|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ว่าด้วยอาการท่อน้ำเหลืองอุดตัน
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณหลาย ๆ คนที่ทำให้มี Group blog นี้ขึ้นมา
ขอบคุณคุณโจ้ คุณโหน่ง คุณ ต้อย เพื่อนร่วมงาน และที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นลูกศิษย์ของเราชั่วคราว
ขอบคุณโต้ สำหรับแรงบันดาลใจ
ขอบคุณเจิน อาร์ท อุ๋ม ฝน ขิง พะโล้ ที่เป็นกองหนุนที่ดี ทำให้มีหน้านี้ขึ้นมา
ใน Group นี้ คงได้เขียนอะไรที่เป็นสาระบ้าง ตามที่ความสามารถจะมี และหวังว่า ผู้อ่านคงได้ประโยชน์กลับไปบ้าง หากเพื่อน ๆ ที่ผ่านมาอ่าน อยากแสดงความเห็นเพิ่มเติม ก็จะยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ
เริ่มด้วยเรื่องใกล้ตัวก่อน....คือเรื่องโรคประจำตัวของเราเอง
เมื่อปี 2544 เราได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว) ให้ทำวิจัยเรื่องสถานการณ์การใช้สื่อเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตอนนั้น ต้องเดินทางเก็บข้อมูลไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ใน 5 จังหวัดหลัก คือ นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชสีมา เป็นเวลาเกือบครึ่งปีกว่าจะเสร็จสำหรับการเก็บข้อมูล
ระหว่างนั้น ก็เริ่มมีอาการปวดขาขึ้นมาบ้าง และเริ่มสังเกตว่าขาตัวเองบวม แต่บวมข้างเดียว คือ ข้างซ้าย บวมตั้งแต่น่องลงไปถึงปลายเท้า ระยะแรก ๆ บวมไม่มากนัก แต่พอสังเกตได้ว่า มีอาการบวม และเมื่อเดินทางไกล ๆ หรือนั่งนาน ๆ อาการบวมจะมากขึ้น แต่ไม่เจ็บ ไม่ปวด เวลากด จะบุ๋มลงไปนิดเดียว และจะค่อย ๆ กลับคืนสภาพเดิม
ช่วงที่เดินทางบ่อย ๆ อาการบวมมากขึ้นจนคนรอบข้างสังเกตได้ และเริ่มรู้สึกว่าคงไม่ไหวแล้ว เลยไปเช็คดู ซึ่งหมอก็วินิจฉัยตามอาการ คือ คิดว่า เกิดจากกล้ามเนื้อ แต่เมื่อเช็คดูปรากฏว่าไม่ใช่ ข้อสันนิษฐานต่อมา คือ เส้นเลือดดำ ก็เลยต้องมีการเอ็กซเรย์ดูการไหลเวียนของเลือด โดยหมอจะผ่าเส้นเลือดที่ข้อเท้า และสอดสายเข้าไปเพื่อเอ็กซเรย์ ก็ปรากฏว่าปกติ ต่อมา ก็มีการทำอัลตราซาวน์ ตรวจดูเส้นเลือดที่โคนขา ก็ปรากฏว่าไหลเวียนปกติ ปัญหาเรื่องเส้นเลือดเลยถูกตัดไป
ช่วงนั้น เราเข้า ๆ ออกๆ โรงพยาบาลหลายรอบ แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็หาสาเหตุไม่เจอ จนมีคนทักว่าเป็นโรคเท้าช้างหรือเปล่า และเขาแนะนำให้ไปที่สถาบันเวชศาสตร์เขตร้อน ซึ่งเราก็ไปเช็ค หมอก็ซักถามอาการและเช็คดู ก็ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้อยู่ในพื้นที่เสี่ยง คือ ภาคใต้ (โรคเท้าช้างมีพาหะคือยุงก้นป่องค่ะ)
จนสุดท้าย มาตรวจที่รามาธิบดี หลังจากเอ็กซเรย์อีกรอบ และมาเช็คอีกหลายรอบ หมอก็วินิจฉัยว่า เราเป็นโรค ท่อน้ำเหลืองอุดตัน ซึ่งใช้เวลาเกือบปี กว่าที่หมอจะวินิจฉัยได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้ยินชื่อโรคนี้
แล้วโรคนี้เป็นมายังไง หลาย ๆ คนคงสงสัยเหมือนเรา ซึ่งคุณหมอก็ตอบสั้น ๆ เหมือนกันว่า เพราะระบบไหลเวียนไม่ดี เราถามต่อว่า แล้ววิธีรักษา ล่ะ ทำยังไง คุณหมอก็ตอบสั้น ๆ ง่าย ๆ เช่นเดิมว่า ไม่มีวิธีรักษา
เพราะน้ำเหลืองกระจายอยูทั่วตัว ไม่รู้ว่ามันอุดตันตรงไหน
อาการของโรคนี้เป็นยังไงน่ะหรือคะ ไม่มีอาการอื่น นอกจากจะขาข้างนึงจะบวมกว่าอีกข้างนึง ซึ่งของเราเป็นที่ขาซ้าย ตั้งแต่โคนขาสงมาถึงปลายเท้า ช่วงที่เดินทางมาก นั่งมาก ยืนมาก จะบวมมากจนเห็นได้ชัด แต่กดไม่เจ็บ แต่จะคัน และมีแผลง่าย ติดเชื้อได้ง่าย ถ้าติดเชื้อก็จะเป็นไข้ถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล (เราเคยเข้าโรงพยาบาลเพราะการติดเชื้อนี่มาแล้วสองครั้ง)
เนื้องจากโรคนี้ไม่มียารักษา วิธีการดูแลตัวเองมีวิธีเดียว คือ พยายามอย่าทำให้ขาบวมมากไปกว่านี้ โดยพยายามนอนยกขาสูง อย่านั่งหรือยืนนานๆ และหาผ้ามาพันขาไว้แน่นๆ (ที่เป็นผ้ายืดสำหรับนักกีฬานั่นละค่ะ)
จริง ๆ แล้วคุณหมอนัดให้มาติดตามอาการเป็นระยะ ๆ แต่เนื่อจากเราไม่ค่อยว่าง ก็เลยไม่ได้ไปหาบ่อย ๆ และเนื่องจากเราเป็นมานานแล้ว ตอนนี้ก็ปาเข้าไปเป็นปีที่ 7 แล้ว ซึ่งก็จัดได้ว่าเป็นเรื้อรังแล้ว เลยมีอาการที่เพิ่มขึ้นมา คือปวด ช่วงที่บวม เราจะปวดแถวหน้าขามากเป็นพิเศษ และขาซ้ายจะไม่ค่อยมีแรง
ช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนน้อย หรือเครียด แล้วต้องนั่งหรือยืนนาน ๆ อาการบวมจะเกิดมากเป็นพิเศษ เช่นช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดี ก็จะปวดบ่อย และบวมได้ง่าย
แต่น่าแปลกที่ช่วงที่ท้อง และช่วงหลังคลอด ขาซ้ายเรากลับไม่บวม และเล็กลงเกือบเท่าขาขวา ทำให้หลงดีใจอยู่พักใหญ่ แต่พอผ่านไปสองสามเดือนหลังคลอด กลับบวมขึ้นมาอีก เคยติดต่อไปที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน ตามข่าวที่เอามาลงข้างล่างนี่ละค่ะ เจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์บอกว่า ต้องรอคิวอีกนาน ตอนที่โทรไป เป็นเดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าที่บอกว่า คิวคุณหมอเต็มไปถึงเดือนมีนาคมปีหน้า และคนที่มารอคิวก็อาการหนัก ๆ กว่าเราทั้งนั้น
สำหรับผู้ที่เป็นหรือมีญาติเป็นท่อน้เหลืออุดตัน วิธีการรักษาตัวมีง่าย ๆ ก็คือ เวลานอนพยายามยกขาสูง อย่ายืนหรือนั่งในท่าเดียวนาน ๆ และ ทาครีม เพราะผิวที่ขยายจะทำให้คันง่าย และเมื่อเผลอเกาก็จะเป็นแผล ดลือดออกง่าย พยายามอย่าให้ขาข้างที่บวมเป็นแผล เพราะจะง่ายต่อการติดเชื้อ
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก//www.bangkokhealth.com/healthnews_htdoc/healthnews_detail.asp?Number=15480
หงัวว่าผู้อ่านคงได้ประโยชน์กลับไปบ้างนะคะ
หยิบมาฝากกันค่ะ เป็นข่าวเมื่อเดือนมีนาคมของปี 2007
วันนี้ (14 มี.ค.) ที่คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กทม. นพ.มงคล ณ สงขลา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมนพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรคและคณะ เยี่ยมชมการรักษาภาวะบวมที่แขนขา จากท่อน้ำเหลืองอุดตันอย่างเรื้อรังด้วยวิธีการขันชะเนาะ เพื่อลดอาการบวม ซึ่งเป็นนวัตกรรมด้านการแพทย์ของคณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล โดยใช้หลักการเรียบง่าย ประหยัด สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ใช้วิธีการปฏิบัติที่ไม่ซับซ้อน ได้ผลในระยะเวลาสั้น
นพ.มงคล กล่าวว่า อาการแขนขาบวมน้ำเหลืองเป็นโรคที่พบได้ทั่วโลก เกิดจากท่อน้ำเหลืองอุดตัน ทำให้การไหลเวียนของน้ำเหลืองไม่ดี และมีการคั่งทำให้อวัยวะส่วนนั้นบวมโต แต่ไม่มีอาการเจ็บปวด จากข้อมูลเชิงระบาดวิทยาขององค์การอนามัยโลกประมาณว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยแขนขาบวมจากน้ำเหลืองอุดตันมากถึง 250 ล้านคน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามีประมาณ 1-2 ล้านคน
สำหรับในไทยยังไม่มีตัวเลขแน่ชัด ซึ่งในอดีตจะพบผู้ป่วยที่มีอาการบวมตามมือ เท้า เต้านม หรือที่อัณฑะ มักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากพยาธิตัวกลมขนาดเล็กมาก ที่มีชื่อว่าฟิลาเรีย(Filariasis) ซึ่งทำให้เป็นโรคเท้าช้าง พยาธิดังกล่าวอาศัยในยุง แต่ปัจจุบันโรคดังกล่าวลดน้อยลงมาก ในไทยยังเหลือโรคเท้าช้างอยู่ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมากที่สุดที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน 118 ราย เมื่อโรคทำให้เกิดอาการบวมที่แขนขาแล้ว จะรักษาไม่ได้ผล อย่างไรก็ตามขณะนี้เราสามารถกินยาป้องกันไม่ให้เกิดโรคเท้าช้างได้ ซึ่งได้ผลดีมาก จำนวนคนป่วยที่มีความพิการลดน้อยลง โดยจะนำวิธีนี้ไปใช้กับประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนใต้เป็นพื้นที่แรกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ทำให้เกิดอาการแขนขาบวมได้อีกในขณะนี้ มักพบในผู้ป่วยหลังทำผ่าตัดรักษามะเร็ง ที่สำคัญคือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งอัณฑะ ที่แพทย์ได้เลาะต่อมน้ำเหลืองออกไป และฉายรังสีควบคู่ด้วย เพื่อป้องกันไม่เซลล์มะเร็งลุกลามไปอวัยวะอื่น วิธีการเหล่านี้จะทำลายระบบระบายน้ำเหลืองของส่วนแขนขา ทำให้น้ำเหลืองไหลเวียนไม่ดี หลังจากนั้นอาจจะค่อยๆบวมขึ้นเป็นแบบเรื้อรัง จะรู้สึกเจ็บปวด เช่น ปวดน่อง ปวดขา ปวดสะโพก แพทย์เรียกว่าเป็นอาการของโรคเท้าช้างเทียม จากการศึกษาในต่างประเทศ พบอาการบวมในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมได้ร้อยละ 15 ในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกพบได้ร้อยละ 25 ผู้ป่วยได้รับความทุกข์ทรมานมาก ทำงานได้ไม่สะดวก หาเสื้อผ้าใส่ยาก ขณะที่บางคนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้หลายเป็นภาระให้กับครอบครัว
"คาดว่าเดือนหน้าจะสามารถเผยแพร่เทคนิควิธีนี้ในพื้นที่อื่นๆ ได้ ซึ่งสามารถทำได้เองที่บ้าน คนที่เป็นโรคเท้าช้างซึ่งเกิดความอายไม่กล้ารักษา หรือเปิดเผยตัวก็จะเข้ารับการรักษามาขึ้น ที่สำคัญทมีแผนที่จะเร่งดำเนินการตั้งมูลนิธิเพื่อผู้ป่วยเท้าช้าง ช่วยให้เกิดความสะดวกยิ่งขึ้นในการเข้ารับบริการรักษาทั้งญาติและผู้ป่วย"นพ.มงคลกล่าว
ทางด้านนพ.วิชัย เอกทักษิณ รองคณะบดีฝ่ายเทคโนโลยีการศึกษาและสารสนเทศ คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การรักษาอาการบวมจากน้ำเหลืองคั่งในอดีต แพทย์จะใช้วิธีลดความตีบตันโดยพันผ้ายืด สวมถุงผ้าตึง อัดปั๊มลมไล่น้ำเหลือง กระตุ้นด้วยไฟฟ้า หรือใช้วิธีนวดน้ำเหลืองด้วยมือ บริหารกล้ามเนื้อขา นอนยกเท้าสูง และผ่าตัดเชื่อมหลอดน้ำเหลืองเข้ากับหลอดเลือดดำเพื่อลดขนาด หรือปลูกสร้างทางเดินน้ำเหลืองใหม่ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ
นพ.วิชัย กล่าวต่อว่า น้ำเหลืองในร่างกายคนเรานี้ ผลิตมาจากตับมากที่สุดและปล่อยน้ำเหลืองออกมามากที่สุดกว่าครึ่งของทั่วร่างกาย ในการแก้ปัญหาแขนขาบวมจากสาเหตุน้ำเหลืองคั่ง แพทย์ผู้เชียวชาญด้านเวชศาสตร์เขตร้อน หน่วยวิจัยตับ ได้ร่วมกันศึกษาวิจัยค้นคว้าการรักษาการลดอาการบวมจากน้ำเหลืองคั่งแนวใหม่ โดยใช้วิธีการขันชะเนาะ นำวัสดุง่ายๆ หาได้ตามพื้นบ้านมาใช้ง่ายที่สุดคือ ผ้าปูที่นอนกับด้ามไม้กวาด โดยพันผ้ายึดรอบอวัยวะที่บวม จากนั้นจึงขันชะเนาะเพิ่มแรงบีบรัด เพื่อไล่น้ำเหลืองที่คั่งอยู่ตามเซลล์ต่างๆ ขึ้นไปหาส่วนบนของร่างกาย ในการขันชะเนาะจะขันตึงที่บริเวณส่วนปลายของอวัยวะเพื่อให้มีแรงบีบสูงที่สุดและลดหลั่นลงมาถึงส่วนต้นของอวัยวะให้แรงบีบต่ำที่สุด โดยจะทำการขันและคลายชะเนาะสลับกันเป็นช่วงๆ อวัยวะที่บวมก็จะค่อยๆยุบลง
ทั้งนี้การรักษาอาการบวมของแขนขาจากน้ำเหลืองคั่งแบบขันชะเนาะดังกล่าว ใช้หลักการ การบีบรังผึ้งที่บานเต่งให้ค่อยๆหุบแฟบลง เพื่อผลักดันให้เกิดเป็นท่อน้ำเหลืองสายใหม่ ซึ่งนักวิจัยค้นพบว่าท่อน้ำเหลืองที่เคยถูกตัดหายไปหรือเสียหายแล้วสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ในขั้นแรกแพทย์จะเป็นผู้ประเมิน และจัดการวางระบบการขันชะเนาะให้เหมาะสม ใช้เวลารักษาตั้งแต่ 3 วันถึง 2 เดือน ขึ้นอยู่กับขนาดอวัยวะที่บวม หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถนำไปทำเองที่บ้านได้ แต่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้จะลดวันนอนของผู้ป่วยในโรงพยาบาลให้น้อยลง ประหยัด สำหรับค่ารักษาไม่รวมห้องพักไม่ถึง 10,000 บาท
จากการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีขันชะเนาะ ตั้งแต่ 5 มกราคม 2549 ถึงปัจจุบัน จำนวน 27 ราย เป็นชาวไทย 25 ราย ญี่ปุ่น 2 ราย อายุระหว่าง 24-79 ปี พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แขนขาของผู้ป่วยที่เคยบวมมีขนาดเล็กลงจนขนาดใกล้เคียงปกติ สุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีขึ้นอย่างมาก ชะเนาะที่ทำขึ้นนี้มีทั้งชะเนาะคู่ มีห่วงสอดไม้ขั้น และมีรุ่นชะเนาะร้อยเชือกคล้ายรองเท้าผ้าใบ ขณะนี้คณะเวชศาสตร์ฯได้ดำเนินการจดสิทธิบัตรในไทยแล้ว อยู่ระหว่างยื่นจดสิทธิบัตรในประเทศญี่ปุ่น ________________________________________ จาก...ผู้จัดการออนไลน์3/14/2007
Create Date : 09 สิงหาคม 2551 |
|
25 comments |
Last Update : 11 สิงหาคม 2551 12:30:10 น. |
Counter : 24582 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Naa IP: 118.173.137.211 30 กรกฎาคม 2552 23:05:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: kan IP: 172.16.244.12, 172.16.1.8, 203.113.86.139 31 กรกฎาคม 2552 10:39:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: มอส IP: 124.122.133.83 23 กันยายน 2552 20:05:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: porntip IP: 202.183.235.3 23 มีนาคม 2553 15:46:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้องแพน IP: 118.175.86.15 23 กรกฎาคม 2553 15:27:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: ponwat1@hotmail.com IP: 182.232.10.151 3 สิงหาคม 2553 5:51:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชัช IP: 118.172.71.124 8 มิถุนายน 2554 0:08:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: เนเธช IP: 119.31.90.156 15 สิงหาคม 2554 14:50:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: thank IP: 115.87.85.144 18 มกราคม 2555 16:26:35 น. |
|
|
|
| |
โดย: lalita IP: 202.29.34.253 1 สิงหาคม 2555 12:10:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: totoo IP: 27.55.132.72 11 ธันวาคม 2555 0:34:37 น. |
|
|
|
| |
โดย: ลูกของแม่ IP: 124.122.124.125 6 มีนาคม 2556 22:59:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: อ้อม IP: 192.99.14.34 1 มีนาคม 2557 13:09:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: เดือน IP: 171.7.70.87 13 มิถุนายน 2557 11:56:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: มารีแย IP: 49.230.185.222 9 ธันวาคม 2557 6:08:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: มารีแย IP: 49.230.185.222 9 ธันวาคม 2557 6:08:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปรียา IP: 202.58.126.26 18 มีนาคม 2558 13:33:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: ชดช้อย IP: 58.10.178.229 7 ธันวาคม 2558 7:13:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: น้ำหวาน IP: 125.25.58.192 22 มกราคม 2559 17:35:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: รัตนิล แป้นสุวรรณ IP: 202.28.12.53 5 กรกฎาคม 2559 15:04:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: วิไลวรรณ IP: 182.232.42.232 10 สิงหาคม 2559 20:55:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณมากค่ะที่แวะไปเยี่ยมชมที่บล็อคนะคะ
ส่วนของกกแต่งบล็อคก็ตามสบายค่ะ ไม่ว่ากันค่ะ