JEMIMA พิราบขาวแห่งฟ้ากว้าง...
 
ธันวาคม 2551
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
16 ธันวาคม 2551
 
 

Christmas day…



Christmas day…
ความเป็นมาของวันคริสต์มาส... คริสต์มาส (Christmas) คือ การเฉลิมฉลองการบังเกิดพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะจัดงานทุกวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี
คำว่า “คริสต์มาส (Christmas) เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิซาของพระคริสตเจ้า พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
“Merry Christmas” คำนี้ เป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับความสันติสุขและความสงบทางใจ
เหตุที่ใช้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันคริสตมาส จากหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดระบุว่า การฉลองวันประสูติพระเยซูคริสต์ ในวันที่ 25 ธันวาคมนั้ มีปรากฏในเอกสารราชารของโรมันที่เขียนขึ้นเมื่อ ค.ศ. 336 ว่า เหตุที่เลือกเอาวันนี้เพรากลุ่มชาวโรมันชั้นสูที่กลับฝจจากบาปมาเชื่อไว้วางใจพระเยซูคริสต์ ได้ใช้วันเทศกาลบูชาดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างและชีวิตแก่มนุษย์ จึงเริ่มมีการเฉลิมฉลองเทศกาลนี้ ในวันที่ 25 ธันวาคมเป็นทางการครั้งแรก



พระคริสธรรมคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องพระเยซูคริสต์ไว้ดังนี้..
“เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์กาเบียลนั้น ให้มายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อ นาซาเร็ธ มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่ง ที่ได้หมั้นกับขายคนหนึ่งที่ชื่อโยเซฟ เป็นคนเชื้อสายดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์
ทูตสวรรค์เข้าบ้านมาถึงหญิงพรหมจารีนั้น แล้วว่า “เธอผู้ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด พระเป็นเจ้าทรงสถิตกับเธอ” ฝ่ายมารีย์ก็ตกใจเพราะคำพูของทูตนั้น และรำพังว่า “คำทักทายนั้นจะหมายความว่าอะไร” แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวเธอว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพระเธอเป็นที่พระเจ้าโปรดปรานแล้ว ดูเถิด เธอจะตั้งครรภืและคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่า เยซู บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะทรงเรียกว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าจะทรงประทานพระที่นั่งของดาวิด บรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน และท่านจะครอบครองพงษ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่มีวันสิ้นสุดเลย”
ฝ่ายมารีย์ทูลฑุตสวรรค์นั้นว่า “เหต์การณ์นั้นจะเป็นไปได้อย่างไรได้ เพราะข้าพเจ้าหาร่วมกับชายไม่” ทูตสวรรค์จึงตอบนางว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เหตุฉะนั้นบุตรที่จะเกิดมานั้นจะเรียกว่าวิสุทธิ์ และเรียกว่าพระบุตรของพระเจ้า ดูซิ ถึงนางอลิซาเบธญาติของเธอชราแล้วก็ยังตั้งครรภ์ทีบุตรเป็นชายด้วย บัดนี้นางนั้นที่คนถือว่าเป็นหญิงหมัน ก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทรงกระทำไม่ได้ ส่วนมารีย์จึงทูลว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นทาสีของพระเป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” แล้วทูตสวรรค์จึงจากเธอไป”



การร้องเพลงคริสต์มาส...
สำหรับการร้องเพลงคริสต์มาสเริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งสมัยนั้นที่ทั้งนักบวชและฆราวาสเป็นผู้แต่ ร้องเป็นภาษาลาติน เน้นถึงความหมายของการเสด็จกลับมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 มีวิวัฒนาการใหม่ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุนให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ มีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชอบยินดีในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นเพลงภาษาลาติน และเพลงภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งสมัยนั้น และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบันคือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน
เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่ขึ้นในศตวรรษที่19จากประเทศเยอรมันและประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Might , Holy Night เป็นภาษาไทยว่า “ราตรีสวัสดิ์ ราตรีสงัด หรือ ยามราตรี ศรีหรรษา” ความเป็นมาของเพลงนี้คือ ก่อนวันคริสต์มาสปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ Joseph Mohr เจ้าอาวาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรเลีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสียทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาส หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนชื่อ FramZ Gruber ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองเพลงให้ ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้วัดก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีต้าร์ประกอบการรับร้อง และกลายมาเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก



ต้นคริสต์มาส...ในสมัยโบราณหมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน เป็นเหตุของความบาปคือไม่เชื่อผังพระเจ้า
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าโบสถ์ เพื่อระลึกถึงความหมายวันคริสต์มาและเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉาก แสดงถึงกำเนิดของบาปและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่ายที่สุดในประเทศสมัยนั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้มีมาเป็นเวลาหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่น เหมือนลิเกล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมืองและศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาส
ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆแบบนั้นอี จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานโบสถ์ ที่เขาเคยร่วมสนุกกัน จากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ลและแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงพิธีมหาสนิท ต่อมาวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญอย่างอื่นแทน
แม้ว่าประเพณีการใช้ต้นคริสต์มาสมีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์สมัยนี้ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่ามีความหมายถึงพระเยซู ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิตที่เขียวสดเสมอในทุฤดูกาล ซึ่งหมายถึงนิรันดรภาของพระเยซูคริสต์ และนอกจากนั้นยังหมายถึงความสว่างของพระองค์เสมือนแสงเทียบที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึงความชื่นชมยินดีและความสามัคคีท่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้เป้นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น



เทียนและพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีคริสตชนในประเทศเยอรมันได้เอากิงไม้มาประกอบเป็นพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้นตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลการเตรียมรับการเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่นหนึ่งสวดภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำอย่างนี้ทุกอาทิตย์จะครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริมต์มาส ประเพณีนี้ได้ความนิยมแพร่หลายโดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งต่อมาได้เอาไวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่มไปแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วยให้คนที่ผ่านไปมาได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่กำลังใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญญาลักษณ์ที่คนสมัยโบราณใช้เพื่อบิงบอกถึงชันชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในดลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการของพระเจ้า



ซานตาครอส
เป็นจุดเด่นหรือสัญญาลักษณ์ที่เด็กและผ็ใหญ่นิยมกันมากที่สุดในเทศกาลคริสต์มาส แต่ในความเป็นจริงซานตาครอสแทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทศกาลนี้เลย ซื่อซานตาครอสมาจากนักบุญนิโคลาส ชาวฮอลแลนด์ เป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของเด็กๆ นักบุญนิโคลาสเป็นสังฆราชของไมรา มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 4 เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐอเมริกา ยังรักษาประเพณีนี้ไว้ คือฉลองนักบุญนิโคลาสในวันที่ 25 นวาคม นักบุญคนนี้จะมาเยี่ยมเยี่ยนเด็กและจะเอาของขวัญมาแจกเด็กๆที่ไม่ใช่ลุกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ทำให้คนอยากมีส่วนร่วมในประเพณีนี้บ้าง ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในประเทศอเมริกา โดยมีการเปลียนแปลงบองอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลาสเป็นซานต้าครอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนใส่สชุดสีแดงอาศัยที่ขั่วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยียมเด็กๆทุกคนในโลกนี้ในวันเทศกาลคริสต์มาส โดยจะมาทางปล่องไฟ เพื่อเอาของขวัญมาให้แก่เด็กๆเหล่านั้นตามการประพฤติของเขา
ลักษณะภายนอกของซานตาครอสที่ถูกสมติขึ้นนี้เหมือนกับจะลอกเลียนแบบมาจาก Thor ซึ่งเป็นเทพเจ้าในนิยายโบราณของฌยอรมัน และลอกเลียนแบบนักบุญนิโคลาส ที่นำของขวัญมาแจกเด็กๆ อันที่จริงแซนตาครอสเป็นรูปแบบที่น่ารักดี เหมาะที่จะเป้นนิยายให้กับเด็กๆ แต่อาจจะทใคนทั่วไปหันมาสันในในความสำคัญกัยตัวนิยายนี้ แทนการบังเกิดของพระเยซู ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของเทศกาลคริสต์มาสนี้




 

Create Date : 16 ธันวาคม 2551
0 comments
Last Update : 16 ธันวาคม 2551 11:09:07 น.
Counter : 7169 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 

To Life
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เราอยากให้บล็อกนี้มีประโยชน์กับทุกคน..

และถ้าใครคิดเหมือนเรา ช่วยบอกต่อเพื่อนๆให้มาอ่านด้วยนะ

ถ้ามีอะไรอยากแนะนำเป็นพิเศษ ส่งเมล์มาที่เราได้ jj1-creative@hotmail.com
เรายินดีน้อมรับทุกกรณีเลย..
[Add To Life's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com