๏ เรียมเลิศล้ำเฉิดโฉม............งามดุจโสมล่วงดวงดาว
ระยับพร่างวับวาว...................สุกสกาว ณ นภา
ไร้หมองช่างผ่องแผ้ว.............มลทินแคล้วปราศเมฆา-
บดบังบิดเบือนรา-...................ศรีสง่าฉวีวรรณ ฯ
๏ งามเนื้ออันเรื่อแล้................อาภรณ์แม่แลรังสรรค์
สีดำล้ำเลอพลัน........................ผิวนวลนั้นสะอ้านองค์
เข้มคมสมเนื้อสาว...................สคราญราวน่าเริงหลง
นัยนาแม่นวลอนงค์................เรื่อเรืองตรงแพรผืนดำ ฯ
๏ เพี้ยงราตรีวันเพ็ญ...............ยังจิตเห็นดุจครอบงำ
คำนึงตรึงตราย้ำ......................ให้เพ้อพร่ำพิร่ำปอง
โอ้งามเกินความเปรียบ...........หาใครเทียบนวลละออง
ปราศสิ่งอันหมางหมอง.........พิสุทธิ์ผองล้ำโลกสาม ฯ
๏ อรชรแม่อ้อนแอ้น.............นกนางแอ่นยังอายงาม
เลื่อมรับกับแสงวาม-.............วับข่มข้ามอาภรณ์พรรณ
เปรียบปีกประกายเกิน..........คราวดำเนินเพลินจำนรร
พร่างแพร้วแน่วเฉิดฉันท์......เกษมสันต์ครั้นเมียงมอง ฯ
๏ คราวที่ราศีหาย...................สองเนตรฉายประกายกรอง
พลันแจ้งกลบกลืนผอง........ที่ลางรองให้เรื่อเรือง
ฉัพพรรณรังสี........................ยอนวลที่งดงามเนือง
นุชน้องต้องชำเลือง.............ดุจฝันเฟื่องใฝ่เคียงครัน ฯ
๏ เลื่อมพรายหมายครองที่......โปรดปราณีนะมิ่งขวัญ
พริ้มพักตร์เพี้ยงเพ็ญจันทร์.....วิลาวัลย์ตรีชฎา
งามนี้เปรียบกาพย์เปรย...........แล้วลงเอยเผยพจนา
เสกสรรค์วรรณกรรมว่า..........เทพธิดาฤๅเทียบเทียม ฯ
๏ สองแก้มแย้มเนื้อนวล........จิตปั่นป่วนเกินจำเนียม *
อกหวามในงามเรียม.............แม่เสงี่ยมสงวนที
ท่วงถ้อยคำมธุรส...................มากปรากฏแสนสุนทรี
ลักขณายามแย้มมี..................ตรึงใจพี่ให้เพ้อหมาย ฯ
๏ เช่นน้ำอันฉ่ำเย็น..............ใสกระเซ็นเห็นพร่างพราย
ไหลเรื่อยเอื่อยชลสาย..........ประดุจคล้ายทิพย์ชโลธร
ซาบจิตซ่านใจแท้................คลายล้าแม้มองบังอร
อ่อนโหยโรยแรงร้อน.........ก็บั่นทอนกลับกลายไป ฯ
๏ รื่นเริงบันเทิงยิ่ง................เพลินเพริศพริ้งแม่ยวนใจ
ซาบซึ้งตรึงทรวงใน............ให้หลงใหลตราบวายปราณ
แม้นสิ้นพิภพหล้า................จักปรารถนาเคียงนงคราญ
เชยชมภิรมย์นาน..................นิรันดร์กาลมั่นตรีชฎา ๚ะ๛