตูถูกผลักออกนิดหนึ่ง ก็ถูกมือใหญ่กระชากให้เปิดมากขึ้น พร้อมกับร่างสูงที่ตรงเข้ามาประคองด้วยความห่วงใย

“เจท คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”เมื่อเห็นใบหน้าเขาร่างเล็กก็มองหน้าอย่างไม่พอใจ เธอสะบัดแขนออกไม่ยอมให้จับ จากนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวขาลงมาจากรถ เขาก็ยังตรงเข้ามาช่วยพยุง หญิงสาวสะบัดแขนอีกครั้งและบอก
“ไม่ต้องมาจับฉัน”
“เจทผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”ชายหนุ่มพูดอย่างรู้สึกผิด อีกฝ่ายไม่สนใจเดินไปหาพ่อกับพี่ที่ยืนอยู่ข้างสนาม

“เจทเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”นายทวีพลเดินไปหาลูกสาวพร้อมกับอนิรุทธิ์
“เจทเป็นยังไงบ้าง”ทั้งคู่ดูห่วงใยหญิงสาวมาก โดยเฉพาะผู้ชายซึ่งอายุไม่ต่างจากผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ เดินตรงมาดึงมือเล็กเข้าไปนั่งในที่ร่ม ลลนานั่งลงที่เก้าอี้
“เจทไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะพี่รุทธิ์”บอกเขาเพื่อให้คลายกังวล

“แน่นะ ว่าไม่เป็นอะไรน่ะ พี่ว่าไปหาหมอเช็คดีกว่า”
“ไม่เป็นอะไรจริง ๆ ค่ะ พี่รุทธิ์”
“แล้วทำไมหน้าซีดล่ะ”เขาถามและใช้มือแตะใบหน้านวลอย่างห่วงใย ลลนาแอบยิ้มไม่ให้เขาเห็น ความอบอุ่นอย่างนี้ล่ะที่เธออยากได้จากเขา ลลนาจับมือของอีกฝ่ายไว้และถาม

“พี่รุทธิ์ห่วงเจทเหรอคะ”เขามองหน้าและเอ่ย
“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ ถ้าเจทเป็นอะไรไป พี่จะมีกำลังใจซ้อมได้ยังไงกัน คราวหลังห้ามทำอย่างนี้อีกนะรู้ไหม”เขาเอ่ยตักเตือน ลลนาก็พยักหน้ารับรู้
“ค่ะ”

“พ่อว่าเจทเปลี่ยนชุดแล้วให้รุทธิ์พาไปหาหมอดีกว่านะ”นายทวีพลบอกกับลูกศิษย์หนุ่มที่มีความเห็นเช่นเดียวกัน
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมไปส่งเจทหาหมอก่อนนะครับ ส่วนเจทก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ”
“ค่ะพี่รุทธิ์”บอกจบร่างเล็กก็เดินเข้าไปยังห้องเปลี่ยนชุดนักแข่งรถ เขามองตามจนเธอเข้าไปด้านใน จึงหันกลับมาเห็นอะไรแว้บๆที่หางตา แต่ก็ทำเป็นไม่สนใจ นั่งลงรอหญิงสาวอย่างนิ่งๆ

ภายในห้องที่มีไว้สำหรับให้นักแข่งรถเปลี่ยนชุด กฤษรัฐที่ย่องเข้ามาด้วยความห่วงใยในตัวหญิงสาวทำให้เขาต้องแอบเข้ามาหลังจากที่เห็นลลนาเดินเข้าไป มองทางจนแน่ใจว่าไม่มีใครเดินเข้ามา ก็ตรงเข้าไปด้านใน แต่กลับได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัว จึงก้าวออกไปรอด้านนอกคอยให้อีกฝ่ายอาบน้ำเสร็จก่อน แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ไกลเลย ยืนฟังเสียงอยู่ตลอดว่าห้องน้ำจะเปิดออกมาเมื่อไหร่

จนกระทั่งได้ยินเสียง แกร็ก! เขาก็มองดูลู่ทางอีกครั้งหนึ่งพอเห็นว่าไม่มีใครก็เดินเข้าไปด้านในอีกครั้ง ลับหลังที่กฤษรัฐเดินเข้าไปแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งแอบอมยิ้มและมองหลังร่างสูงที่หายเข้าไปในนั้น
ลลนาเปิดประตูออกมาด้านนอกในชุดเสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์ พอเห็นเขาก็ทำสีหน้าตกใจ
“คุณเข้ามาได้ยังไงน่ะ”

“ผมเป็นห่วงคุณ เลยเข้ามาดู”เขาบอกอย่างน้ำเสียงกังวล
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เรื่องแบบนี้เคยเจอมาบ่อย”ลลนาบอกด้วยน้ำเสียงสะบัดขึ้นจมูก
“ผมไม่ตั้งใจจริงๆนะเจท ผมเสียใจ”หญิงสาวหยุดและมองหน้าเขา

“คราวหลังอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีกละกัน”บอกจบก็เก็บเสื้อผ้าที่ถอดออกเมื่อครู่ใส่กระเป๋าเป้ เดินออกไปด้านนอก เห็นร่างสูงของใครอีกคนยืนรออยู่ จึงวิ่งเข้าไปหา
“เข้ามาตามเจทเหรอคะ”
“โค้ชให้พี่เข้ามาดูว่าเจทเปลี่ยนชุดเสร็จหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ไปกันเถอะค่ะ”ถึงตอนนี้จะไม่มีอาการเจ็บ แต่ถ้าได้อยู่กับเขาตามลำพังลลนาก็ยอมเล่นละคร หญิงสาวเดินไปควงแขนเขาโดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร และคนที่แกะมือเล็กออกก็เป็นอนิรุทธิ์พร้อมกับบอกให้รู้
“เจทเดินดีๆ สิ”

“ทำไมคะพี่รุทธิ์รังเกียจเจทเหรอคะ”มองหน้าและย้อนถาม
“เปล่าแต่ถ้าโค้ชเห็นมันจะไม่ดี”บอกจบก็ปลดมือของอีกฝ่ายออกเหมือนไม่อยากให้ใครเข้าใจผิดลลนาก็ไม่ตื๊อที่จะควงแขนเขาอีก ทั้งสองเดินไปหาบิดาของหญิงสาว

“เดี๋ยวผมพาเจทไปหาหมอก่อนนะครับโค้ช”
“ดี ๆ เช็คให้แน่นอนว่าเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า”แล้วทั้งคู่ก็พากันตรงไปที่รถของอนิรุทธ์ที่ขับมากับนายทวีพล เขาเปิดประตูให้ลลนาขึ้นไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะพี่รุทธิ์”

“ไม่เป็นไร”บอกเสร็จก็ปิดประตูให้ตามหน้าที่สุภาพบุรุษ ก่อนจะเดินไปทางด้านคนขับ ขึ้นไปนั่งและสตาร์ทรถ พรืด พรืด……แต่รถเจ้ากรรมก็ไม่ติด อนิรุทธิ์หันไปทางลลนา
“สงสัยรถมีปัญหาแล้วล่ะเจท”
“อะไรกันคะ ทำไมมามีตอนนี้ล่ะ”ถามอย่างแปลกใจ เขาก็ส่ายหน้าตอบ

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนเช้ามันยังติดอยู่เลย แต่ตอนนี้ไม่ติดแล้ว” ชายหนุ่มก้าวลงมาจากรถ เปิดกระโปรงด้านหน้าเพื่อเช็คหาว่าทำไมรถไม่ติด ลลนาก็ก้าวลงมา
“เป็นไงคะพี่รุทธิ์ ทำไมรถมันถึงไม่ติด”
“ไม่รู้สิ พี่ยังหาสาเหตุไม่เจอ”เขาบอกและก้มหน้าลงไปดู ระหว่างนั้นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก็เดินมาพร้อมกับนายทวีพล

“รถเป็นอะไรน่ะรุทธิ์”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับโค้ช เมื่อเช้าก็ยังขับมาดีๆอยู่” อนิรุทธิ์ตอบกลับไป
“ให้ผมดูให้ไหมครับ”กฤษรัฐเสนอตัว แต่ชายหนุ่มอีกคนปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวค่อย ๆ แก้ไป กำลังว่าจะพายัยเจทไปหาหมอตรวจร่างกายว่ามีอะไรส่วนไหนเป็นอะไรหรือเปล่า คงต้องค่อย ๆ เช็คไป เดี๋ยวรถก็คงติด”

“เอารถผมไปส่งก็ได้นะครับ หรือจะให้ผมไปส่งก็ได้ เพราะจะว่าไปแล้วที่คุณเจทเกิดอุบัติเหตุก็เป็นเพราะผมเอง ให้ผมพาไปเพื่อเป็นการรับผิดชอบละกันนะครับ”เขาบอกกับผู้ชายสองคนที่ยืนมองหน้ากัน ลลนารีบปฏิเสธอย่างเร็ว
“เจทไม่ไปกับเขานะคะพี่รุทธิ์” บอกและเกาะแขนพี่ชายต่างเลือด นายทวีพลที่ยืนอยู่ก็บอกกับลูกสาว

“ถ้าไม่ไปแล้วจะไปรถคันไหนล่ะ ในเมื่อรถมันไม่ติด”
“ก็”
“ให้คุณอาร์มเขาไปส่งน่ะดีแล้วเจท เขาก็บอกเองว่าอุบัติเหตุเกิดจากเขา เขาก็ต้องรับผิดชอบสิ”อนิรุทธิ์เป็นคนตัดสินใจแทนให้
“แต่ว่า”หญิงสาวจะเถียงต่อ ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ก็เอ่ยอย่างให้ทั้งหมดวางใจ

“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ ผมจะเป็นคนรับผิดชอบออกให้”พอพูดจบลลนาก็แหวใส่
“ใครเขาอยากให้คุณมาออกค่ารักษาให้กัน”
“เจท อย่าเสียมารยาทสิ ถ้ารถติดพี่ก็อยากพาไปนะ แต่นี่รถไม่ติดจะให้ทำไงล่ะ”คนบอกทำเหมือนหงุดหงิดที่อีกฝ่ายดื้อจะไปรถคันนี้ให้ได้ ในเมื่อมันไม่ติด จะบังคับให้ติดได้ยังไงกัน

“ก็เจทอยากไปกับพี่รุทธิ์นี่คะ”ลลนาบอกด้วยน้ำเสียงเบาๆ
“ไปกับคุณอาร์มเถอะ เดี๋ยวพี่จะดูรถ”เขาบอกเหมือนสั่งและมองหน้า เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพยายามไล่เหลือเกินจึงหันไปทางพ่อของตน
“พ่อคะ เจท”ยังพูดไม่จบดีอีกฝ่ายก็พยักหน้าเหมือนเห็นด้วยกับลูกศิษย์ตัวเอง

“ไปกับคุณอาร์มเถอะเจท ไปเช็คร่างกายให้แน่นอน”ทั้งคู่ส่งสายตามาทางเธอหมด ทำให้ลลนาทำหน้าไม่พอใจสะบัดหน้าหันไปทางตัวต้นเหตุที่เสนอตัวเข้ามาอย่างไม่ได้ขอ
“ก็ได้ค่ะ เจทจะไปกับเขา รถจอดอยู่ไหนล่ะ”ลลนาถามอย่างเสียงกระชาก
“อยู่ทางโน้นครับ”พูดแล้วก็เดินนำไป ร่างบางก็หันไปที่พ่อกับพี่ชายซึ่งเธอแอบมีความรู้สึกดีให้ ทั้งสองก็บุ้ยใบ้ให้ไป หญิงสาวจึงจำใจต้องเดินตามร่างสูงที่อยู่ด้านหน้าไปที่รถ

ลับหลังที่ลลนาเดินไปแล้วนายทวีพลก็หันมาทางอนิรุทธิ์และเอ่ยอะไรออกมาประโยคหนึ่ง
“ดูท่าแผนที่เราวางไว้จะไม่สำเร็จเสียแล้ว ยัยเจทดูไม่ชอบหน้าไอ้อาร์มเลย”
ผู้ชายอีกคนมองตามรถคันใหญ่ที่ขับออกไปจากสนามโดยมีหญิงสาวที่ยืนอยู่เมื่อครู่นั่งอยู่บนนั้น เขาเปรยออกมาให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ผมจะต้องคุยเรื่องนี้กับเจทอีกครั้งครับโค้ช เพราะถ้าเขาทำแบบนี้ ก็เท่ากับเขาไม่ได้ช่วยให้เราทำสำเร็จเลย”

“ก็ลองคุยกับน้องดูละกัน”
“โค้ชไปนั่งเถอะครับ เดี๋ยวผมจะดูรถก่อน”
“โอเค”บอกจบนายทวีพลก็เดินไป อนิรุทธิ์จึงนั่งซ่อมรถเพียงลำพัง ในใจกำลังคิดว่านี่ถ้าหากตนเองไม่แกล้งทำให้รถเสีย เจทก็คงไม่มีทางได้ไปสนิทกับไอ้อาร์มแน่ นัยน์ตาคมคิดอย่างหงุดหงิดที่ลลนาไม่ยอมให้ความร่วมมือกับสิ่งที่ขอไว้

บนรถแข่งเครื่องแรงของชายหนุ่มที่กำลังจะพาหญิงสาวไปโรงพยาบาล หากแต่ใบหน้าของคนที่นั่งข้าง ๆ กลับดูบูดบึ้ง ร่างบางกระแทกกายนั่งลงไปบนเบาะอย่างแรง แล้วปิดประตูดังปัง............
“บอกแล้วว่าอย่านั่งแรง เดี๋ยวเครื่องเคราเสียหมด” เพียงได้ยินวงหน้านวลหันมาแหวทันที

“บ้า ลามกที่สุด” กฤษรัฐทำหน้าเป็นถาม
“ผมลามกตรงไหนกันเจท”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉันอย่างสนิทนะ”ลลนาแหวกลับ
“มีป้ายห้ามไว้หรือไง ถึงเรียกไม่ได้” ย้อนถามหน้าตาย หญิงสาวจึงหันมาตอบ

“ไม่ได้ ฉันไม่ให้เรียก”
“ถ้าไม่ให้เรียกชื่อเจทแล้วจะให้เรียกว่าอะไรครับ ย ยักษ์. เหรอครับ”กฤษรัฐยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ลลนาผงะใบหน้าออกและถามอย่างงงๆ
“อะไร ย ยักษ์”แล้วเหมือนจะรู้ว่าเขาพูดอะไรดวงตาที่ทำท่างงเมื่อครู่จึงวาวขี้นอีกครั้งก่อนจะร้องว่าเขา

“อ๊าย อีตาบ้า เรียกชื่อฉันอย่างนั้นได้ยังไงกัน”
“อ้าวก็คุณไม่ให้เรียกเจท ผมก็เรียก...........”จะพูดต่อก็ถูกห้ามไว้
“ไม่ต้องพูดละ จะเรียกเจทก็ได้”

เขาขำออกมานิดหนึ่งกำลังจะขยับกลับไปสตาร์ทรถสายตาก็มองเห็นมือเรียวดึงเข็มขัดนิรภัยคาดกายตนด้วยท่าทางดึงอย่างไม่สนใจว่าของคนอื่นจะพัง มือใหญ่ก็ทาบบนมือเล็ก ลลนาร้องออกมาเสียงดัง
“นี่ อย่ามาแต๊ะอั๋งฉันนะ”พูดด้วยดวงตาเขียวปั๊ด อีกฝ่ายก็ทำหน้าเป็นตอบ
“ใครแต๊ะอั๋งคุณ”
“ก็คุณไง ฉวยโอกาส ไม่อย่างนั้นจะจับมือฉันไว้ทำไมกัน”ถามอย่างเอาเรื่องและมองไปยังมือที่จับตนไว้ กฤษรัฐก็มองตามและบอก

“อ้อ ความจริงผมเองก็ไม่ได้อยากแตะคุณนักหรอก”
“ถ้าไม่อยากแตะก็ปล่อยสิ ปากน่ะ พูดให้มันตรงกับความจริงหน่อย”ลลนาเหน็บเขาด้วยความไม่พอใจ ชายหนุ่มจึงตอบ
“ก็คุณเล่นประทุษร้ายรถผมอย่างนั้น ผมก็กลัวมันพังนี่”ร่างสูงบอกเหตุผลที่ทำแบบนี้ แต่พอได้ยินเขาพูดลลนาก็ยิ่งไม่สนใจกลับพูดตอกย้ำซ้ำเติมมากขึ้น

“ดี พังไปเลย จะได้ขับไม่ได้ จุ้นนัก”หญิงสาวปากไวต่อว่าเขา และไม่ทันตั้งตัวมือใหญ่ก็ดึงเข็มขัดลงมาคาดร่างให้ลลนา มือของชายหนุ่มเผลอพลาดโดนบางส่วนบนร่างเล็กอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้ลลนาหันไปมองหน้าเขาและโวยวายใส่
“ฉันทำเองได้ จุ้นอีกแล้วนะ”

คราวนี้กฤษรัฐทำท่าสตาร์ทรถอย่างไม่สนใจว่าคนข้าง ๆ กำลังทำหน้าจะกินตนเองขนาดไหน หญิงสาวขยับร่างไปนั่งชิดริมประตูทำท่ากอดอก หันหน้ามองออกไปทางด้านนอกเหมือนกับว่าถ้ามองหน้าเขาแล้วท้องจะอืดอย่างไงอย่างงั้นล่ะ ขับไปได้สักพักร่างสูงก็เริ่มยวนต่อ
“นี่คุณ หันมามองหน้าผมมั่งก็ได้ เดี๋ยวคอก็เคล็ดหรอกเก็กซะ”ลลนาตอบกลับมา

“ช่างฉัน”
“เป็นห่วงหรอกถึงได้ถาม”อีกฝ่ายพูดน้ำเสียงกวน ๆ แต่หญิงสาวก็ทำเป็นไม่สนใจ กฤษรัฐจึงแกล้งแหย่อีก
“น่าคุณ หันมาคุยกันหน่อยสิ”แต่ลลนาก็ยังทำเมินเหมือนเดิม เขาก็เรียกต่อ
“ผมไม่กัดคุณหรอก แค่คุยกัน”

“นี่อย่ามากวนได้ไหม ฉันไม่อยากคุยกับคุณ”บอกแล้วก็หันหน้ากลับไปท่าเดิม น่ากลัวคอจะหักซะเหลือเกินเมื่อแม่คุณหันไปอย่างแรงทีเดียว กฤษรัฐก็บอกกลับไป
“ตามใจไม่อยากคุยกับผมก็ไม่เป็นไร”พูดจบเขาก็หันไปทางด้านหน้าแต่มืออีกข้างหนึ่งซึ่งจับเกียร์หยิบแผ่นซีดีที่วางอยู่ด้านข้างใส่เข้าไปในเครื่องเล่น จากนั้นก็กดปุ่ม play ให้เครื่องเล่นทำงาน

เสียงดนตรีที่เริ่มบรรเลงดังขึ้นด้วยจังหวะเสียงแคนทางภาคอีสาน
แต่ แล่น แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต
ผู้เฮาเป็นซาวอีสาน ผู้เฮาเป็นซาวอีสาน มาอยู่ทำงานบนฟ้าเมืองกรุง ไม่มีปลาแดก ปลาบุ้ง ไม่มีปลาแดก ปลาบุ้ง ผู้เฮาเลยกลุ้ม กลุ้มใจจังเด้อ
แต่ แล่น แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต
อยู่มาไม่นานก็มีฟอแอนอแฟน อยู่มาไม่นานก็มีฟอแอนอแฟน บอกกับผู้เฮาว่าเป็นนางงาม เป็นนางงาม เอ้อ เป็นนางงาม เป็นนางงาม เอ้อ เป็นนางงาม ผู้เฮาเลยได้แต่งงาน แต่งงานได้เมียเลยเด้อ แต่งงานได้เมียเป็นนางงา อ่ะ อ่ะ อ๊ะ งาม

ชายหนุ่มทำลูกคอลงท้ายเอื้อนเหมือนนักร้องหมอลำที่ชอบเขย่าให้เป็นจังหวะ ก่อนจะร้องสร้อยของเพลงนี้ต่อ
แต่ แล่น แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต
……………
……………..

เสียงเพลงที่ดังทำให้ร่างบางที่นั่งหันไปด้านนอกทำท่าแปลก ๆ ส่วนคนขับรถก็ทำหน้าอารมณ์ดีเหลือเกิน แถมยังร้องคลอตามไปด้วย ช่างไม่รู้เลยร้องไม่ได้เรื่อง ไม่สงสารคอตัวเองก็สงสารคนฟังหน่อยเถอะ ลลนาหันไปมองเขาอย่างหงุดหงิด อีกฝ่ายก็ทำเหมือนไม่รับรู้ว่ามีใครอยู่ในรถด้วย กลับยิ่งตะโกนเสียงดังมากขึ้น โดยเฉพาะไอ้ท่อนฮุกวรรคแรกของเนื้อเพลง
แต่ แล่น แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต แต แล่น แต แล่น แต แล่น แต
ลลนายกมืออุดหูและตะโกนบอกเขา

“ร้องเบาๆไม่ได้รึไงกัน ไม่ต้องเผื่อแผ่ให้ชาวบ้านฟังหรอก” อีกฝ่ายก็เหมือนไม่รับรู้ซ้ำยังปล่อยมือขับรถยกมือขึ้นมารำอีกด้วย ส่วนเท้าก็เหยียบคันเร่งไป ลลนาก็บอกเขา
“ถ้าขับรถอย่างนี้ฉันไม่ไปด้วยแล้ว โรงบง โรงบาล น่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะขำอย่างอารมณ์ดี

“อ้าว ยอมคุยด้วยกันแล้วเหรอคุณ นึกว่าจะไม่คุยแล้วซะอีก”
“คุณนี่มันผู้ชายกวนประสาทจริงๆ”
“ขอบคุณที่ชมผม”เขายอมรับหน้าตาเฉย
“ฉันว่าคุณต่างหากล่ะ”

“แต่ผมถือเป็นคำชม” เอากับเขาสิ โดนว่ายังมาทำหน้าเป็นอีก ลลนาก็เลยเปลี่ยนเพลงเองหน้าตาเฉย มือเรียวปิดเพลงอีสานที่เปิดอยู่และหมุนหาคลื่นวิทยุฟังแทน ร่างสูงก็หันมาบอก
“อะไรกันคุณเพลงของเมืองเรา เป็นศิลปะขนานแท้เลยนะแคนน่ะ”ลลนามองเขาและตอบ

“เอาไว้ให้ฉันลงไปก่อนละกัน แล้วคุณจะฟังก็เรื่องของคุณ”กฤษรัฐทำตาโตล้อเลียน
“คนอะไรเป็นคนไทยแท้ ๆ แต่กลับไม่ชอบฟังเพลงไทย ไปฟังเพลงของฝรั่งอยู่ได้”
“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ฉันจะฟังเพลงแบบไหนน่ะ”ร่างเล็กย้อนถามอย่างหงุดหงิด อีกฝ่ายยักไหล่ตอบ

“เปล่า ไม่มีอะไรสักหน่อย แค่นี้ต้องทำท่าเหมือนจะจูบเอ๊ยกัดกันด้วย”
ลลนาถอนหายใจ ถ้าเกิดเผลอทุบร่างที่อยู่ข้าง ๆไป รถจะเกิดอุบัติเหตุไหมเนี่ย นี่ถ้าไม่คิดว่าอยู่บนรถนะ จะทุบให้หลังหักเชียว ขยันยั่วกันนัก
ก็พอดีกับที่รถขับมาถึงยังหน้าโรงพยาบาล กฤษรัฐก็หักรถขับเข้าไปด้านในอย่างเร็ว โดยหาที่จอดรถซึ่งว่างอยู่ พอจอดเสร็จเรียบร้อยก็แกะเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออก รอดตัวไปนะที่ถึงโรงพยาบาลก่อน ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าหญิงสาวจะทนได้แค่ไหน กฤษรัฐปลดเข็มขัดเสร็จก็หันมามองหน้าคนข้างๆ และถาม

“ต้องให้ช่วยปลดกระดุมเอ๊ยเข็มขัดออกให้ไหมเจท”
“ไม่ต้อง”เอ่ยจบมือเรียวก็ดึงล็อกเข็มขัดออกแล้วเปิดประตูลงมาเอง ร่างสูงที่ก้าวลงมาอีกด้านหนึ่งก็เดินมายังฝั่งที่ลลนายืนอยู่
“ไปคุณเข้าไปตรวจร่างกาย”พูดจบก็ดึงมือเรียวมากุมไว้ อีกฝ่ายก็ร้องปฏิเสธ
“นี่ไม่ต้องจับหรอกฉันเดินเข้าไปเองได้

“กลัวน้ำคร่ำแตกเห็นคุณกระแทกแรงเหลือเกิน”อีกฝ่ายยังยั่วไม่หยุด ลลนาจึงหยุดเดินและผลักเขาออกไป
“ถ้าปากแบบนี้ก็ไปไกล ๆ เลยไป”พูดจบก็เดินเข้าไปด้านใน กฤษรัฐแอบยิ้มหัวเราะอย่างขำๆ เมื่อแกล้งอีกฝ่าย นางพยาบาลที่เห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็ตรงเข้าไปถามและต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ กรุณาเขียนชื่อจองคิวก่อนนะคะ”

“เอ่อค่ะ”ลลนาตอบกลับไปและกรอกชื่อของตัวเองลงไปในกระดาษที่ผู้หญิงอีกคนส่งให้
“จะมาตรวจร่างกายหรือว่าทำอะไรคะ”ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็บอกแบบกระซิบกวน ๆ
“บอกเขาไปสิว่ามาตรวจภายใน” ลลนาใช้ข้อศอกกระแทกไปทางด้านหลังของตน โดนอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ ดัง ปึ่ก ร่างสูงเอามือกุมท้อง ลลนาก็หันไปบอก

“ดีสมน้ำหน้า อยากพูดอะไรไม่คิด”เหน็บจบก็หันไปบอกกับนางพยาบาลที่ถามเมื่อกี้
“มาตรวจร่างกายน่ะค่ะ พอดีขับรถชนกำแพงมา นี่ค่ะเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว”พูดจบก็ยื่นรายละเอียดของตนเองให้กับนางพยาบาล แล้วจึงเดินไปนั่งที่เก้าอี้ รอให้คุณหมอเรียกคิว กฤษรัฐก็เดินมานั่งข้าง ๆ และต่อว่าโดยมือยังกุมอยู่ที่ซี่โครงด้านขวามือ

“กระแทกมาได้แรงเชียว”
“จะตรวจภายในไหมล่ะคุณน่ะ เผื่อเครื่องเคราข้างในจะพัง เอาไหมฉันจะลุกไปหยิบใบจองคิวให้ เอหรือว่าจะให้ฉันจองวัดให้เลยดีล่ะ”อีกฝ่ายทำหน้ามุ่ยบอกกลับมา
“ใจร้ายชะมัด”ลลนาแอบยิ้มอย่างสะใจที่ได้เอาคืนผู้ชายข้าง ๆ กลับบ้าง

 

โดย: ต้นข้าว (tonkho-w ) 17 มกราคม 2553 2:48:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

tonkho-w
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]





โปรโมชั่นพิเศษ
ซีรีย์ กับดักรักมาเฟีย
4 เล่ม เหลือ 900 บาท จาก 1189
ฟรีค่าส่ง




งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่
หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด
เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี

สนพ. รัตมาบุ๊คส์
สั่งซื้อหนังสือของต้นข้าวได้นะคะ





users online

มุมผ่อนคลาย
หนัง ฟังเพลง
ฟังเพลงเกาหลี ฟังเพลงละคร ดูหนังซีรีย์
นิตยสาร
ขวัญเรือน แพรว สุดสัปดาห์



)

ช่วยกด Like & Love ให้สนพ. ข้าวหน่อยนะคะ จะได้มีกำลังใจปั่นนิยายมาแปะให้ เพื่อนๆ พี่น้องได้อ่านมากๆ ค่ะ



Ebook ทั้งหมดของรัตมา

เจ้าสาวพรางสิทธิ์รัก
รัตมา
www.mebmarket.com
เจ้าสาวพ่ายเล่ห์รัก
รัตมา
www.mebmarket.com
เจ้าสาวจองจำรัก
รัตมา
www.mebmarket.com
ทัณฑ์ร้ายเล่ห์ลวง
รัตมา
www.mebmarket.com
ทัณฑ์ร้ายเชลยรัก
รัตมา
www.mebmarket.com
< /td>
รักร้ายกามเทพ
รัตมา
www.mebmarket.com
มารปรารถนา
รัตมา
www.mebmarket.com
เพลย์บอยล่ารัก
รัตมา
www.mebmarket.com
ภรรยารักสายลับ
รัตมา
www.mebmarket.com
ซีรีย์ หวานตาวายร้าย 1 ภรรยารักสายลับ2 ยอดยาใจสายลับ3 ร้อยกลยอดวายร้าย4 มนต์รักคาสโนว่าภาคต่อ ซีรีย์ กับดักรักมาเฟีย1 อ้อมกอดจอมมาเฟีย2 ร่ายรักจอมมาเฟีย3 ดวงใจจอมมาเฟีย4 บ่วงรักจอมมาเฟีย
SET กับดักรักมาเฟีย ( อ้อมกอดจอมมาเฟีย + ร่ายรักจอมมาเฟีย + ดวงใจจอมมาเฟีย + บ่วงรักจอมมาเฟีย )
รัตมา
www.mebmarket.com
1 อ้อมกอดจอมมาเฟีย2 ร่ายรักจอมมาเฟีย3 ดวงใจจอมมาเฟีย4 บ่วงรักจอมมาเฟีย
SET Love affection ( สิเน่หาพยศรัก + บ่วงรักปรายใจ + สิเน่หาไฟรัก )
รัตมา
www.mebmarket.com
1 สิเน่หาพยศรัก2 บ่วงรักปรายใจ3 สิเน่หาไฟรัก
SET Touch love ( จ้างรักจอมมาร + ปล้นใจจอมมาร )
รัตมา
www.mebmarket.com
1 จ้างรักจอมมาร 2 ปล้นใจจอมมาร
ปล้นใจจอมมาร
รัตมา
www.mebmarket.com
จ้างรักจอมมาร
รัตมา
www.mebmarket.com
สิเน่หาไฟรัก
รัตมา
www.mebmarket.com
/td>


บ่วงรักปรายใจ
รัตมา
www.mebmarket.com

สิเน่หาพยศรัก
รัตมา
www.mebmarket.com

ดวงใจจอมมาเฟีย
รัตมา
www.mebmarket.com
บ่วงรักจอมมาเฟีย
รัตมา
www.mebmarket.com
Flag Counter

stats for every website
Visits Calculator
New Comments
[Add tonkho-w's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com