อยู่ที่คน
12 ก.ค. 2550
วันนี้ผมขอเล่าประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ให้ฟังครับ เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ในสังคมที่บ้านเรามักจะแก้ไขกันที่ปลายเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ด้วยวิธีการออก กฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับ หยุมหยิมเพื่อมาปิดช่องโหว่ตรงโน้นตรงนี้ แทนที่จะไปแก้กันที่ต้นเหตุก็คือ คน ที่พยายามหลบเลี่ยงกฎระเบียบเหล่านั้น
เข้าใจว่าการแก้ที่คนนั้นแก้ยากและเห็นผลช้า ส่วนการแก้ที่ปลายเหตุนั้นง่ายและมองเห็นผลได้ชัดเจน แต่อย่างไรเสีย การแก้ที่คนก็เป็นวิธีที่ได้ผลอย่างยั่งยืนมากกว่า ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานสักแค่ไหนก็ต้องทำ ควบคู่ไปกับการแก้ที่ปลายเหตุ
ผมเคยไปเรียนปริญญาโทอยู่ที่สหรัฐอเมริกาประมาณสองปี ด้วยความที่นิยมชมชอบการดื่มสุรา ผมก็มักจะได้ไปเยี่ยมชมตามผับและร้านขายเหล้าอยู่เป็นประจำ เวลาที่จะเข้าผับทุกครั้ง ชายร่างกำยำที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก็จะต้องเรียกดูบัตรประจำตัวทุกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าอายุเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือถ้าไปซื้อเหล้าตามร้านขายเหล้า เขาก็จะต้องขอดูบัตรเพื่อตรวจสอบอายุทุกครั้งก่อนที่จะขายให้
ร้านขายเหล้าที่ผมไปซื้อเป็นประจำ เฉลี่ยแล้วสัปดาห์ละครั้งเป็นอย่างน้อย อยู่ห่างจาก อพาร์ตเม้นท์ที่ผมพักแค่สองช่วงถนน ทุกครั้งที่ผมไปซื้อเบียร์หรือเหล้าที่ร้านนี้ เจ๊เจ้าของร้าน (ไม่แน่ใจว่าเป็นคนจีนหรือคนเกาหลี) ก็จะต้องเรียกดูบัตรประจำตัวผมเพื่อตรวจสอบอายุก่อนคิดเงินทุกครั้งไป ชั่วแต่ว่าเจ๊แกหน้าตาไม่ค่อยรับแขก (ผมถึงไม่กล้าถามว่าแกเป็นคนชาติไหน) ไม่อย่างนั้น ผมก็จะถามแกไปว่าจะตรวจบัตรผมไปหาพระแสงอะไรกันทุกครั้งๆ ก็เห็นหน้ากันอยู่ทุกอาทิตย์ บางอาทิตย์เจอกันถึงสองสามหนก็มี
แต่จะอย่างไรก็ตาม เจ๊แกก็ยังคงทำหน้าที่ของแกอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ร้านขายเหล้าร้านนี้ตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมันเสียด้วย แต่เขาก็ยังอนุญาตให้ขายกันได้ ทั้งนี้ก็เพราะเขามีระบบที่กวดขันกันเป็นชั้นๆ อยู่แล้ว และตัวละครที่เกี่ยวข้องอยู่ในแต่ละส่วนก็รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี คนขายก็ต้องเรียกตรวจบัตรเพื่อตรวจอายุคนซื้อ ส่วนคนซื้อ ถ้าเมาแล้วไปขับรถ หากตำรวจเขาจับได้ ก็ต้องนอนในคุกก่อนอย่างน้อยหนึ่งคืนโดยไม่มีข้อแม้ พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากัน และหากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในระหว่างที่เมาแล้วขับด้วยก็ยิ่งแล้วใหญ่ รอได้เลยว่าจะโดนโทษหนักๆ อะไรเพิ่มขึ้นอีก
ครั้งหนึ่ง ผมเคยเจอฝรั่งคนหนึ่งนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ในผับ เขาดื่มไปก็คุยกับบาร์เทนเดอร์ไปอย่างสนุกสนานเฮฮา
เขาเริ่มเมาได้ที่แล้วล่ะครับ
ต่อมาไม่นานนัก บาร์เทนเดอร์ก็บอกเขาว่า แก้วนี้เป็นแก้วสุดท้ายแล้วนะ เดี๋ยวจะเรียกรถแท็กซี่ให้มารับไปส่งที่บ้าน ส่วนรถที่ขับมาก็จอดทิ้งไว้ที่นี่แหละ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา เขาก็ตอบตกลงอย่างว่าง่าย จังหวะนี้เองที่เขาหันมาเห็นกะเหรี่ยงอย่างผมซึ่งกำลังยืนสั่งเบียร์อีกเหยือกหนึ่งเพื่อเอากลับไปกินกับเพื่อนที่โต๊ะ เขาชวนผมคุย แถมยังสั่งเตกิล่าเลี้ยงผมอีกหนึ่งช็อตด้วย
ผมเองไม่เคยปฏิเสธความหวังดีจากใครเสียด้วยสิ ก็เลยรับความหวังดีจากเขามา ผมยืนคุยกับเขาอยู่สักพักหนึ่ง ชายร่างกำยำที่ทำหน้าที่เป็นยักษ์เฝ้าทวารก็เดินมาบอกว่ารถแท็กซี่มาแล้ว เขาก็ล่ำลาบาร์เทนเดอร์กับกะเหรี่ยงหลงทาง (ผม) แล้วก็เดินโซเซออกไปขึ้นรถแท็กซี่กับชายร่างกำยำผู้นั้นอย่างอารมณ์ดีและไม่มีอาการขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น
บาร์เทนเดอร์บอกกับผมหลังจากนั้นว่าเป็นหน้าที่ของผับที่จะต้องดูแลลูกค้า ไม่ปล่อยให้ไปเมาแล้วขับ เพราะอาจเกิดอันตรายต่อลูกค้าเองและคนอื่นๆ บนท้องถนน และหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นจริงแล้วมีการพิสูจน์ได้ว่าผับไม่ดูแลลูกค้า ผับเองก็จะแย่ไปด้วย
จะเป็นด้วยเขากลัวว่าผับที่เขาทำงานจะต้องเดือดร้อน หรือเขาใส่ใจลูกค้าของเขาจริงๆ ก็ตามแต่ แต่เขาก็ได้ทำหน้าที่ในส่วนของเขาอย่างสมบูรณ์
กฎระเบียบที่มีอยู่ในสังคมบ้านเขากับบ้านเรานั้นคงจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ คน ที่มีบทบาทอยู่ในแต่ละส่วนของกฎระเบียบเหล่านั้นว่าจะรู้จัก หน้าที่และความรับผิดชอบ ในส่วนของตนเองมากน้อยแค่ไหน
ที่เล่าให้ฟังนี้เป็นแค่มุมเล็กๆ มุมหนึ่งของกฎระเบียบเรื่องสุราเมรัยเรื่องเดียวเท่านั้น ลองขยายความคิดให้กว้างไปถึงเรื่องอื่นๆ ดูไหมครับ
...แทนที่จะห้ามโฆษณาเหล้าทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆ อย่างเด็ดขาด ลองหาทางสอนให้ผู้คนรู้จักโทษของการดื่มสุราดูไหมครับ ทั้งโทษต่อร่างกายและต่อสังคมที่อาจเดือดร้อนจากปัญหาเมาแล้วขับหรือเมาแล้วอาละวาด หากรู้ถึงโทษแล้วยังอยากจะดื่ม ก็ให้เขาตายไปด้วยโรคต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง หรือถูกจับถูกปรับอย่างเด็ดขาดถ้าไปก่อความเดือดร้อนเข้า เงินทองที่จะได้จากผู้ผลิตเหล้าเพื่อมาสนับสนุนเรื่องการกีฬาและการท่องเที่ยวก็จะได้ไม่หายไปไหนด้วย...
...แทนที่จะแก้ไขระเบียบการสอบเอ็นทรานส์กันทุกปีๆ เพราะเหตุว่าไม่อยากให้เด็กเครียดกับการสอบหรือต้องพบกับความผิดหวัง ลองหาทางสอนให้เด็กรู้จักรับผิดชอบในการเรียนหนังสือซึ่งเป็นหน้าที่หลักของตัวเองเพื่ออนาคตที่ดีในภายภาคหน้า และฝึกให้เด็กได้พบกับความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตบ้างน่าจะดีกว่าหรือไม่...
...แทนที่จะมาคอยเบลอภาพ หรือตัดฉากในโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ที่ (คนบ้องตื้นเพียงไม่กี่คนคิดว่า) ไม่เหมาะสม จนกระทั่งประเทศไทยใกล้จะเป็นโรงเรียนอนุบาลขนาดใหญ่ (อย่างที่คุณเป็นเอกเขาว่า) เข้าไปทุกทีแล้ว ลองหันมาชี้แนะให้คนดูรู้จักแยกแยะสิ่งที่ควรหรือไม่ควรด้วยตัวเองจะดีกว่าหรือไม่ อรรถรสในการชมของคนที่มีวุฒิภาวะพอ (ซึ่งเชื่อว่าคอหนังส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) ก็จะได้ไม่ต้องเสียไป คุณค่าทางศิลปะที่ผู้สร้างเขามีความเชื่อมั่นต่องานของเขาก็จะได้คงอยู่ ถ้างานของเขาไม่ดีจริงหรือเป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม เดี๋ยวเขาก็จะต้องเจ๊งไปเองเพราะผู้คนไม่ยอมรับ...
...แทนที่จะรื้อรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 ทั้งฉบับ เพราะคนเพียงไม่กี่คนพยายามหลบเลี่ยงตามช่องว่างเพื่อหาประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ลองแก้ไขเฉพาะบางมาตราให้รัดกุมขึ้นจะดีกว่าหรือไม่ แล้วหันมากำจัดคนที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงให้เด็ดขาด ทั้งโดยทางกฎหมาย และโดยมาตรการทางสังคม ซึ่งหมายถึงประชาชนที่เลือกคนขี้ฉ้อเข้ามาจะต้องรู้จักหลาบจำและไม่เลือกเอาคนเหล่านั้นเข้ามาอีก...
การแก้ไขหรือพัฒนาคนนั้นทำได้โดยการ ให้ความรู้ และการมี ตัวอย่างที่ดี ในสังคม ดังนั้น หน้าที่นี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่ที่ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง และครูบาอาจารย์เท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ นักจัดรายการวิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ภาพยนตร์ ละคร ป้ายโฆษณาริมทางด่วน คนขายข้าวแกง ตำรวจ ทหาร นักการเมือง คนเก็บขยะ รัฐบาล สสร. คตส. คมช. ฯลฯ ด้วย ทุกคนสามารถให้ความรู้และเป็นตัวอย่างให้แก่กันและกันทั้งหมด
เพราะฉะนั้น การแก้ไขปัญหาซึ่งเกือบทุกปัญหานั้นเกิดขึ้นจากคน ก็ต้องแก้ที่คนนี่แหละครับ สำคัญที่ว่าคนเราจะยอมแก้ไขตัวเองกันมากน้อยแค่ไหน
ป.ล. 1 คืนนี้ (ขณะที่เขียน) ผมอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเมื่อตอนเย็น ทีมชาติไทยเอาชนะทีมชาติโอมานได้อย่างสวยงาม 2-0 ถ้านัดสุดท้ายที่จะต้องเจอกับทีมชาติออสเตรเลียยังเล่นกันได้ดีเหมือนอย่างสองนัดที่ผ่านมา ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญไปกว่าได้เห็นนักเตะไทยสู้อย่างสุดฝีมือแล้ว ที่จริงจะว่าไปแล้ว ผมมีความหวังอยู่ลึกๆ ว่าเราจะเฉือนเอาชนะออสเตรเลียได้เสียด้วยซ้ำไป ผลน่าจะออกมาเป็นทีมชาติไทยชนะได้ 2-1
ว่าเข้าไปนั่น...
แต่ถ้าไม่หวังผลเลิศ เราจะได้ผลเลิศได้อย่างไร จริงไหมครับ...
ป.ล. 2 เพิ่งได้เข้าไปอ่าน นสพ.เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ที่ 13 ก.ค. 2550 คอลัมน์ "กระจกบานเล็กของแมงเม่า" ก่อนที่นำบล็อกนี้มาลง เขาพูดถึงเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า "Alcoholock" ใช้ติดตั้งกับรถยนต์ ผู้ขับจะต้องเป่าลมหายใจเข้ากับเครื่องนี้ก่อน ถ้าระดับแอลกอฮอล์ต่ำกว่าเกณฑ์จึงจะสตาร์ทรถติด ประเทศสวีเดนต้นคิดได้ติดตั้งเครื่องมือนี้กับรถสาธารณะไปแล้วกว่า 6,000 คัน น่าสนใจนะครับ ถึงจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุอย่างหนึ่ง แต่การแก้ที่ปลายเหตุก็ต้องทำควบคู่ไปกับการแก้ที่ต้นเหตุล่ะครับ การแก้ที่ปลายเหตุก็ถือเป็นมาตรการระยะสั้นไป ส่วนการแก้ที่ต้นเหตุก็ถือเป็นมาตรการระยะยาวไป
ด้านล่างนี้คัดจากคอลัมน์มาบางส่วน ฉบับเต็มเข้าไปติดตามอ่านกันได้ที่นี่ครับ
//www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Columnid=42557&NewsType=2&Template=1
...ต้องยอมรับเมาแล้วขับเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลกจึงมีผู้พยายามป้องกันแก้ไขทั้งการตรากฎหมาย และหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสกัดเมาแล้วขับ อย่างที่นำเสนอใน รีดเดอร์ส ไดเจสท์ เล่มล่าสุดเขามีเครื่องล็อกแอลกอฮอล์หรือ Alcholock โดยสวีเดนเป็นต้นคิด เป็นเครื่องมือติดตั้งในรถที่ผู้ขับรถจะต้องเป่าลมหายใจเข้าไปในเครื่องก่อนสตาร์ตรถ ถ้าแอลกอฮอล์สูงเกินพิกัดรถก็สตาร์ตไม่ติด ไปซิ่งอาละวาดบนถนนไม่ได้ โดยเครื่องมีระบบที่รัดกุมป้องกันไม่ให้ตัวผู้ขับขี่เองหรือสมคบกับผู้อื่นหลอกเครื่องได้ หลายประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี นอร์เวย์ สเปน ลองใช้เครื่องแอลกอล็อกกับรถบรรทุก,รถโดยสารแล้ว ขณะที่สวีเดนต้นตำรับติดตั้งกับรถสาธารณะไปแล้ว กว่า 6,000 คัน น่ายินดีก็คือบริษัทรถยนต์ชั้นนำอย่างวอลโว่ ซาบ และโตโยต้าเสนอให้เครื่องล็อกแอลกอฮอล์เป็นอุปกรณ์เสริมในรถบรรทุกรุ่นใหม่ อันนี้เป็นการบ้านที่หน่วยงานด้านถนนปลอดภัยในบ้านเราสมควรนำไปพิจารณา ออกมาใหม่ๆ เครื่องยังราคาสูงอยู่คือราว 60,000 บาทแต่ต่อไปเมื่อความต้องการสูงขึ้นก็อาจเหลือแค่ 15,000 บาท ถึงเวลานั้นน่าสนใจแล้วล่ะ ระหว่างรอเครื่อง ก็อาศัยบริการกฎหมายกับตำรวจไปพลาง.
Create Date : 13 กรกฎาคม 2550 |
|
19 comments |
Last Update : 13 กรกฎาคม 2550 10:33:13 น. |
Counter : 1629 Pageviews. |
|
|
|
สำหรับจุ ปัจจุบันนี้ จุลดสุราลงแล้ว เบียร์ก็ลดลงแล้ว ก่อนหน้านี้ เวลาเข้าสถานบันเทิงมีตรวจบัตร รู้สึกดีใจ หน้าฉันเด็ก แต่เพื่อนบอกว่า เขากลัวแก อายุเกินต่างหาก
ทุกวันนี้ ถามว่า ยังชอบที่จะกินเหล่ากับเบียร์อยู่มั้ย
จุว่า มันอยู่ที่กลุ่มเพื่อน ให้จุนั่งกินคนเดียวก็ไม่ไหว
จุชอบบรรยากาศในวงเหล้านะ แต่ก่อนมีเพื่อนเยอะ มาช่วงเรียนตอนนี้ เพื่อนนิสัยดี ไม่ชวนจุ มันบอกว่า ไม่อยากขัดขวางความเจริญของจุ แต่จริงๆ แล้ว เป็นจุเองที่มักปฏิเสธเพื่อน
บอกตรงๆ ช่วงนี้ จนค่ะ