ตำนานวันสงกรานต์
๑.
..๏ เพรงกาลอันล่วงแล้ว...........คณาวิสัย
นานเนิ่นเกินกัปป์ขัย.................ผ่านพ้น
เศรษฐีหนึ่งมากใน....................สมบัติ
เคหะสถานล้น...........................เลิศล้ำศฤงคาร ๚

๒.
..๏ ทรัพย์มากหากปราศผู้.........สืบสกุล
เมียหนึ่งพอเจือจุน....................เจตน์อ้าง
ครองเรือนต่างสนับสนุน............เป็นสุข- ยิ่งนา
ตราบเฒ่าเนาแนบข้าง...............คู่คล้องครองเกษม ๚

๓.
..๏ เรือนชานตระหง่านใกล้.....โรงสุ- ราแฮ
หากนักเลงเหล้าอุ*..................หนึ่งนั้น
มีบุตรสุดสวาทสุ-.....................วรรณเทียบ
ผุดผ่องงดงามครั้น...................เพ่งแล้วเพลินเหลือ ๚

๔.
..๏ ณ อรุณรุ่งหนึ่งเจ้า.............คนเมา
เดินง่วนชวนหยักเหยา.............เพื่อนบ้าน
ผรุสวาททักทายเขา.................สุดหยาบ- คายนา
ดูหมิ่นดุจจิตด้าน......................ห่างด้วยคุณธรรม ๚

๕.
..๏ เศรษฐีมิขุ่นข้อง.................เคืองใจ
หากแต่คิดฉงนใน...................เรื่องย้ำ
เพียงเหตุเนื่องความใด...........จึงด่า เรานอ
ขอท่านอย่าเกินก้ำ..................เหตุแท้พึงขยาย ๚

๖.
..๏ คนเมาคราวกล่าวด้วย.......ขำขัน
อันท่านสินทรัพย์อนันต์..........พรั่งพร้อม
เรือกสวนไร่นาครัน.................เรือนใหญ่- โตพ่อ
ปราศบุตรธิดาล้อม.................จักสิ้นวงศ์สกุล ๚

๗.
..๏ กงการงานด้วยท่าน-.........เชียวฤๅ
ไร้ลูกสุขนั้นคือ........................มากพ้น
มากบุตรสุดชำงือ*.................จิตขุ่น- เคืองนา
โภคทรัพย์ดุจโจรปล้น............เปรียบได้ดังกัน๚

๘.
..๏ ทุกข์มากหากไร้ลูก...........หลานเหลน
คราวเฒ่าจักชัดเจน................ส่อเค้า
กายปวดเมื่อยอีกเคน*............โรคเบียด- เบียนแฮ
ใครเล่าจักหยอกเย้า...............นวดเฟ้นเยียวยา ๚

๙.
..๏ คราชีพดับด่าวสิ้น..............ลมปราณ
สินทรัพยลับอันตรธาน............เสื่อมด้วย
นาสวนไร่เรือนชาน..................ตกแก่- ใครฤๅ
ทนทุกข์ตราบมอดม้วย............แม่นแท้คำเรา ๚

๑๐.
..๏ กุฏุมพีนิ่งด้วย..................จำนน
ครุ่นคิดจิตสับสน....................รุ่มร้อน
ปรารถน์บุตรสุดสวาทจน........ผอมซีด- เชียวนอ
ตรองตรึกนึกยอกย้อน............สิ่งเร้นเป็นจริง ๚

๑๑.
..๏ คำนึงคำถ้อยแห่ง...............คนหยาม
พินิจพิเคราะห์ความ.................ขุ่นคล้อง
ฤๅกรรมเก่าทัณฑ์ตาม.............สาปส่ง จริงเฮย
สังเวชสังวาสย้อง.....................หากไร้บุตรเคียง ๚

๑๒.
..๏ เหตุไฉนจึ่งไร้ลูก................หนอแม่- เรือนเอย
เหตุก่อนดุจร่างแห...................ห่อหุ้ม
เหตุการณ์ผ่านผันแปร.............เปรียบวิ- บากฤา
เหตุสุดวิสัยคลุ้ม.......................ครั่นคร้ามตามหลอน ๚

๑๓.
..๏ ควรเราควรใฝ่เฝ้า...............บวงสรวง นาแม่
อุทิศอุทัยดวง...........................แจ่มฟ้า
สำรับสำหรับปวง-.....................ทวยเทพ
ประสิทธิ์ประสาทร้า*................รื่นให้สมประสงค์ ๚

๑๔.
..๏ ผันศกศักราชพ้น...............สามวสันต์
ปราศเดชเหตุอัศจรรย์.............เสกให้
มิอาจสมปราถนาอัน................จรุงเจต- นาเฮย
อธิษฐานเทพไท้.....................ไป่ได้ดังหวัง ๚

๑๕.
..๏ ณ กาลวันหนึ่งนั้น..............รวิวาร
นักขัตฤกษ์พิธาน.....................เก่าย้อน
ราศีเมษแห่งกาล-....................จิตตมาส
ทวยราษฏร์ต่างรำฟ้อน............รื่นร้องสนุกสนาน ๚

๑๖.
..๏ เศรษฐีมีจิตพ้อง..................ภรรยา
คราวเมื่อมหาชนพา..................ลูกน้อย
เที่ยวชมมหรสพหนา................หมองหม่น ยิ่งเฮย
สังเวชพลันเศร้าสร้อย..............เนื่องด้วยหน่อสกุล ๚

๑๗.
..๏ จึ่งคิดอุทิศไท้.....................เทพสวรรค์
เครื่องเซ่นบูชายัญ...................หลากล้น
บวงสรวงเทพยดาอัน...............มเหสักข์
สถิตย์โคนไทรต้น.....................ฝั่งน้ำภิรมย์สถาน ๚

๑๘.
..๏ มวลหมู่วิหคร้อง..................เริงระงม
แผกเผ่าแปลกพันธ์ขรม............กร่นก้อง
ยักย้ายขวักไขว่ชม...................แฉลบผ่าน
เห็นซึ่งพลีกรรมข้อง-.................มุ่งด้วยบุตรธิดา ๚

๑๙.
..๏ เครื่องเซ่นสรรพสิ่งล้วน......มากมี
ข้าวสุกบริสุทธิ์ดี.......................ยิ่งแท้
ข้าวสารคัดพรรณฉวี.................ผุดผ่อง
หุงจากน้ำนมแล้........................เลิศล้ำหอมหวน ๚

๒๐.
..๏ บรรจงตกแต่งต้น................ไทรงาม- งดเฮย
พิณพาทย์ประโคมความ..........เพราะพริ้ง
แตรสังข์ดั่งประณาม*...............ทวยเทพ
หวังซึ่งบุตรสิงคลิ้ง*.................หล่อเลี้ยงสืบสกุล ๚

๒๑.
..๏ รุกขเทพสถิตย์ต้น...............ไทรตรอง
เห็นซึ่งพลีกรรมของ..................คู่นี้
บังเกิดกรุณาระลอง*.................ดลจิต
จึงเหาะสู่สวรรค์รี้......................เร่งเฝ้ามัฆวาน ๚

๒๒.
..๏ หากแต่องค์เทพไท้.............สรวงสวรรค์
ทิพยอาสน์เป็นอัศจรรย์.............ยิ่งแล้ว
คราวก่อนอ่อนนุ่มพลัน...............เปรียบแผ่น- ศิลาเฮย
ร้อนรุ่มหฤทัยแพ้ว*....................ขุ่นข้องกังขา ๚

๒๓.
..๏ พระอินทร์ทรงเพ่งด้วย-......ทิพยญาณ
ทรงแจ่มแจ้งดังการณ์..............เช่นนั้น
หากเฉยจักมรณานต์................เคลื่อนจาก- สวรรค์นอ
อายุเศรษฐีสั้น........................จักม้วยเสมอตน ๚

๒๔.
..๏ ทรงมีดำรัสด้วย.................เทวบัญ- ชาแฮ
จึงส่งเทพยบุตรอัน.................เลิศหล้า
บุญญฤทธิ์สิทธิ์อนันต์.............เดชเดื่อง
คือเทพธรรมบาลกล้า.............สู่ท้องเศรษฐินี ๚

๒๕.
..๏ นับแต่เสร็จกิจนั้น...............เมียผัว
สพสุขปราศหมองมัว...............หม่นไข้
มินานฝ่ายเมียตัว.....................เกิดคลื่น- ไส้นา
อยากรสเปรี้ยวเปรียบได้.........ดั่งแจ้งแสดงครรภ์ ๚

๒๖.
..๏ เศรษฐีมิจิตพร้อม...............โสมนัส- ยิ่งเอย
สั่งปลูกปราสาทจัด...................เจ็ดชั้น
บริเวณแห่งไทรอุบัติ-...............เลอเทียบ- สวรรค์นา
เป็นเคหสถานหั้น*....................แห่งผู้สืบวงษ์ ๚

๒๗.
..๏ ทศมาสคลาดเคลื่อนคล้อย..กาลสมัย
คลอดบุตรสุดพิไล.....................สง่าล้ำ
ขนานชื่อธรรมบาลไข...............ดังเก่า
อาพาธมิอาจกล้ำ......................สุขด้วยบุญญา- บารมี ๚

๒๘.
..๏ วสันต์กาลผ่านพ้น.................เจ็ดหน
เพียรหมั่นศึกษาจน.....................เก่งกล้า
ศิลปวิทยามนต์...........................สรรพศาสตร์
ไตรเพทวิชาค้า-.........................รอบรู้สรรพเสียง ๚

๒๙.
..๏ คราวเมื่อกาลเก่านั้น..............มหาชน
นบนอบพรหมเบื้องบน................เทพไท้
เพราะท่านบ่งมงคล.....................แสดงแก่- ชนนา
เพียงเหตุฉะนี้ไซร์........................ต่างน้อมบูชา ๚

๓๐.
..๏ กิตติศัพท์แห่งท้าว-................ธรรมบาล
ชนต่างระบือขนาน.......................แซ่ซ้อง
ดุจศาสตราจารย์..........................แห่งศิษย์
แสดงเหตุมงคลพ้อง....................ประจักษ์ผู้สรรเสริญ ๚

๓๑.
..๏ กบิลพรหมท่านท้าว................มหิทธิคุณ
ทราบเรื่องพลันเคืองขุ่น...............จิตร้อน
อิจฉาอีกเอื้อหนุน.........................ประทุษฐจิต
จึงผูกปัญหาซ้อน.........................เล่ห์ร้ายมล้างชนม์ ๚

๓๒.
..๏ ปัญหาดุจหอกง้าว....................ดาบคม
หวังบั่นคอนอนจม-........................เลือดคลุ้ง
เพียงจิตคิดโสมม..........................หมกมุ่น- บาปนา
แก่งแย่งสำแดงฟุ้ง........................ชั่วช้าสามานต์ ๚

๓๓.
..๏ นี่แนะพ่อหนุ่มน้อย...................สุธี
อันท่านปัญญาดี.............................แน่แท้
สรรพวิทยาการมี...........................ปรากฏ- ตนเฮย
อัจฉริยภาพแล้..............................ล่วงล้ำเทพสวรรค์ ๚

๓๔.
..๏ หากเรามีสิ่งเร้น......................ปัญหา
ยังปราศผู้วิสัชนา.........................เนื่องด้วย
ควรนักหากท่านมา.......................คลายโจทย์ ฉงนนอ
ฤาท่านจักมอดม้วย......................เหตุด้อยจนเชาน์ ๚

๓๕.
..๏ ธรรมบาลนั้นใคร่-....................ครวญเห็น- จริงนา
พรหมอาจเจือจิตเป็น....................มุ่งร้าย
จึงถามไถ่ประเด็น.........................ความเงื่อน- งำเฮย
ขอท่านจงผะผ้าย*........................กล่าวข้อปัญหา ๚

๓๖.
..๏ กบิลพรหมเจ้าเล่ห์...................แห่งไตร- ภูมิเฮย
กระหยิ่มยิ้มทันใด..........................แยกเขี้ยว
อันท่านหากจนใน.........................มวลปริศ- นานอ
ขออย่าทำบิดเบี้ยว.......................จักต้องตัดหัว ๚

๓๗.
..๏ นี่แน่ะพ่อหนุ่มน้อย..................หน้ามน
หากท่านคลายความฉงน..............ขุ่นข้อง
เปิดเผยเอ่ยยุบล*.........................ตรงเหตุ
เราจักตัดเศียรพ้อง........................เพื่อให้ยุติธรรม ๚

๓๘.
..๏ หลากเรื่องหลากเล่ห์ร้าย..........หลอกลวง- ไรฤๅ
พรหมเพ่งเพียงผลพวง..................ภัคน์พร้อม
ซอกซัง*สิ่งสิงทรวง.......................ทรามซ่อน
เหี้ยมโหดห่อหุ้มห้อม.....................หัชให้โหยหวน ๚

๓๙.
..๏ ธรรมบาลคิดปลิดเปลื้อง..........ปัญหา
พลันเอ่ยปิยวาจา..........................ตอบด้วย
เราขอผ่อนเพลา...........................ตรองตรึก
จักบั่นคอมอดม้วย........................หากไร้คำเฉลย ๚

๔๐.
..๏ ดีละถ้าเช่นนั้น.........................พึงฟัง
อรุณรุ่งสุริเยศยัง...........................เยี่ยมฟ้า
ราศีที่ชนหวัง.................................สถิตอยู่ ใดฤา
ขอท่านอย่าชักช้า.........................ตอบให้คลายใจ ๚

๔๑.
..๏ สุริยเทพเที่ยงตั้ง-....................ตรงหัว
สิริที่ชมชัว*....................................เนื่องนั้น
สถิตอยู่พอรู้ตัว..............................หรือไม่ นาพ่อ
เปรื่องปราดอาจปิดกั้น...................มอดม้วยมรณา ๚

๔๒.
..๏ สายัณห์หลังเคลื่อนคล้อย........อัสดง
วิหคผกผินตรง...............................เยี่ยมเหย้า
ราศรีที่จำนง...................................สถิตที่- ใดนา
ขอท่านพ่อหนุ่มเหน้า......................อย่าให้คอยนาน ๚

๔๓.
..๏ เราขอเจ็ดชั่วคล้อย...................สุรีย์ฉาย
จักคิดปริศนาคลาย.........................ขุ่นข้อง
หากพลาดจักขอตาย.....................ทูนมอบ - เศียรนา
คำสัตย์เสียงกู่ก้อง..........................เทพฟ้าเป็นพยาน ๚

๔๔.
..๏ จนจิตจนจับไข้...........................คร่ำเคร่ง- เฉลยแฮ
กาลล่วงกาลเลยเกรง......................กลัดกลุ้ม
ย่ำค่ำย่ำคืนเหง*..............................ห่อนสุข
ปราศพิชญ์ปราดเปรื่องคุ้ม...............คลาดแคล้วยมบาล ๚

๔๕.
..๏ ห้าวันกาลเปลี่ยนแล้ว................ยังฉงน
สิริที่ขวายขวน................................หลบเร้น
ธรรมบาลหลีกสับสน.......................มุ่งทุ่ง- นาเฮย
มือก่ายหน้าผากเขม้น-....................จากผู้ปราศรัย ๚

๔๖.
..๏ เอนหลังใต้ต้นเดี่ยว..................ตาลนา
สองเหยี่ยวเมียผัวครา...................หยอกเย้า
เมียนกกล่าววาจา.........................ถามต่อ- ผัวเฮย
วันพรุ่งยามรุ่งเช้า.........................จักได้ภักษา ๚

๔๗.
..๏ มิต้องลอยล่องฟ้า...................ปีกสยาย
เนื่องจากธรรมบาลตาย.................แน่แท้
พรหมฯเฒ่าจักมุ่งหมาย................เข่นฆ่า พ่อเฮย
เพราะมิอาจคิดแก้........................กล่าวข้อปัญหา ๚

๔๘.
..๏ เหตุไฉนมล้างซึ่ง....................เยาวพาน
ปราศจิตเมตตาผสาน...................โหดร้าย
ฤาเป็นเช่นมรณกาล.....................ของพ่อ- หนุ่มนา
พี่ท่านขอจงส้าย*..........................ตอบถ้อยคำเฉลย ๚

๔๙.
..๏ กุมารจักสิ้นชื่อ........................เกียรติขจาย
คอขาดชีวาวาย.............................ดับดิ้น
ล่วงกาลเจ็ดวันปลาย....................กำหนด
ครุ่นคิดปริศนาสิ้น..........................มืดคล้ายหมอกบัง ๚

๕๐.
..๏ ปัญหาข้อหนึ่งนั้น..................จักเฉลย
ยามรุ่งราศีเผย............................ที่หน้า
ตื่นเช้าอย่าละเลย.......................ก่อนมุ่ง- การนา
ชำระมลทิลถ้า.............................ผ่องแล้วจักงาม ๚

๕๑.
..๏ ปริศนาลำดับข้อ....................ความสอง นาแม่
ยามเที่ยงสุรีย์รอง.......................เพริศแพร้ว
ราศีที่ชนปอง..............................อยู่ที่- อกเฮย
ร้อนรุ่มสุมทรวงแล้ว.....................ลูบน้ำฉ่ำเย็น ๚


๕๒.
..๏ ตะวันชิงพลบร้าง.................เลือนมหรรณพ์
ชนมุ่งความสุขสันต์....................หลับคล้อย
ราศีที่สมกัน...............................คือคู่- บาทนา
ก่อนมุ่งสู่ห้องน้อย......................จักล้างก่อนเสมอ ๚

๕๓.
..๏ ธรรมบาลกรรณเงี่ยต้อง.........สุรเสียง
นกคู่ต่างจำเรียง..........................พจน์แก้
บังเกิดดุจเผลียง*.......................เย็นชุ่ม- ดินเฮย
โสมนัสปราโมทย์แล้...................ดั่งได้มไหศวรรย์ ๚

๕๔.
..๏ ครบวันกำหนดต้อง.................เฉลยความ
พรหมเฒ่านึกเหยียดหยาม..........ยักคิ้ว
หัวเราะเยาะคุกคาม.....................ข่มพ่อ
หากตอบผิดบิดพลิ้ว....................จักต้องตัดเศียร ๚

๕๕.
..๏ ธรรมบาลหนุ่มน้อย................เมธี
ยามเอ่ยเผยปรัศนีย์....................เล่ห์ร้าย
สมคำดั่งพาที..............................วิหค คู่นา
พรหมเฒ่าร้อนเร่าคล้าย..............มอดไหม้ในเพลิง ๚

๕๖.
..๏ ฟังความตามปราชญ์น้อย......ธรรมบาล
พรหมเฒ่าราวทรมาน..................มีดย้ำ
เสียชีพหากสมุฏฐาน..................สัตย์ยั่ง- ยืนนา
ไตรโลกสรรเสริญซ้ำ..................แซ่ซ้องนิรันดร ๚

๕๗.
..๏ กบิลพรหมข่มจิตด้วย............ขันติ- ธรรมนา
เรียกลูกสาวสิริ............................แน่งน้อย
สั่งเสียตามนิติ............................สุดร่ำ- ไรเฮย
พ่อสุดแสนเศร้าสร้อย.................จากเจ้าเจ็ดนาง ๚

๕๘.
..๏ หากเศียรพ่อพลาดพลั้ง..........ตกดิน
หรือเลือดหยดหลั่งริน..................อาบพื้น
โลกจักมอดไหม้ภินท์...................สลายธาตุ
บังเกิดเอิกเกริกครื้น....................ล่มหล้าลบสวรรค์ ๚

๕๙.
..๏ จงรับเศียรพ่อด้วย.................พานทอง
ประทักษิณาผอง........................เขตด้าว
กาลผันล่วงผ่านตรอง..................เมรุราช
เวียรรอบจนตราบท้าว*................ศกสิ้นกาลสมัย ๚

๖o.
..๏ จงตกแต่งด้วยทิพย์................สังเวย
เครื่องเซ่นเนรมิตเคย...................หยิบใช้
วิษณุเทพบุตรเชย-......................ชมเสก- ...สรรค์นา
ดังเช่นมณเฑียรไท้......................เทพฟ้ามัฆวาน ๚

๖๑.
..๏ สั่งเสียเศียรขาดด้วย.............พระขรรค์
นางแม่พรหมกัญญ์....................แน่งน้อย
นามทุงษะเทวีพรรณ..................ผุดผ่อง
พานรับจับเศียรคล้อย.................นอบน้อมถนอมเศียร ๚

๖๒.
..๏ พรหมกัญญาแน่งน้อย..........โฉมเฉลา
ทัดดอกทับทิมเนา......................หนึ่งแย้ม
อาภรณ์แต่งพริ้มเพรา................ปัทมราช
มะเดื่อเป็นภักษ์แกล้ม................หัตถ์ซ้ายทรงสังข์ ๚

๖๓.
..๏ หัตถ์ขวาทรงจักรเพี้ยง...........นารายณ์
ทรงครุฑยุดนาคสยาย.................ปีกกว้าง
รับเศียรซึ่งปิตุหมาย-..................วนเทือก- สุเมรุนา
ลุศกศักราชอ้าง..........................เปลี่ยนน้องอัญเชิญ ๚

๖๔.
..๏ วันสงกรานต์เกิดด้วย..............ดังความ- โคลงเฮย
วัฒนธรรมงดงาม.........................สืบไว้
ทำบุญตักบาตรยาม.....................เปลี่ยนศัก- ราชนา
ก่อพระเจดีย์ทรายให้...................เหลื่อมฟ้าจิตรการ ๚

๖๕.
..๏ รดน้ำท่านผู้เฒ่า.....................ปูชนีย์
จักเช่นเป็นราศรี..........................เกียรติสร้าง
มาลัยกระแจะมี...........................รดท่าน- เถิดนา
จักวัฒนานิจอ้าง..........................ส่งให้เกษมศานต์ ๚

๖๖.
..๏ บรรเทิงเริงเล่นน้ำ..................ยามสง- กรานต์นา
จิตใฝ่หมายจำนง.........................เก่ายั้ง
คงคู่ชาติดำรง..............................ตราบลูก- หลายเฮย
เอกลักษณ์ไทยจักตั้ง..................คู่ฟ้าเคียงสยาม ๚ะ๛




Create Date : 11 เมษายน 2551
Last Update : 11 เมษายน 2551 11:22:39 น.
Counter : 528 Pageviews.

0 comments
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

จังงัง
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



เมษายน 2551

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog