Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
14 กรกฏาคม 2548
 
All Blogs
 
นิรันดร์แห่งรัก



...สามทุ่ม...

ฉันก้มมองนาฬิกาข้อมือ
‘สามทุ่มแล้วหรือนี่’

ตามปกติเวลานี้ฉันควรจะอยู่บ้านกับครอบครัว แต่วันนี้ฉันกลับอยู่ที่นี่ เมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาหลังจากเลิกงาน แทนที่ฉันจะขับรถกลับบ้านไปรับประทานอาหารและพักผ่อนกับครอบครัวตามปกติ อะไรบางอย่างที่รบกวนใจฉันมาตลอดสัปดาห์กลับพาฉันมาที่นี่

มันเป็นร้านอาหารริมน้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคนไม่มากนัก ลมแม่น้ำพัดแผ่วเย็นสดชื่น และความเงียบสงบของสถานที่ทำให้ฉันนั่งเพลินจนลืมเวลา หากก็ไม่สามารถบรรเทาความขัดข้องในใจฉันให้เบาบางลงได้เลย

‘เฮ้อ...คงต้องกลับบ้านซะที’
ฉันพูดกับตัวเองในใจ และถอนใจออกมาเบาๆ

“ดาวสวยนะครับ”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเบาๆ ทำให้ฉันเพิ่งรู้ว่ามีคนครอบครองโต๊ะถัดไป ซึ่งไม่ห่างกันนัก แต่ที่ฉันไม่เห็นก่อนหน้านี้คงเป็นเพราะว่าฉันไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสังเกตอะไรทั้งสิ้น

“นานๆ จะได้เห็นดาวสวยๆแบบนี้ซักที”
คำพูดนั้นราวรำพึงกับตนเอง แต่ดังพอที่จะทำให้ฉันซึ่งนั่งโต๊ะข้างๆ ได้ยิน

ตอนแรกฉันไม่คิดจะหันไป แต่อะไรบางอย่างในน้ำเสียงนั้นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปมองเจ้าของเสียง

เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง ท่าทางภูมิฐาน แต่สิ่งที่สะดุดใจฉันที่สุดคือนัยน์ตาคมที่เหมือนจะถ่ายทอดอะไรๆ มากมาย และริมฝีปากที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ

เขาไม่ได้มองมาที่ฉัน หากจับจ้องดวงดาวนับพันที่แข่งกันทอประกายระยิบแพรวพราวเกลื่อนท้องฟ้า

ฉันละสายตาจากเขาแหงนขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง ความเงียบเข้าครอบคลุมอีกครั้ง ก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“คนรักของฉัน เพิ่งขอฉันแต่งงาน”

แปลกเหลือเกินที่ฉันพูดเรื่องนี้ขึ้นมากับคนแปลกหน้า แต่ในสถานการณ์นี้คนแปลกหน้าอาจเป็นผู้รับฟังที่ดีที่สุด และท่าทางของเขาทำให้ฉันรู้สึกอยากพูด อยากระบายความอึดอัดในใจให้เขาฟัง

คู่สนทนาจำเป็นของฉันหันมา ใบหน้าเขาไม่แสดงความแปลกใจเลยแม้แต่น้อยในสิ่งที่ฉันพูด อาการเงียบของเขาทำให้ความในใจฉันพรั่งพรูออกมา
“ฉันไม่รู้สิคะ ไม่เข้าใจตัวเองเลย ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนดี มีพร้อมทุกอย่าง เราเข้ากันได้ดี ที่สำคัญฉันรักเขามาก และรู้ด้วยว่าเขาก็รักฉันไม่น้อยกว่าเลย เราคบกันมาเกือบห้าปี ตลอดเวลาที่คบกันเขาสร้างความมั่นใจให้ฉันว่าคนคนนี้แหละที่ฉันจะเลือก ที่ฉันจะร่วมชีวิตด้วย แต่...”

ฉันถอนใจยาวก่อนจะเอ่ยต่อว่า
“แต่พอถึงเวลาจริงๆ ฉันกลับ...กลับรู้สึกลำบากใจที่จะตอบรับ ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไง ไม่รู้จริงๆ”

เขายังคงเงียบ เหมือนจะปล่อยให้ฉันได้สงบจิตใจ

“ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง”
เขาพูดขึ้นเบาๆ และหันกลับไปเงยหน้าชมความงามของท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้ง




"เมื่อสองปีก่อน ป่าน...เธอคนนั้นของผม เอ่ยปากถึงเรื่องการแต่งงานของเรา ผมรักเธอ และเธอก็รักผม เวลาของเราจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน เพียงแต่ในเวลานั้นผมยังไม่รู้สึกว่าใช่ ผมบ่ายเบี่ยงทุกครั้งที่เธอพูดถึงเรื่องนี้ จนทำให้เธอโกรธ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจขอเธอแต่งงาน แม้ว่าใจจริงอยากจะยืดเวลาออกไปอีกหน่อย เธอดีใจมาก...มากกว่าที่ผมคิด

เวลาผ่านไป ชีวิตหลังแต่งงานของเรามีความสุขมากมาย นอกจากนั้นการงานของผมก็ก้าวหน้าไปได้อย่างดี ผมเพลิดเพลินกับการทำงาน เพื่อนฝูง และช่วงเวลาที่แสนดีกับเธอ จนลืมที่จะมองความทุกข์เบื้องหลังใบหน้าแย้มยิ้มนั้น

กระทั่งวันนึงที่ผมพบร่างของเธอแน่นิ่งอยู่บนพื้นห้อง ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาเกาะกุมหัวใจผม อะไรสักอย่างกำลังเตือนผมึงความสูญเสีย และผมก็เพิ่งรับรู้มัน เมื่อได้รับฟังคำวินิจฉัยโรคจากแพทย์ประจำตัวของเธอ

'มะเร็งในสมอง'

แสงสว่างทั้งมวลเหมือนจะดับวูบลงทันที หัวใจผมราวกับจะเจ็บปวดไปกับอาการป่วยของเธอด้วย
เธอเป็นมะเร็งขั้นที่สี่ เธอรู้มาหกเดือนแล้ว รู้ก่อนที่จะเอ่ยถึงเรื่องแต่งงาน และเธอปฏิเสธที่จะผ่าตัด ด้วยเหตุผลที่ว่าความเป็นไปได้ที่จะรอดนั้นมีน้อยเหลือเกิน แพทย์บอกว่าเธอมีเวลาเหลือไม่มากนัก

ผมเสียใจมากที่สุดในชีวิต และยิ่งเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าเธอยอมทนทรมานโดยไม่บอกผมเพราะ...

‘ป่านไม่อยากเห็นคุณเสียใจ ป่านอยากอยู่กับคุณ อยากดูแลคุณ ได้ทำให้คุณมีความสุข แค่เห็นคุณมีแต่ความสุข ป่านก็มีความสุขแล้ว ป่านถึงคาดคั้นคุณเรื่องแต่งงาน แต่ป่านจงใจมองข้ามความจริงที่ว่าคุณจะทุกข์แค่ไหนเมื่อป่านจากไปแล้ว ป่านเห็นแก่ตัวเหลือเกินใช่มั้ยคะ ป่านขอโทษ...ขอโทษ’

เธอพร่ำขอโทษกับความผิดที่เธอไม่ได้ก่อแม้แต่น้อย ผมเองต่างหาก...ผมเอง หากเพียงผมมองสักนิด ผมควรจะรู้ เธอทำทุกอย่างเพื่อผม ผมเพิ่งตระหนักถึงคำที่ว่า ความรักคือการที่ได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข ถึงเวลาแล้วที่ผมจะทำเพื่อเธอบ้าง แม้ว่าเราจะเหลือเวลาอีกไม่นาน แต่เราจะทำให้เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต

เธอมักถามผมว่า ผมเสียใจบ้างมั้ยที่แต่งงานกับเธอ...เธอที่เหลือเวลาน้อยเหลือเกิน

คำตอบคือ 'ไม่' ผมไม่เคยเสียใจ แค่เพียงเราต่างรู้ว่าเรารักกัน จะเหลือเวลาแค่ไหนก็ไม่สำคัญ ขอแต่เราได้อยู่เคียงข้างกัน แต่งเติมความสุขให้กันและกัน เท่านั้นเวลาของเราก็จะเป็นนิรันดร์

จนถึงวันนี้ เธอจากผมไปหนึ่งปีแล้ว ผมอยู่ข้างเธอจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต เธอบอกว่าเธอจะจากไปอย่างมีความสุข และเฝ้ารอผมอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งของขอบฟ้านี้”




หยดน้ำอุ่นๆรินไหลจากขอบตาฉันไม่ขาดสาย เขาหันมายิ้มน้อยๆให้ฉันที่มองเขาตาค้าง นัยน์ตาเขาแฝงแววเศร้าลึก หากดูเข้มแข็งมั่นคงยิ่ง

“ฉัน..ฉันเสียใจด้วยค่ะ”
ฉันที่เพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ กล่าวออกไปอย่างกระท่อนกระแท่นปนเสียงสะอื้นที่ระงับไม่อยู่

“ผมหวังว่าเรื่องของผมจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น”
ประโยคนี้ทำให้ฉันนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ

“ค่ะ ฉันตัดสินใจได้แล้ว”

เขาลุกขึ้นช้าๆ ก้มศีรษะให้ฉันเล็กน้อยและเอ่ยว่า
“ยินดีด้วยนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ”

เขายิ้มอีกครั้ง

“ดาวที่มีคนของหัวใจนั่งดูเคียงข้าง สวยกว่าดาวที่ดูคนเดียวนะครับ”
เป็นประโยคสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก่อนที่เขาจะหันหลังเดินจากไป

ฉันมองเขาเดินออกจากร้านอาหารจนลับตา ก่อนหันกลับมาเงยหน้ามองฟ้าที่กระจ่างด้วยแสงดาวอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้ม...




ฉันขับรถผ่านรั้วบ้านด้วยความสบายใจ และตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตั้งใจจะทำเมื่อกลับถึงบ้าน

“น้ำ”
เสียงนุ่มที่คุ้นเคยดังขึ้นทันทีที่ฉันก้าวลงจากรถ

ร่างสูงก้าวยาวๆ จากหน้าประตูบ้านตรงมาหาฉันอย่างรีบร้อน เขาคว้ามือฉันไปกุมก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความห่วงใยเต็มเปี่ยม

“น้ำไปไหนมา ผมเป็นห่วงรู้มั้ย โทรมาหาคุณอาท่านบอกว่ายังไม่กลับ นี่ดึกแล้วนะ จะไปไหนมาไหนทำไมไม่บอกกันบ้าง อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ”

ฉันไม่ได้ตอบโต้เขา เพราะมัวแต่ซาบซึ้งถึงความห่วงใยที่เขามีให้ ฉันเงยหน้ามองใบหน้าสะอาดและดวงตาอ่อนโยนของเขาเงียบๆ

“น้ำ หลายวันนี้คุณดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เพราะผมใช่มั้ย ถ้าเพราะเรื่องนั้น ผมขอโทษ ถ้าน้ำยังไม่พร้อม ก็ถือว่าผมไม่ได้พูดนะ ผมไม่อยากทำให้คุณลำบากใจ ผม...”

“พูดอีกครั้งสิคะ”
ฉันพูดขัดขึ้นเบาๆ

"ขอน้ำอีกครั้ง"

เขามองหน้าฉันด้วยความแปลกใจ ก่อนจะส่งสายตาบ่งบอกความรักอันอบอุ่นและจริงจัง พร้อมคำพูดที่แสนจะธรรมดา แต่เป็นคำที่ฉันจะจดจำไปขั่วชีวิต

“แต่งงานกับผมนะครับ”

“ด้วยความยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ”
ฉันตอบด้วยรอยยิ้มที่หวานที่สุด




“น้ำ..น้ำครับ”

“น้ำอยู่ที่ระเบียงค่ะ”

จากวันที่ฉันได้พบผู้ชายนัยน์ตาเศร้า ผู้มีความรักนิรันดร์คนนั้น จนถึงวันนี้ก็หนึ่งปีเต็ม ชีวิตฉันได้สัมผัสความสุข ความทุกข์คละเคล้ากันไป หากหัวใจฉันอบอุ่นเสมอ เพราะมีคนเคียงข้างคอยแบ่งปัน และปลอบโยนด้วยหัวใจ

ฉันเคยกลับไปที่ร้านอาหารแห่งนั้นอีกครั้งด้วยความหวังว่าจะได้พบเขา แต่ก็ไม่เคยได้เจออีกเลย ฉันอยากบอกเขาว่าขอบคุณเหลือเกิน สำหรับเรื่องราวของเขาที่ทำให้ฉันตัดสินใจได้และได้พบความสุขมากมายในวันนี้
‘เห็นที่จะต้องฝากคำขอบคุณไปกับฟากฟ้าและดวงดาวล่ะมั้ง’

“ทำอะไรอยู่ครับ”
เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้ตัว พร้อมอ้อมแขนอ่อนโยนโอบรอบเอว

“ดูดาวค่ะ”

“ว้า...ดูคนเดียว ไม่โรแมนติกเลยน้า”

“เคยมีคนบอกว่า ดาวที่ดูกับคนของหัวใจ สวยกว่าดาวที่ดูคนเดียว”

อ้อมแขนอบอุ่นกระชับแน่นขึ้น ตามด้วยเสียงกระซิบหวานแผ่วข้างหู
“แล้วจริงมั้ยครับ”

“จริงที่สุดค่ะ”


...แด่เธอคนไกล..
เหงาใช่ไหมเวลานี้
เงยหน้าขึ้นสิคนดี
ฉันมีอะไรมาให้เธอ...

...อ้อมกอดอบอุ่นจากฟากฟ้า
จูบซับน้ำตาจากดวงดาว
เพลงกล่อมแว่วหวานจากจันทร์พราว
สายลมพลิ้วเบาเฝ้าห่วงใย...

...อยากโศกเศร้าไปเลยนะ
เพราะฉันจะคอยอยู่เคียงใกล้
แค่เพียงเรือนกายที่ห่างไกล
ไม่ทำให้หัวใจเราห่างกัน...



======================================


Create Date : 14 กรกฎาคม 2548
Last Update : 14 กรกฎาคม 2548 8:43:40 น. 4 comments
Counter : 488 Pageviews.

 
ด้วยงานอดิเรกที่รักยิ่งคือการอ่าน ทำให้เคยคิดอยากมีผลงานเป็นของตัวเอง และได้แบ่งปันให้คนอื่นอ่านอยู่บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบอยู่แค่ในจินตนาการของตัวเองคนเดียว

หลังจากได้คุ้นเคยกับโลกไซเบอร์ และได้อ่าน ได้ชื่นชมกับเรื่องราวของหลายๆ คนที่นำมาเผยแพร่ด้วยใจรัก และเพื่อสร้างมิตรภาพ ทำให้อาการอยากเขียนถูกกระตุ้นขึ้นมาเป็นระลอกๆ

ในที่สุด เราก็มีโอกาสได้นำเสนอเรื่องนี้ในบอร์ดแห่งหนึ่ง...เรื่องสั้นเรื่องแรก (ที่เขียนจบ) ในชีวิต

แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนคนหนึ่งที่เล่าให้ฟังถึงชีวิตคู่ของพี่ชายที่ยืนยาวเพียงแค่ 3 เดือน เพราะหลังจากแต่งงาน ฝ่ายหญิงก็ล้มป่วยและจากไปในเวลาอันสั้น

ฟังแล้วก็เศร้าลึกๆ อยู่เป็นวัน (ฮา...ขนาดนั้น) เกิดอาการหมกมุ่นเหมือนทุกครั้งที่ได้อ่าน (ดู/ฟัง) เรื่องราวที่สิ้นสุดด้วยความเศร้า และการลาจาก มันทำให้เราอดไม่ได้ที่จะคิดว่าถ้าตรงนั้นเป็นเรา...เราจะทำอย่างไร จะทนมีชีวิตต่อไปได้หรือ เมื่อใครคนหนึ่งที่เรารักเหลือเกินไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว คงอยู่ก็เพียงรอยจารจำที่บันดาลทั้งความสุขและเศร้าเมื่อได้นึกถึง

ตอนที่นั่งคิดโครงเรื่องในใจ ก็คิดไปน้ำตาซึมไป (เว่อร์) แต่พอเขียนออกมาจริง... แหะๆ ไม่เศร้าอย่างที่คิดแฮะ

สรุปก็คือต้องปรับปรุงฝีมือการเขียนต่อไป ฮา


โดย: tintin (nyx ) วันที่: 14 กรกฎาคม 2548 เวลา:9:04:21 น.  

 
จำได้ว่าอ่านเรื่องนี้ของติ้นเป็นเรื่องแรก (หรือว่าเคลย์ดีหรือเคลย์ไดนะ จำชื่อเรื่องไม่ได้เสียที แต่ไม่ลืมแน่นอนว่าติ้นยังเขียนไม่จบ ฮา) ชอบสำนวนการเขียน แต่มันเศร้า T-T ไม่ถูกกับเรื่องเศร้าๆ เพราะว่าอ่านทีไรอินติดไปนานทุกที ฮา แต่ชอบนะ ^^



โดย: เด็กทะเล (ลิปิการ์ ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2548 เวลา:10:03:45 น.  

 
อ่านเรื่องนี้แล้วน้ำตานองหน้าค่ะ มักจะคิดไม่ออก สมองไม่ทำงาน ต่อมน้ำตาทำงานอย่างเดียว เวลาเจอเรื่องของคนที่รักกันมากๆ แล้วต้องจากกันค่ะ

ทนไม่ได้อ่ะ


โดย: เนตรนภัส วันที่: 23 สิงหาคม 2548 เวลา:8:37:21 น.  

 


แวะมาเยี่ยมหลังสอบมิดเทอมเสร็จค่ะพี่ติ้น


โดย: ปลากัด (LonelySeason ) วันที่: 13 มกราคม 2549 เวลา:22:39:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nyx
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add nyx's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.