Group Blog
 
 
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
14 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
ของขวัญจากฟากฟ้า...การกลับมาของหัวใจ

เพล้ง!!!

หัวข้อข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์หัวสียักษ์ใหญ่ของประเทศ ทำเอาหญิงสาวที่กำลังนั่งละเลียดอาหารเช้าพลางอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยถึงกับทำถ้วยกาแฟหลุดจากมือ

...เจ้าของโรงงานเสื้อสำเร็จรูปรถคว่ำดับอนาถ...

ลำพังพาดหัวข่าวแค่นั้นคงจะไม่ทำให้นทีจันทร์รู้สึกอะไรนักหนา หากว่าภาพประกอบข่าวทางด้านล่างจะไม่มีภาพหน้าตรงเล็กๆ ของผู้ประสบเหตุพร้อมคำบรรยายบอกชื่อ-สกุลชัดเจน

นายภุชงค์-นางรัชนี วิริยธำรงค์ คือชื่อที่เธอจำได้ขึ้นใจในฐานะบิดา-มารดาของเพื่อนสนิท และสองสามีภรรยาที่ทำให้พี่ชายเธอหัวใจสลายจนต้องหลบมาทำไร่อยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้

“เป็นอะไรน้ำ อ่านข่าวแค่นี้ถึงกับทำถ้วยกาแฟหล่น ไหนเอามาดูหน่อยซิข่าวอะไร?” หนึ่งรพีเอ่ยถามน้องสาว พร้อมกับยื่นไปตรงหน้าเพื่อดึงหนังสือพิมพ์จากมือน้องสาวมาอ่านดู ในขณะที่นทีจันทร์ได้สติ...รีบตะครุบเอาหนังสือพิมพ์ในมือพี่ชายกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่มีอะไรหรอกพี่หนึ่ง สงสัยจะนอนน้อยไปหน่อยเลยเผลอทำหล่น เกดช่วยเก็บทีนะไม่กงไม่กินมันละ” ท้ายประโยคหันไปสั่งเด็กรับใช้ที่รีบเข้ามาดูเหตุการณ์หลังจากได้ยินเสียงถ้วยกาแฟกระทบพื้น จากนั้นหญิงสาวก็ลุกจากที่พลางทำท่าจะเดินจากไปพร้อมหนังสือพิมพ์ในมือ

“แล้วนั่นจะไปไหนน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม สายตาจับจ้องไปยังหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นเป็นเชิงเตือน

“ไปอ่านหนังสือพิมพ์ต่อค่ะ ฉบับนี้น้ำยืมก่อนนะพี่หนึ่ง ไม่ได้อ่านวันนึงคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” นทีจันทร์ลื่นไหลไปได้หน้าตาเฉยทิ้งให้ผู้เป็นพี่ชายนั่งหน้านิ่วอยู่ที่โต๊ะอาหาร

เป็นพี่น้องกันมานานทำไมหนึ่งรพีจะไม่รู้ ...มันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างที่ผู้เป็นน้องสาวต้องการจะปิดบังจากเขา และเรื่องนั้นมันอยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นนั่นแหละ...

“เกดเก็บโต๊ะเสร็จแล้วไปเรียกเจ้าเก่งมาหน่อยนะ ฉันมีเรื่องจะใช้”

...ก็ให้มันรู้ไปสิว่าแม่น้องสาวตัวแสบจะปิดบังอะไรเขาได้...


~~~~~~~~~



เกือบเที่ยงแล้ว...เมื่อหนึ่งรพีวางหนังสือพิมพ์ที่เพิ่งรับมาจากเด็กชายลูกแม่บ้านลงบนโต๊ะ พาดหัวข่าวใหญ่นั้นแม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาโดยตรงแต่ก็อดรู้สึกใจหายระคนเป็นห่วงไม่ได้ เมื่อบุคคลในภาพข่าวคือบิดา-มารดาของอดีตคนรักที่คบกันมานานเกือบสี่ปี

ภาพหญิงสาวรูปร่างบางระหง เจ้าของใบหน้ารูปไข่อันประกอบไปด้วยดวงตากลมโตสีดำสนิทล้อมกรอบด้วยขนตาเป็นแพหนา จมูกรั้นนิดๆ บอกถึงอุปนิสัยเอาแต่ใจของเจ้าตัว และริมฝีปากบางสวยยังคงกระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำ

เพราะบิดามารดาของเสียชีวิตไปตั้งแต่ตอนที่เขายังเรียนมัธยมปลาย หนึ่งรพีจึงต้องรับหน้าที่ผู้ปกครองของนทีจันทร์แทนบุพการีไปโดยปริยาย

เขาพบขวัญเกล้าครั้งแรกตอนไปรับน้องสาวกลับบ้านในเย็นวันหนึ่ง จึงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับหญิงสาวซึ่งพักอยู่ห้องเดียวกัน นอกจากจะเป็นรูมเมทกันแล้วขวัญเกล้ายังเป็นเพื่อนร่วมคณะกับนทีจันทร์อีกด้วย สองสาวสนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะต่างฝ่ายต่างถูกอัธยาศัยซึ่งกันและกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเริ่มต้นแบบง่ายๆ ด้วยการที่เขามักจะแวะไปหาน้องสาวที่หอพักหลังกิจกรรมห้องเชียร์ เอาขนมหรือผลไม้ไปให้สองสาวรองท้องตอนก่อนนอน จนถึงช่วงก่อนสอบกลางภาคเขาก็รับหน้าที่เป็นติวเตอร์วิชาคณิตศาสตร์ให้ทั้งกับคู่ โดยนทีจันทร์ชวนให้เพื่อนสาวมานอนค้างที่บ้าน

จากพี่ชายของเพื่อนกับเพื่อนน้องสาว เขาและเธอก็เปลี่ยนมาเป็นคู่รักกันเมื่อจบภาคการศึกษาแรกนั้นเอง เขามารู้ทีหลังว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของโรงงานเสื้อผ้าสำเร็จรูป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเขา ชายหนุ่มไม่คิดว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการที่เขาและเธอรักกันไปได้

หลังเรียนจบเขาตัดสินใจรับงานในตำแหน่งนักวิจัยที่คณะ เพราะอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในมหาวิทยาลัยใกล้ๆ เธอ ในตอนนั้นเค้าลางแห่งปัญหาเริ่มปรากฏ เพราะบิดามารดาของหญิงสาวดูจะไม่ชอบใจนักที่ลูกสาวคบหาอยู่กับเขาซึ่งฐานะดูจะด้อยกว่า

แน่นอนว่าขวัญเกล้าถูกสั่งห้ามไม่ให้มาพบเขา แต่เธอไม่คิดจะใส่ใจกับคำสั่งของคุณภุชงค์และคุณรัชนี สองสามี-ภรรยาจึงมาหาเขาที่บ้าน

เขาโกรธ...กับกริยาและท่าทีดูหมิ่นดูแคลนของสองสามีภรรยา แต่ก็มั่นใจว่าตัวเขาจะสามารถดูแลขวัญเกล้าได้ดีไม่น้อยหน้าใคร และเพราะเขารักเธอจึงพยายามอดทนต่อการกระทำของทั้งคู่อย่างสุดความสามารถ เขาคิดว่าเวลาอาจจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เขาจะพิสูจน์ความจริงใจของเขาให้ท่านทั้งสองเห็น

แต่แล้ววันหนึ่ง...คุณภุชงค์ก็มาหาเขาตามลำพังพร้อมกับเช็คเงินสดจำนวนห้าแสนบาทเพื่อแลกกับการที่เขาจะต้องไปจากชีวิตขวัญเกล้า

...'ฉันให้...ถือเป็นค่าตัวที่เธอคอยดูแลลูกสาวฉันอยู่หลายปี แต่ต่อไปนี้คงไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว เกล้าจะกลับลำพูนทันทีที่เรียนจบ ฉันหวังว่าเธอคงจะไม่พยายามติดต่อลูกสาวฉันอีก ยังมีผู้ชายดีๆ มั่นคงทั้งฐานะและหน้าที่การงานอีกหลายคนที่เต็มใจจะดูแลลูกสาวฉันให้มีความสุข แต่ต้องไม่ใช่เธอที่มีแต่สองมือเปล่ากับปริญญากระจอกๆ แค่ใบเดียว'...

หนึ่งรพีรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้ากับคำพูดนั้น ชายหนุ่มต่อว่าบุพการีของเธอไปด้วยคำพูดเผ็ดร้อนอยู่หลายคำ ก่อนจะฉีกเช็คตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ

“คนคิดอะไรต่ำๆ ก็มักจะคิดว่าคนอื่นก็จะคิดแบบเดียวกัน แต่ขอโทษเถอะนะครับ...คุณอาจจะคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่กับผม”

หลังจากวันนั้นเขาก็โทรศัพท์ไปบอกเลิกหญิงสาว แม้นทีจันทร์จะทัดทานให้เขาคิดดูให้ดีอีกครั้ง แต่ทิฐิมานะที่มีก็ทำให้เขายึดมั่นอยู่กับการตัดสินใจของตัวเอง และเมื่อขวัญเกล้าตามเขามาถึงบ้านสวนที่เขาคิดจะใช้เป็นที่ลงหลักปักฐานกับเธอในตอนแรก เขาก็ตัดรอนเธอด้วยถ้อยคำรุนแรงที่แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเกลียดตัวเองไม่หาย...

...นานเท่าใดแล้วนะที่เขาไม่ได้พบเธอ?...ชายหนุ่มถามตัวเองเป็นคำถามแรก ก่อนที่คำถามถัดไปจะตามมาเป็นลูกโซ่

...ความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะส่งผลอะไรต่อเธอบ้าง?...จะมีใครคอยอยู่เคียงข้างเธอไหม?...ผู้หญิงตัวคนเดียวจะดูแลตัวเองได้หรือเปล่า?...

เสียงเคาะประตูห้องทำงานเรียกชายหนุ่มให้รู้สึกตัวจากความคิดคำนึง

นทีจันทร์โผล่เข้ามาเฉพาะศรีษะก่อนจะเปิดประตูพาตัวเองเข้ามายืนหน้าโต๊ะทำงานพี่ชาย หญิงสาวขมวดคิ้วมองหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอย่างไม่สบายใจนัก

“พี่หนึ่งรู้แล้ว?”

ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ นทีจันทร์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับพี่ชาย หญิงสาวมองคนตรงหน้าอย่างประเมินก่อนจะเอ่ยปากตามที่คิดไว้

“น้ำจะไปหาเกล้านะพี่หนึ่ง”

...ถึงอย่างไรขวัญเกล้าก็ยังคงเป็นเพื่อนรัก จะให้เธออยู่เฉยคงจะไม่ได้...

หนึ่งรพีนิ่งไปชั่วขณะคล้ายกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยประโยคที่ทำเอาคนฟังแทบจะอุทานออกมาด้วยความคาดไม่ถึง

“เดี๋ยวพี่จะไปส่ง”


~~~~~~~~~



นทีจันทร์โทรศัพท์ถึงเพื่อนรักสอบถามจนได้ความว่า...เพื่อนสาวตั้งบำเพ็ญกุศลศพบิดามารดาที่วัดใกล้บ้าน ซึ่งทั้งเธอและหนึ่งรพีรู้จักดี

ชายหนุ่มขับรถไปเงียบๆ ก่อนจะหันมาถามน้องสาวความร้อนใจ ทันทีที่คนข้างกายวางสายจากคู่สนทนา

“เกล้าเป็นยังไงบ้าง?”

“แย่” เธอตอบคำถามหนึ่งรพีสั้นๆ เพราะไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายสิ่งที่เธอรู้สึกจากการพูดคุยโทรศัพท์เมื่อสักครู่ได้ดีไปกว่านั้น

แววตาชายหนุ่มฉายชัดถึงความเป็นห่วงเป็นใยจนคนเป็นน้องสัมผัสได้

“เป็นห่วงเขามากขนาดนี้ทำไมไม่ไปดูแลเองล่ะพี่หนึ่ง” นทีจันทร์ตัดสินใจเอ่ยถามพี่ชายตรงๆ

“พี่กลัวเกล้าจะคิดว่าพี่ตามไปซ้ำเติมเขา”

“เกล้าไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอก พูดแบบนี้ไม่สมกับเป็นพี่หนึ่งเลยนะ”

“ไม่รู้สิ เอาเป็นว่าพี่ฝากน้ำดูแลเขาด้วยก็แล้วกัน”

จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบไปจนกระทั่งถึงที่หมาย ชายหนุ่มส่งนทีจันทร์แค่หน้าวัดพร้อมกับกำชับ

“เสร็จแล้วโทรหาพี่นะ พี่จะมารับ” แล้วเขาก็ออกรถไปโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ จากน้องสาว


~~~~~~~~~



“เกล้า” นทีจันทร์เอ่ยทักเพื่อนสาวที่นั่งอยู่หน้าศพตามลำพัง

ขวัญเกล้าอยู่ในชุดกระโปรงสูทแลดูเรียบร้อย สีดำสนิทของเสื้อผ้าดูจะยิ่งข่มให้หญิงสาวดูหม่นเศร้ายิ่งนัก รอยน้ำตายังไม่จางไปจากใบหน้า เพียงได้เห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใครเธอก็โผเข้าหาก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนสาว

“เราไม่เหลือใครอีกแล้วน้ำ ไม่เหลือใครแล้ว”

“ไม่เป็นไรนะเกล้า เราอยู่นี่แล้ว” ลูบหลังเพื่อนแผ่วเบา พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม

หญิงสาวดูจะเหลือตัวคนเดียวอย่างแท้จริง เพราะนอกจากนทีจันทร์แล้วมีเพียงเพื่อนร่วมชั้นปีอีกส่วนหนึ่งที่มาช่วยงาน กับผู้บริหารโรงงานอีกไม่กี่คน ไม่มีญาติจากทั้งทางคุณภุชงค์หรือคุณรัชนีมาร่วมงานแม้สักคน

ขวัญเกล้าตั้งบำเพ็ญกุศลศพบิดามารดาเพียงเจ็ดวันก่อนจะฌาปนกิจ ในขณะที่นทีจันทร์เกือบจะต้องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพแทนเพื่อนรัก หญิงสาวเก็บกระเป๋ามาค้างคืนกับขวัญเกล้าจนกระทั่งเสร็จงาน

แต่เวลาเพียงเจ็ดวันนั้นดูจะมากเกินพอที่ความโศกเศร้าจะดูดซับเอาชีวิตชีวาให้เลือนหายไปจากตัวขวัญเกล้า เธอทำกิจวัตรต่างๆ ราวกับหุ่นยนต์ที่มีนทีจันทร์เป็นผู้ควบคุม


~~~~~~~~~



เย็นมากแล้ว...ทว่าขวัญเกล้ายังคงนั่งอยู่ใต้ร่มไม้กลางลานวัด พิธีฌาปนกิจผ่านพ้นไปหลายชั่วโมง แขกเหรื่อที่มาร่วมงานกลับบ้านไปจนหมด เหลือเพียงขวัญเกล้าและเธอที่ยังคงรีรออยู่ที่วัด

ขวัญเกล้าเหม่อมองกลุ่มควันสีขาวที่ลอยขึ้นสู่ฟ้าจากทางปล่องควันด้านบนเมรุ รู้สึกสะท้านในอก

...เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอตระหนักว่า...ความรักของพ่อและแม่มีความหมายต่อเธอมากเพียงใด หากกว่าจะรู้...เธอก็ไม่มีท่านทั้งสองอีกแล้ว...

“เกล้าอดทนหน่อยนะ เรารู้ว่าเกล้าเสียใจแต่คนเราก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้ารู้ไหม” นทีจันทร์บอกเพื่อนที่เอาแต่ร้องไห้จนคนรอบข้างไม่รู้จะทำยังไง

หากแทนที่จะตอบรับขวัญเกล้ากลับยิ่งสะอึกสะอื้นมากกว่าเดิม

“กลับบ้านเถอะนะเกล้า ถ้าม๊ากับป๊ารู้ว่าเกล้าเป็นแบบนี้ท่านคงไม่มีความสุข”

“เรา...” ตอบได้เพียงเท่านั้นน้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีก เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าที่หญิงสาวจะเอ่ยประโยคเต็มๆ ออกมาได้ “เราไม่อยากกลับบ้าน...มันทรมาน”

...เมื่อทุกๆ ที่ในบ้านล้วนแต่มีความทรงจำประทับอยู่...

นทีจันทร์มองเห็นความเจ็บปวดได้ทั้งจากสีหน้าและแววตาของเพื่อนสาว หญิงสาวชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยถาม

“เกล้า...ไปอยู่กับเราที่บ้านไหม?”

...เธอรู้ว่าความสูญเสียที่เกิดกับเพื่อนรักนั้นยากจะเยียวยาให้หายได้ภายในเวลาอันสั้น หากถึงกระนั้นเธอก็อยากจะพยายามทำให้อีกฝ่ายก้าวผ่านความทุกข์นี้ไปให้ได้โดยเร็ว...

ขวัญเกล้าสบตาเพื่อนสนิท ความห่วงใยที่ฉายชัดจากดวงตาของคนตรงหน้าทำให้เธอยิ่งรู้สึกถึงความไม่เอาไหนของตัวเอง น้ำตาอุ่นๆ ไหลออกมาจากดวงตาอีกคำรบ จนภาพตรงหน้าแลดูพร่างพราย ก่อนที่มือของคนเป็นเพื่อนจะยื่นออกมารั้งเธอเข้าไปกอดพลางปลอบโยน

“ไม่เป็นไรนะเกล้า...ไม่เป็นไร”

เธอสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนของนทีจันทร์อยู่พักใหญ่ก่อนจะเอ่ยออกมา

“เราจะทำให้น้ำลำบากใจหรือเปล่า?”

“ไม่นี่ เราต่างหากที่ต้องถามเกล้าว่าลำบากใจหรือเปล่าที่อาจจะต้องเจอกับ...พี่หนึ่งอีก”

“เรื่องของเรากับพี่หนึ่งมันจบไปนานแล้ว” หญิงสาวตอบเสียงอู้อี้

...ถ้าผู้ชายคนนั้นจะใจดำพอที่จะซ้ำเติมเธออีกก็คงจะไม่กระไรนักหนา ถึงอย่างไรหัวใจเธอมันก็แหลกละเอียดไม่มีชิ้นดีอยู่แล้ว...

“งั้นก็ไปอยู่กับเรานะ เราไม่อยากให้เกล้าอยู่คนเดียว” คนเป็นเพื่อนถามย้ำ
ขวัญเกล้าพยักหน้าแทนคำตอบ


~~~~~~~~~



บ้านไม้ใจกลางเมืองของนทีจันทร์ที่ขวัญเกล้าเคยมาพักสมัยยังเป็นนักศึกษานั้น ถูกปรับปรุงและตกแต่งใหม่จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม หญิงสาวทะลายกำแพงหน้าบ้านเพื่อเปิดร้านกาแฟและอาหารตามสั่งเล็กๆ ทำเลที่ตั้งของร้านที่อยู่ท่ามกลางหมู่เกสต์เฮ้าส์และอพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายวันหรือรายเดือนนับสิบหลัง ทำให้มีลูกค้าคับคั่งพอสมควรโดยเฉพาะตอนเช้าตรู่ ก่อนที่บรรดานักท่องเที่ยวจะออกไปเที่ยวกับทัวร์ที่จองไว้

ขวัญเกล้าตื่นนอนพร้อมเพื่อนสาว หญิงสาวพยายามช่วยงานเพื่อนเท่าที่พอจะทำได้โดยที่นทีจันทร์เองก็ไม่คิดจะคัดค้าน เพราะอย่างน้อยการได้หยิบจับทำอะไรบ้างจะช่วยให้เพื่อนเธอก้าวผ่านความทุกข์ไปได้เร็วขึ้น

สายวันนี้เหลือลูกค้าในร้านเพียงโต๊ะเดียวนทีจันทร์จึงเอ่ยชวนเพื่อนรัก

“เดี๋ยวไปกาดคำเที่ยงด้วยกันนะเกล้า ไปดูดอกไม้สวยๆ มาเปลี่ยนแทนไอ้ที่ห้อยอยู่ข้างหน้าเสียหน่อย เฉาเต็มทีแล้ว” หญิงสาวเอ่ยถึงตลาดต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่นอกเขตเมืองชั้นในไปไม่ไกลนัก

“เอาซี” ขวัญเกล้ารับคำสั้นๆ หญิงสาวล้วงกระเป๋าผ้ากันเปื้อนหยิบเอาผ้าขนหนูผืนเล็กออกมาซับเหงื่อ นทีจันทร์มองเพื่อนสาวอย่างพินิจ

เวลาผ่านไปเกือบสามเดือนแล้วนับจากวันที่เกิดอุบัติเหตุ สีหน้าขวัญเกล้าดูดีขึ้น แม้แววตาจะยังดูหม่นหมองอยู่ในบางครั้ง ทว่าหญิงสาวก็เริ่มจะมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าช่วงก่อนซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี

เสียงกระพรวนที่แขวนไว้กับประตูหน้าร้านดังขึ้นเรียกความสนใจจากสองสาว

“สวัสดี...” ขวัญเกล้าเอ่ยทักทายด้วยความเคยชินก่อนจะชะงักค้างอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร

“พี่หนึ่งไปยังไงมายังไงล่ะนี่”

“ว่าจะมาซื้อปุ๋ยเลยแวะมาขอข้าวกินหน่อย สวัสดีเกล้า” หนึ่งรพีตอบน้องสาวก่อนจะหันไปทักทายหญิงสาวที่นั่งทำหน้าเรียบเฉยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

...ราวกับว่าระหว่างเธอกับเขาไม่เคยมีเรื่องกินแหนงแคลงใจใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน...

“เอ่อ...สะ...สวัสดีค่ะพี่หนึ่ง” หญิงสาวอ้ำอึ้งอยู่นานกว่าจะหลุดคำทักทายออกมาได้ ขวัญเกล้ามองเพื่อนคล้ายจะขอความช่วยเหลือ ทว่านทีจันทร์แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเอ่ยออกมา

“พี่หนึ่งคุยกับเกล้าไปก่อนนะ น้ำจะไปดูในครัวก่อนว่ามีอะไรให้กินบ้าง?” ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินเข้าไปข้างในทิ้งเพื่อนรักไว้กับพี่ชาย

ขวัญเกล้าสบตาหนึ่งรพีเพียงแวบเดียวก่อนจะหลบสายตา ในขณะที่ชายหนุ่มพาตัวเองเข้ามายืนชิดเก้าอี้ฟากตรงข้ามของโต๊ะที่เธอนั่งอยู่

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหม?”

“เชิญค่ะ”

“เกล้าผอมลงนะ ไม่ค่อยสบายหรือเปล่า?” ความห่วงใยในน้ำเสียงชายหนุ่มฟังดูชัดเจนจนเธออดที่จะเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกหนไม่ได้

...หนึ่งรพีดูไม่ต่างไปจากเมื่อสามปีก่อนเท่าไรนัก นอกจากสีผิวที่แลดูคล้ำขึ้นจากการทำงานในไร่ แววตาที่มองมายังเธอยังคงดูอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็น...

...นี่เธอเป็นบ้าอะไรน่ะเกล้า ถึงได้คาดหวังในสิ่งที่ไม่วันเป็นจริงได้ หนึ่งรพีอาจจะยังไม่มีใครก็จริงแต่เขาก็ไม่ได้รักเธอ ไม่มีใครบ้ารักผู้หญิงที่ตัวเองเป็นฝ่ายบอกเลิกอยู่หรอก ความอ่อนโยนที่เธอได้รับในวันนี้ก็เป็นเพราะว่าเขาสงสารเธอเท่านั้นเอง...หญิงสาวบอกตัวเองอย่างขมขื่น

“เกล้า...สบายดีค่ะ ขอบคุณ” น้ำเสียงตอนท้ายเกือบจะเรียกได้ว่า ‘สั่น’ แต่หญิงสาวก็พยายามระงับมันเอาไว้อย่างสุดความสามารถ

คำตอบสั้นๆ ขัดกันกับสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขาโดยสิ้นเชิง หนึ่งรพีหรี่ตาลง รู้สึกไม่ชอบใจนักกับทั้งคำตอบและท่าทีห่างเหินของหญิงสาว

...แต่เขาจะคาดหวังอะไรได้ล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนบอกเลิกเธอเอง ถ้าเพียงแต่เขาจะหนักแน่นกว่านี้...

ต่างคนต่างเงียบอยู่กับความคิดคำนึงของตัวเองจนกระทั่งนทีจันทร์กลับออกมาอีกครั้งพร้อมก๋วยเตี๋ยวราดหน้าจานใหญ่ในมือ หญิงสาววางจานลงตรงหน้าพี่ชายพร้อมกับเอ่ยถาม

“คุยกันไปถึงไหนแล้วสองคนนี้?”

ไม่มีใครตอบคำถามของเธอ หญิงสาวเดินเลยไปยังโต๊ะเล็กริมผนังหยิบเอาตะกร้าเครื่องพวงมาวางให้พี่ชายก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่เหลือ

หนึ่งรพีจัดการอาหารตรงหน้าไปเงียบๆ ในขณะที่นทีจันทร์เห็นเป็นโอกาสเหมาะที่ผู้เป็นพี่ชายแวะมาหาพอดีจึงเอ่ยขึ้น

“พี่หนึ่งมาก็ดีแล้ว น้ำกำลังชวนเกล้าไปกาดคำเที่ยงพอดี ขอน้ำกับเกล้าติดรถไปหน่อยนะคะ”

“น้ำ!” ขวัญเกล้าอุทาน

“ถึงยังไงพี่หนึ่งก็ต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างพี่หนึ่งมีรถกะบะจะซื้ออะไรก็สะดวกกว่าเอาไอ้จิ๋วของน้ำไปแน่ๆ” นทีจันทร์อธิบายด้วยเหตุผลที่ขวัญเกล้าไม่อาจโต้แย้ง

หญิงสาวลอบมองพี่ชายเพื่อนด้วยความกังขา หากดูเหมือนว่าชายหนุ่มไม่เดือดร้อนอะไรนัก กับท่าทีเจ้ากี้เจ้าการของน้องสาว


~~~~~~~~~



หนึ่งรพีจอดรถส่งสองสาวตรงบริเวณปากซอยแรกของตลาด โดยไม่ลืมที่จะกำชับน้องสาว

“พี่จะไปซื้อปุ๋ยก่อน น้ำเดินเข้าซอยไปเรื่อยๆ ก็แล้วกันเดียวพี่จะวนรถกลับมาตามหาเอง พี่ไปไม่นานหรอก”

“ค่ะ พี่หนึ่ง” นทีจันทร์รับคำก่อนจะลงจากรถโดยมีขวัญเกล้ารีบตามลงไปติดๆ

“เกล้า! คอยเดี๋ยว”

หญิงสาวหันกลับไปตามเสียงเรียก ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปค้นอะไรจากหลังเบาะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งหมวกแก็ปสีน้ำตาลไหม้ให้เธอ

“ใส่ไว้...แดดร้อนเดี๋ยวจะไม่สบาย” บอกเพียงเท่านั้นก่อนจะออกรถ

ขวัญเกล้ารับเอาหมวกใบนั้นมาถือไว้ด้วยสีหน้าคาดไม่ถึงอย่างรุนแรง เธอนิ่งเงียบมาตลอดทางจึงไม่คิดว่าคนมาส่งจะใส่ใจถึงการมีตัวตนอยู่ของเธอด้วยซ้ำ ความทรงจำเก่าๆ ดูจะย้อนคืนมาอีกครา

...หมวกใบนี้เธอซื้อให้เขาก่อนถึงวันแข่งขันกีฬาระหว่างคณะ... หญิงสาวเม้มริมฝีปาก รู้สึกถึงอาการเจ็บแปลบที่เกิดขึ้นในอก บอกตัวเองว่า...เธอไม่ควรจะ ‘รู้สึก’ อะไรทั้งนั้น...

...ทำไมไม่รู้จักจำว่าผู้ชายคนนั้นได้ตอกย้ำอะไรเธอไว้บ้าง...

...‘พี่อยากได้คู่ชีวิตที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้ากับพี่ พร้อมที่จะเผชิญความยากลำบากไปด้วยกัน ไม่ใช่คุณหนูเจ้าสำอางอย่างเกล้า กลับไปซะ...พี่ไม่ต้องการเกล้าอีกแล้ว ที่นี่...ไม่มีใครต้องการเธอ’...

เธอจำคำพูดเผ็ดร้อนของเขาได้ทุกคำ รวมทั้งสายตาดูถูกเหยียดหยามเมื่อเธอไปตามเขาที่บ้านสวน วันนั้นเธอกลับบ้านด้วยอาการหัวใจสลาย

...วันนี้เขาอาจจะดีกับเธอด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้รักเธอ...

...ไม่มีวัน!...


“เกล้า...เกล้า...” นทีจันทร์ขานชื่อเพื่อนสาวซ้ำๆ เมื่อเห็นว่าขวัญเกล้ายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่

“จ้ะ น้ำ...มีอะไร”

“คิดอะไรอยู่หรือเกล้า?”

“เปล่านี่” ปฏิเสธเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันคงดูไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่านทีจันทร์เองก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อะไร

“งั้นก็ไปกันเถอะ” คนเป็นเพื่อนพูดพร้อมกับกวักมือเรียก บนศีรษะอีกฝ่ายมีหมวกผ้าสวมอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ขวัญเกล้าลอบถอนใจก่อนจะสวมหมวกที่รับมาลงบนศีรษะตนเอง

...น้ำหนักหมวกนั้นไม่มากเท่าไหร่ หากบางสิ่งคล้ายจะกดทับหนักอึ้งอยู่ในใจอย่างบอกไม่ถูก...


~~~~~~~~~



ชายหนุ่มขับรถต่อไปยังร้านขายวัสดุอุปกรณ์การเกษตรเจ้าประจำ เพียงแค่จอดรถหน้าร้านลูกจ้างของร้านก็กุลีกุจอยกกระสอบปุ๋ยสีขาวนับสิบกระสอบขึ้นไปเรียงบนกระบะรถให้ หนึ่งรพีเดินเข้าไปในร้านเพื่อทักทายเจ้าของร้านและชำระเงิน

เขาวนรถเพียงไม่กี่นาทีก็พบกับขวัญเกล้าที่ยืนรออยู่หน้าร้านต้นไม้ ไม่ห่างจากตำแหน่งเขาส่งเธอเมื่อสักครู่มากนัก

“ทำไมมายืนอยู่คนเดียวล่ะเกล้า น้ำไปไหน?” เขาเอ่ยถามทันทีที่จอดรถได้ รู้สึกไม่ชอบใจนักที่น้องสาวทิ้งเพื่อนไว้ตามลำพัง

“ไปดูพวกกระถางแขวนทางค่ะ บอกให้เกล้ารอพี่หนึ่งตรงนี้จะได้ไม่ต้องหิ้วของไกลๆ” หญิงสาวตอบพี่ชายเพื่อนด้วยประโยคยืดยาวเป็นครั้งแรกของวัน

...แม้จะยังคงรู้สึกอิหลักอิเหลื่อกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่เมื่อเขาทำท่าเป็นปกติมาเธอก็สามารถทำได้เช่นกัน...

หนึ่งรพีเปิดประตูลงไปหิ้วเอาถุงต้นไม้ที่วางอยู่บนพื้นตรงหน้าเธอไปวางไว้บนกระบะ พร้อมกับบอกให้เธอขึ้นรถ หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนที่เขาจะออกรถอีกครั้งไปตามทิศทางที่เธอบอก

หนึ่งหนุ่มสองสาวใช้เวลาที่ตลาดคำเที่ยงเกือบสองชั่วโมง นทีจันทร์ได้ต้นไม้ดอกไม้หลายรายการจนเต็มท้ายรถ ผิดกับขวัญเกล้าที่ได้แต่ดูๆ เพราะไม่รู้จะซื้ออะไร

“ซื้ออะไรเยอะแยะ จะเอาไปตั้งขายหน้าบ้านหรือไงเรา?”ผู้เป็นพี่ชายประชด

“เป็นคนปลูกต้นไม้ซะเปล่านะพี่หนึ่ง ต้นไม้ดอกไม้ก็ต้องเอาไปประดับบ้านให้มันชุ่มชื่นหัวใจสิคะ” นทีจันทร์ตอบก่อนจะเหลือบตามองเวลาจากหน้าปัดรถ แล้วหันไปทางเพื่อนสาว

“จะเที่ยงแล้วแวะกินอะไรก่อนไหมเกล้า? เมื่อเช้าก็กินไปนิดเดียว”

หนึ่งรพีเหลือบตามองคนถูกถามผ่านกระจกมองหลัง หญิงสาวทอดสายตามองเหม่อไปนอกกระจกราวกับว่าอาคารพาณิชย์สองข้างทางนั้นเป็นทรรศนียภาพที่น่าสนใจเสียเต็มประดา

“แล้วแต่น้ำเถอะ” ตอบเบาๆ

“สองเสียงชนะใส พี่หนึ่ง...ไปกินข้าวที่บ้านสายปิงกัน” นทีจันทร์ออกคำสั่งกับพี่ชายทันที

ชายหนุ่มลอบมองเสี้ยวหน้ารูปไข่ของอดีตคนรักอีกครั้ง ก่อนจะเลี้ยวรถไปตามคำสั่งของน้องสาว


~~~~~~~~~



เกือบบ่ายสองแล้ว...เมื่อเขาพาสองสาวกลับมาถึงบ้าน หนึ่งรพียกถุงใส่ต้นไม้เข้าไปเก็บในบ้านให้น้องสาว ในขณะที่นทีจันทร์รีบเข้าไปช่วยเด็กสาวพนักงานประจำร้านรับออเดอร์จากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาเป็นลูกค้าพอดี

“เกล้าเข้าไปล้างหน้าล้าตาก่อนเถอะ ยังไม่ต้องมาช่วยเราหรอก” หญิงสาวบอกพลางรุนหลังเพื่อนสาวให้เดินเข้าไปทางด้านหลัง

ชายหนุ่มวางถุงหิ้วใบเขื่องลงบนพื้นก่อนจะหันมาทางขวัญเกล้าที่ยืนละล้าละลังไม่รู้จะทำอะไรอยู่ เขาส่งกระถางดินเผาใบเล็กในมือให้เธอ ต้นคาร์สเบิร์กเดซี่ออกดอกสีเหลืองพราวไปทั้งกระถาง

“พี่ให้” พูดสั้นๆ เพียงเท่านั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปที่รถ

ทิ้งคนรับที่ยืนตะลึงด้วยความคาดไม่ถึงไว้ด้านหลัง


~~~~~~~~~



หนึ่งรพีปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงคนที่เขาเพิ่งจะจากมาเกือบตลอดทางที่ขับรถกลับไปยังบ้านสวน

...สามปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยการรอคอยว่า...สักวันหนึ่งหัวใจที่ทำหล่นหายไปอาจจะคืนกลับมาสู่ชีวิตเขาอีกครั้ง เป็นความหวังอันแสนริบหรี่แต่เขาก็ไม่เคยหยุดหวัง...

...การจากไปอย่างไม่คาดฝันของบุพการีของขวัญเกล้าจึงจุดประกายความหวังขึ้นในใจเขา แม้มันจะดูไม่เป็นการสมควรเท่าไหร่นัก หากเขาจะถือเอาโอกาสนี้ไขว่คว้าเอาสิ่งที่ทำหล่นหายกลับคืนมา...

วันนี้...เขาตัดสินใจแวะไปหาน้องสาว เพราะทนความคิดถึงที่รุ่มเร้าอยู่ไม่ไหว คิดแต่เพียงว่าขอให้ได้เห็นหน้าเธอก็พอ

ทว่า...ความสูญเสียที่เกิดขึ้นทำให้ผู้หญิงบอบบางอย่างขวัญเกล้าดูจะยิ่งเปราะบาง ร่างแบบบางของเธอดูไม่ต่างอะไรกับตุ๊กตางาที่สัมผัสแรงไปนิดก็พร้อมจะแหลกสลาย...

...เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจจะทำนั้นมันถูกต้องหรือเปล่า แต่สามปีกับการใช้ชีวิตอย่างคนไม่มีหัวใจนั้นนานเกินไป...

เขายังคงรักเธอ...และไม่คิดว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจ


~~~~~~~~~



ขวัญเกล้าวางกระถางใบนั้นไว้บนขอบหน้าต่างใกล้หัวนอน แม้จะรู้สึกปวดแปลบในใจทุกครั้งที่มองเห็นแต่เธอก็ตัดใจทิ้งมันไม่ลง

หนึ่งรพีดูเหมือนจะถือโอกาสแวะมาหาเธอบ่อยขึ้น แทบจะวันเว้นวันเลยก็ว่าได้ เขารู้ว่าเธอกำลังทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทอยู่ แต่พักการเรียนไว้ตั้งแต่บิดามารดาเสียชีวิต

“เกล้ายังเขียนวิทยานิพนธ์อยู่หรือเปล่า? มีอะไรก็ถามพี่ได้นะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับอาสา

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเลือกที่จะตอบรับเพียงสั้นๆ

เธอรู้จากนทีจันทร์มาว่า...เขาเองก็เพิ่งจะรับปริญญามหาบัณฑิตด้านบริหารธุรกิจอันเป็นสาขาเดียวกันกับที่เธอกำลังศึกษาอยู่มาหมาดๆ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

...เธอไม่รู้ว่าหนึ่งรพีคิดจะทำอะไร แต่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเธอนั้นกำลังจะทำให้กำแพงในหัวใจเธอละลาย...


~~~~~~~~~



“พรุ่งนี้เราจะไปค้างที่บ้านสวน เกล้าไปด้วยกันนะ” นทีจันทร์เอ่ยชวนเธอหลังมื้ออาหารเย็นในเย็นวันหนึ่ง

ขวัญเกล้ามองเพื่อนสาวอย่างค้นคว้า ...เธอไม่แน่ใจว่าเพื่อนสาวจะรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านสวนเมื่อสามปีก่อนหรือเปล่า?...

“นะเกล้านะ ไปพักผ่อนเสียบ้าง” เพื่อนสาวยังคงรบเร้า

...การกลับไปยังที่ๆ เต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างเขาและเธอทำให้หญิงสาวอดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ แต่จะให้ปฏิเสธเพื่อนเธอก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เมื่อตลอดเวลากว่าหกเดือนที่เธอมาพักอยู่ด้วย นทีจันทร์ดูแลเธอไม่ต่างจากญาติสนิท เธอรู้ว่าเพื่อนสาวรักบ้านสวนไม่ต่างไปจากหนึ่งรพี และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบหกเดือนที่เพื่อนสาวจะกลับไปค้างคืนที่นั่นอย่างที่เคยทำ...

“จ้ะ” ตอบรับทั้งที่รู้สึกว่าตะกอนในใจเริ่มจะฟุ้งลอยขึ้นมาอีกครั้ง


คนที่ดีใจจนออกนอกหน้าถึงการไปพักค้างคืนที่บ้านสวนริมธารของขวัญเกล้าคือ...หนึ่งรพี ชายหนุ่มถึงกับขับรถมารับสองสาวที่บ้านในตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนจะพากันขับรถไปตามเส้นทางเชียงใหม่-ฝางไปจนถึงแยกแม่มาลัย-ปาย

เขาจอดรถให้น้องสาวและอดีตคนรักแวะซื้อของที่ตลาดตรงทางแยก จากนั้นจึงขับรถต่อไปยังบ้านสวนริมธารซึ่งกินเวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมงจากแยกแม่มาลัย

ขวัญเกล้ามองความเปลี่ยนแปลงของบ้านสวนด้วยความรู้สึกประหลาดใจ นับตั้งแต่ถนนซอยที่ตัดจากทางสายหลักเข้าไปจนถึงเขตไร่ ที่หนึ่งระพีปลูกต้นไผ่เรียงแถวกระหนาบทั้งสองข้างทางจนกลายเป็นกำแพงสีเขียวสดให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

บ้านพักทรงล้านนาที่หนึ่งรพีปลูกไว้ถูกปรับแต่งให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยระเบียงไม้ลดหลั่นเป็นชั้นๆ รอบตัวเรือน สนามหญ้าหน้าบ้านถูกตกแต่งเป็นสวนหย่อม มีบ่อน้ำเล็กๆ ปลูกดอกบัวสีชมพูอมม่วงแลดูสดใส

นทีจันทร์ลงจากรถเป็นคนแรก หญิงสาวกึ่งจูงกึ่งลากเพื่อนรักให้ขึ้นไปดูห้องที่พี่ชายเตรียมไว้ให้ ทิ้งหนึ่งรพีให้ทำหน้าที่ขนกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาสมทบ

“เข้ามาสิเกล้า ห้องนี้พี่หนึ่งจัดไว้ให้เกล้าโดยเฉพาะเลยนะ” เพื่อนสาวพูดพร้อมกับเปิดประตูห้องออกกว้าง

ขวัญเกล้ามองห้องนอนเล็กๆ นั้นด้วยความรู้สึกวูบไหวรุนแรง

...มันเป็นห้องนอนในฝันที่เธอเคยบอกเล่าให้หนึ่งรพีฟังเมื่อนานแสนนานมาแล้ว...

เธอก้าวเท้าเข้าไปในห้องตรงไปยังหน้าต่างที่เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นชั้นวางกระถางที่อยู่ใต้ขอบหน้าต่างเล็กน้อย มีดอกคาร์ลเบิร์กเดซี่ปลูกอยู่เต็ม มือเล็กบางแตะไล้ดอกไม้สีเหลืองเล็กๆ ไปทีละดอก พร้อมๆ กับน้ำตาอุ่นๆ ที่หยดลงบนกลีบที่แสนบอบบางนั้น

“ร้องไห้ทำไมครับคนดีของพี่” เสียงห้าวที่ดังขึ้นทางด้านหลังทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง

ขวัญเกล้าหันไปยังร่างสูงที่เข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ ม่านน้ำตาทำให้เธอมองอะไรไม่ชัดเจน แต่เธอก็เห็นว่าเขาทำท่าคล้ายจะลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเข้ามายืนตรงหน้าเธอ

หนึ่งรพีใช้ปลายนิ้วซับน้ำตาให้เธอแผ่วเบา ในขณะที่หญิงสาวส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว

“พี่หนึ่ง เกล้าขอร้อง...อย่าดีกับเกล้านักเลย อย่าทำให้เกล้าหวั่นไหวทั้งๆ ที่พี่หนึ่งไม่คิดจะมีเกล้าในหัวใจ ถือว่าสงสารเกล้าเถอะนะคะ เกล้าไม่คิดว่าตัวเองจะทนเจ็บได้อีกแล้ว” หญิงสาวพูดออกมาด้วยแรงอารมณ์ เธอหมุนตัวพยายามก้าวเท้าให้พ้นไปจากที่นั้นให้เร็วที่สุด

“โธ่! เกล้า” หนึ่งรพีอุทานก่อนจะก้าวเท้าตามเธอไปอย่างรวดเร็ว อ้อมแขนแข็งแกร่งตวัดรัดเธอไว้ในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา

“พี่หนึ่งปล่อยเกล้า อย่าทำแบบนี้...” น้ำเสียงห้ามปรามของหญิงสาวถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ เมื่อชายหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาประกบริมฝีปากร้อนๆ ลงบนริมฝีปากเล็กบางของเธอ

จูบร้อนแรงแกมบังคับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสัมผัสเว้าวอนอ่อนหวานจากหัวใจ ขวัญเกล้ารู้สึกว่าพื้นดินที่เธอเหยียบย่ำอยู่โคลงเคลงโดยไม่ทราบสาเหตุ จนเธอต้องโอบแขนไว้รอบคอเขาเพื่อยึดเป็นหลักพยุงตัวเอง

นาน...กว่าที่ชายหนุ่มจะผละจากริมฝีปากหวาน ราวกับเคลือบน้ำตาลเอาไว้

“พี่รักเกล้า ทั้งหมดที่พี่ทำลงไปก็เพราะพี่รักเกล้า ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ไม่เคยลืมเกล้าเลยสักวินาที ยกโทษให้พี่เถอะนะ พี่สัญญาว่าพี่จะไม่ทำให้เกล้าต้องเสียใจอีก” หนึ่งรพีเอ่ยกับหญิงสาวที่เอาแต่ก้มหน้างุดอยู่ในอ้อมกอดของเขา


~~~~~~~~~



...หกเดือนต่อมา...


ขวัญเกล้าอยู่ในชุดไทยดุสิตสีขาวนวลแลดูสดใสสมเป็นเจ้าสาว เธอยิ้มหวานให้กับคนที่ยืนเคียงข้างขณะตักบาตร ก่อนที่จะเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นไปให้กับหญิงสาวในชุดไทยสีเขียวตองอ่อนซึ่งรับตำแหน่งเป็นเพื่อนเจ้าสาวคู่กับเพื่อนร่วมคณะอีกคนหนึ่ง นทีจันทร์ยิ้มตอบเพื่อนรักพลางขยิบตาให้

หลังการตักบาตรในตอนเช้าเป็นพิธีผูกข้อมือตามประเพณี ญาติทางฝ่ายหนึ่งรพีนั้นมากจนเธอรู้สึกตาลาย จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร รู้แต่ว่ามากเหลือเกินผิดกับเธอที่ดูจะมีแต่เพื่อนๆ เท่านั้นที่มาร่วมงาน เสร็จจากการผูกข้อมือก็ได้ฤกษ์ส่งตัวเข้าหอแทบจะพอดีเวลาเป๊ะ

หนึ่งรพีลุกขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยยื่นมือออกไปให้เจ้าสาวเกาะ ค่าที่นั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ ทำให้เหน็บกิน หญิงสาวเซถลาเข้าหาคนเป็นเจ้าบ่าวที่รับเธอไว้ในอ้อมแขนได้ทันท่วงที เรียกเสียงโห่ร้องเกรียวกราวจากบรรดาเพื่อนฝูงได้อีกยกใหญ่

“ไอ้หนึ่งใจเย็นๆ โว้ย เดี๋ยวก็เข้าห้องหอแล้วไม่ต้องรีบ” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของหนึ่งรพีเอ่ยล้อ ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะพากันหัวเราะเฮฮาไม่สนใจต่อสายตาพิฆาตที่ชายหนุ่มส่งไปให้แทนคำพูด

...ฝากไว้ก่อนเถอะพวกเอ็ง...


~~~~~~~~~



พิธีส่งตัวเข้าหอนั้นกินเวลาไม่นานนัก ระหว่างพิธีขวัญเกล้ารู้สึกถึงมือใหญ่อบอุ่นที่เกาะกุมปลายนิ้วเย็นเฉียบของตัวเองเอาไว้ตลอดเวลา

หญิงสาวนึกถึงช่วงเวลาเดียวกันนี้ของปีที่แล้วที่เธอรู้สึกคล้ายสูญสิ้นทุกอย่างไปในพริบตา ร่องรอยแห่งความหม่นเศร้าจางๆ ยังคงอวลอยู่ในใจ ทว่าขวัญเกล้ารู้ว่าวันเวลาจะช่วยทำให้มันเลือนหายและแปรเปลี่ยนเป็นความทรงจำของชีวิตในที่สุด...

...ต้องขอบคุณเพื่อนรักอย่างนทีจันทร์ที่ยื่นมือเข้าไปประคับประคอง ให้เธอสามารถก้าวผ่านคืนวันอันเจ็บปวดเหล่านั้นมาได้ และพาเธอให้มาพบกับแสงตะวันที่สดใสอย่างหนึ่งรพีอีกครั้ง...

“คิดอะไรอยู่หรือเกล้า?” เสียงนุ่มทุ้มของเจ้าบ่าวดังอยู่แค่ปลายหู พร้อมๆ กับที่อ้อมแขนแข็งแกร่งเลื่อนมาโอบกระชับอยู่รอบเอว

เธอยังไม่ทันตอบคำถามนั้น หนึ่งรพีก็วางคางลงบนบ่าเธอพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ขอพักหน่อยนะครับ เดี๋ยวต้องออกไปรับแขกกันอีก”

ลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดอยู่ตรงต้นคอทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก รู้แต่เพียงว่าหัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ก่อนที่ชายหนุ่มจะขยับตัวลงนอนหนุนตักเธอ มือใหญ่ยังกุมมือเธอไม่ยอมปล่อย

“เกล้าเหมือนของขวัญนะรู้ไหม? ของขวัญที่พี่ทำหล่นหายแล้วก็ได้กลับคืนมาอีกครั้ง พี่สัญญาว่าจะไม่ทำให้เกล้าเสียใจ” ความหนักแน่นในน้ำเสียงของชายหนุ่มสร้างความตื้นตันใจให้กับหญิงสาว เธอยิ้มออกมาทั้งน้ำตา

“อ้าว! ทำไมเผาเต่าซะแล้ว” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เกล้ารักพี่หนึ่งค่ะ อย่าทิ้งเกล้าอีกนะคะ”

“ไม่ทิ้งแน่นอนจ้ะ พี่สัญญา”


~~~~~~~~~



อากาศยามเช้าของบ้านสวนริมธารนั้นเย็นจัด หมอกน้ำค้างหนาหนักปกคลุมไปทั่วบริเวณจนมองเห็นสรรพสิ่งรอบตัวเป็นเพียงแสงเงาสลัวราง ขวัญเกล้าออกมานั่งสูดอากาศด้านนอกระเบียงบ้านรอสามีที่ออกไปดูไร่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

กระแสนิยมของการดูแลสุขภาพทำให้คนหันมาบริโภคผักไร้สารพิษมากขึ้น หนึ่งรพีจึงตัดสินใจขยายพื้นที่ปลูกผักออกไปให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด จากที่ตั้งใจจะปลูกไว้กินเองในบ้านและทำอาหารเลี้ยงลูกค้าที่มาพักผ่อนเพียงไม่กี่สิบคน

“ออกมานั่งตากน้ำค้างเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” หนึ่งรพีเอ่ยเสียงดุก่อนจะก้าวเข้ามาทรุดตัวลงบนพื้นตรงหน้า แม้อากาศจะเย็นหากใบหน้าคมคายชื้นไปด้วยเหงื่อจากการทำงานมาตลอดทั้งเช้า

“เหนื่อยไหมคะ?”

หญิงสาวแตะมือลงบนแก้มสากๆ โดยไม่นำมาพาต่อเสียงห้ามและอาการขยับหนีของชายหนุ่ม “เหม็นเหงื่อออก จะทักทายไอ้ตัวเล็กเท่านั้นเอง”

หนึ่งรพีพาเธอไปทำอัลตร้าซาวน์หลายครั้ง ทว่าท่าของทารกน้อยในครรภ์ทำให้ไม่สามารถบอกได้ว่าหนูน้อยมีเพศใด ชายหนุ่มจึงมักจะแทนตัวลูกน้อยในครรภ์ว่า...ไอ้ตัวเล็ก... เพราะอยากให้ลูกคนแรกเป็นผู้ชาย

“ไม่เห็นเป็นไรเลยค่ะ จริงไหมจ๊ะ” ท้วยประโยคเธอก้มลงพูดกับหน้าท้องกลมนูนของตัวเอง

ชายหนุ่มวางมือลงบนหน้าท้องภรรยาแผ่วเบา ในขณะที่ทารกน้อยตอบสนองด้วยการพลิกตัวแรงๆ ติดกันหลายครั้ง

“แรงดีแบบนี้สงสัยจะเป็นไอ้หนูจริงๆ อย่าดิ้นมากนะลูก...สงสารแม่เค้า”

แล้วคนที่บอกอยู่แหม็บๆ ว่าตัวเอง ‘เหม็นเหงื่อ’ ก็ซบใบหน้าลงบนหน้าท้องภรรยาหน้าตาเฉย


~~~~~~~~~



“อ้าว! พี่หนึ่งกลับมาแล้วเหรอคะ?” นทีจันทร์เอ่ยทักผู้เป็นพี่ชายก่อนจะวางชามข้าวต้มในมือลงตรงหน้าเพื่อนรักที่กลายมาเป็นพี่สะใภ้

“ไม่เห็นต้องลำบากยกมาเลยน้ำ เราแค่จะมีลูกนะไม่ได้ป่วย”

“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวไอ้ตัวเล็กเหนื่อย จริงไหมจ๊ะหลานอา”

สองพี่น้องดูจะออกอาการเห่อได้ไม่น้อยหน้ากัน นทีจันทร์ถึงกับทิ้งร้านกาแฟไว้ในความดูแลลูกจ้างสาวที่ยกระดับขึ้นมาเป็นหุ้นส่วน แล้วเก็บกระเป๋ามาพักอยู่ที่บ้านสวนเพื่อคอยดูแลเธอ ตั้งแต่ย่างเข้าเดือนที่หกของการตั้งครรภ์ โดยไม่สนใจต่อเสียงทัดทานของเพื่อนสาว

...‘แค่ร้านกาแฟจะมาสำคัญเท่าเพื่อนกับหลานได้ยังไง’ เจ้าตัวว่าไปนั่น...

“พี่หนึ่งไปอาบน้ำเลยไป ดูซิซบลงไปได้ยังไงตัวยังเปื้อนเหงื่ออยู่เลย” หญิงสาวตีเพี๊ยะลงไปบนไหล่หนาของพี่ชายพร้อมกับเอ่ยปากไล่

“เฮ้ย! จะมากไปแล้วนะไอ้น้ำ นี่มันลูกกับเมียพี่นะเว้ย” หนึ่งรพีโวยวายกับท่าทีเจ้ากี้เจ้าการของน้องสาว

“ไม่รู้ล่ะ ไปอาบน้ำเลยพี่หนึ่ง ยี้...สกปรก” ไม่พูดเปล่าแต่ยังใช้หัวแม่มือกับนิ้วชี้คีบไหล่เสื้อพี่ชาย ทั้งที่ยืนอยู่ในระยะห่างราวกับกลัวว่าจะถูกความสกปรกกระโดดเข้าใส่

“เดี๋ยวพ่อมานะลูก” บอกกับลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนจะลุกจากที่ เขาแยกเขี้ยวใส่น้องสาวที่ยืนทำหน้าเป็นต่ออยู่ข้างเก้าอี้ภรรยา หากตีความสายตาที่ชายหนุ่มส่งไปให้คงจะอ่านได้ว่า

...ฝากไว้ก่อนเถอะ...

ในขณะที่นทีจันทร์เองก็สบตาพี่ชายอย่างไม่ยอมแพ้

...แล้วอย่าลืมมาเอาคืนด้วยล่ะ...


ขวัญเกล้าหัวเราะเบาๆ กับกริยานั้นของสองพี่น้อง หญิงสาวรู้สึกถึงความสุขที่อวลอยู่รอบๆ ตัว บาดแผลในอดีตได้รับการเยียวยาจนหายดี เหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นเล็กๆ ให้เธอได้นึกถึงเป็นประสบการณ์ชีวิต

...คำพูดของสามีในวันแต่งงานผุดพรายขึ้นมาในความทรงจำ...

‘เกล้าเหมือนของขวัญนะรู้ไหม? ของขวัญ...ที่พี่ทำหล่นหายแล้วก็ได้กลับคืนมาอีกครั้ง’

...คนพูดจะรู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเขาเองก็เป็นเหมือนของขวัญล้ำค่าสำหรับเธอเช่นกัน ชีวิตเว้าๆ แหว่งๆ ของเธอถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์อีกครั้งด้วยความรักจากเขา...

...นับจากวันนั้น...ถึงวันนี้...และตลอดไป...


~~~~~~~~~



คุยกันท้ายเรื่อง


เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกในรอบสิบปีล่ะค่ะ
เขินมากๆ เลย เพราะไม่ได้เขียนมานานจนสนิทเกาะมือ
(ต้องเคาะกันขนานใหญ่)
แล้วธารก็ไม่มั่นใจด้วยว่าจะสื่อออกมาได้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า

ไม่อยากสารภาพเลยค่ะว่าโครงเรื่องที่คิดไว้ในตอนแรกน่ะ
เป็นอะไรที่แตกต่างจากเนื้องานที่ออกมาเหลือเกิน
(คิดไว้ว่าอยากเล่าเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างเพื่อน
แต่เอาเข้าจริงๆ กลับกลายเป็นเรื่องแนวรักโรแมนติกซะงั้น)
แถมยังเลทจากเวลาที่กำหนดไว้อีกต่างหาก
ต้องขอโทษทุกท่านด้วยนะคะ
คราวหน้าจะพยายามรักษาเวลาค่ะ



Create Date : 14 เมษายน 2552
Last Update : 29 เมษายน 2552 9:58:44 น. 24 comments
Counter : 654 Pageviews.

 
เจิมก่อนเลยนะคะ
แล้วเดี๋ยวค่อยๆละเลียด
อยากอ่านโรแมนติกแนวธาร นาวา
ว่าเป็นอย่างไรบ้าง...หวานขนาดไหน


โดย: nikanda วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:1:35:06 น.  

 
คนใหนคือข้าพเจ้า


โดย: i——才On IP: 140.116.189.144 วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:2:45:13 น.  

 
หวานนนนนนนนน มากเลยค่ะ


โดย: เทียนสี IP: 62.64.188.40 วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:2:52:27 น.  

 
its really nice..please keep adding your stories...


โดย: SENieez วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:5:24:09 น.  

 
ชอบค่ะคุณธาร
อ่านเพลินเลย


โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:9:00:28 น.  

 
โห..เรื่องสั้นเรื่องแรกในรอบสิบปี
ถูกอกถูกใจคนชอบอ่านนิยายรักแนวนี้อย่างเรา
แค่ชื่อตัวละคร ก็เก๋เชียวค่ะ..หนึ่งรพี..นทีจันทร์..ขวัญเกล้า

เนื้อเรื่องน่ารักดีนะ..พล๊อตอาจจะคล้ายกับนิยายรักทั่วไป
แต่คุณธาร เขียนออกมาได้กระชัด พอเหมาะพอเจาะ..อ่านเพลินดีค่ะ

ไม่ผิดเป้าหมายหรอก..เพราะเราอ่านแล้ว
ซึมซาบความรักของนทีจันทร์ได้มากทีเดียว

แอบโกรธพระเอกน่ะนี่..ทำไม๊ทำไม
ช่างเหมือนกับพระเอกนิยายทุกคนเลย
ที่ชอบเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งเสมอ
เรื่องของความรัก...เป็นเรื่องของคนสองคน
แม้พ่อแม่ของนางเอกจะดูถูกเขา..
แต่เขามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจคนเดียว
ที่จะทอดทิ้งความรักของตัวเองไปอย่างนี้
สมน้ำหน้า..ต้องทรมานใจที่ไร้รัก..ไปตั้งสามปี..อินค่ะอิน

โอเคเลยนะ..สำหรับของขวัญชิ้นนี้..ชอบค่ะชอบ

ดูองค์ประกอบทั้งหมดแล้ว...
เรื่องนี้สามารถเขียนต่อยอดเป็นเรื่องยาวได้เลยนะนี่


โดย: nikanda วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:16:22:31 น.  

 
อ่านเพลินเหมือนกันครับ

:)


โดย: หนุ่มน้อยกว่า วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:19:34:14 น.  

 
อิอิ สารภาพว่าอ่านไม่เป็นค่ะ ขอมาทักทายแปะคอมเม้นว่ามาแล้วนะคะ



โดย: printcess of the moon วันที่: 14 เมษายน 2552 เวลา:22:27:31 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่
ขอบคุณค่ะสำหรับคำอวยพรวันเกิด
เมื่อวานไม่ได้เข้าบล็อกเลยค่ะ
มาขอบคุณช้าไปวันเหมือนกัน
.......
แค่ชื่อหัวข้อก็เพราะแล้วค่ะ
ชื่อตัวละคร ยังเก๋อีกต่งหาก
นี่ขนาด เรื่องแรกในรอบ10 ปี
ยังดีขนาดนี้ ถ้าเขียนบ่อยๆ จะดีขนาดไหนเนี่ย


โดย: แม่ภูมิ (Artagold ) วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:8:27:36 น.  

 
มาตามรอยน้ำตาล อิๆ อยากตามสามหนุ่มสาวไปทุกที่เลยนะเนี่ย ทั้งกาด ทั้งบ้านสายปิง ทั้งบ้านสวน ซ้วบ


โดย: คุณพีทคุง (ลายปากกา ) วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:9:27:02 น.  

 
วัยหนูหล่อคงเลยแถวเนี้ยไปนาน
มากแล้วน่ะครับ แต่ก็รู้สึกได้ว่าหวานๆ
ปนน่าเอ็นดูและน่ากลุ้มดี ก็ชีวิตน่ะนะครับ
ต่างๆรสชาด

วันหลังเขียนอีกก็จะมาอ่านครับ
ถึงจะไม่ค่อยเก๊ตก็เอาน่ะ ไงๆเราก็ก๊วนเดียว
กันนี่นะ



โดย: หนูหล่อ (nulaw.m ) วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:13:43:20 น.  

 
เรื่องสั้นเรื่องแรกในรอบสิบปีเลยเหรอคะ

เดี๋ยวแวะกลับมาอ่านอีกรอบ


โดย: ปณาลี วันที่: 15 เมษายน 2552 เวลา:13:57:12 น.  

 
ว้าวววววว ..
ได้แต่อ่านไป ยิ้มไป
หลงเสน่ห์ของขวัญกล่องนี้ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
.
.
ฟี่ขอ add คุณ ธารไว้ด้วยคนนะคะ


โดย: Paulo วันที่: 16 เมษายน 2552 เวลา:9:08:33 น.  

 
สวัสดีค่ะ
แอบอู้งานมาคุยยามบ่าย

คุณนิกานดา : คนอ่านถูกใจ คนเขียนก็เป็นปลื้มค่ะ
จริงอย่างที่คุณแจงว่าไว้แหละค่ะว่าพล็อตเรื่องนี้สามารถทำเป็นเรื่องยาวได้
เพราะตอนที่ธารคิดปมเรื่องจะเยอะและซับซ้อนกว่านี้
แต่ดูจากเวลาแล้ว ธารไม่สามารถเขียนนิยาย(แม้จะเป็นขนาดสั้น)ให้จบได้ภายในสองอาทิตย์แน่ๆ
เลยปรับให้กลายเป็นเรื่องสั้นอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ

พี่ปราปต์ (i——才On) : เรื่องนี้พี่ปราปต์ไม่มีบทค่ะ
แหม...ใจคอจะเล่นให้ครบทุกเรื่องเลยหรือไงคะ?

คุณเทียน : ขอบคุณที่แวะมาทักทายกันค่ะ
เรื่องนี้หวาน...เพราะธารเติมน้ำตาลไปตั้งหลายถุงแน่ะค่ะ
อิอิ

คุณ SENieez : ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

คุณนาห์ : ขอบคุณค่ะ

คุณหนุ่มน้อยกว่า : ขอบคุณนะคะ

คุณ printcess of the moon : แค่แวะมาทักทายกันก็ยินดีมากแล้วค่ะ

คุณแม่ภูมิ : ดีใจที่มีคนชอบค่ะ
ตั้งแต่นี้ไปก็คิดว่าจะพยายามเขียนให้บ่อยขึ้นนะคะ
ยังไงก็ของฝากตัวไว้ด้วยคนค่ะ

พี่พีท : อยากชมสถานที่จริงต้องมาเที่ยวเชียงใหม่ค่ะ
รับรองจะพาเที่ยวให้ฉ่ำปอดเลยเชียว
^^

คุณหนูหล่อ : จริงๆ แล้วเรื่องนี้หวานแบบไม่จำกัดอายุคนอ่านค่ะ
เข้าไปทักทายที่บล็อกคุณหนูหล่อแล้วด้วยล่ะค่ะ
ต้นไม้เยอะมากๆ อ่านแล้วสบายใจจัง

คุณตูน (ปณาลี) : แวะมาอ่านหลายๆ รอบก็ได้นะคะ
ธารไม่ว่าอะไรหรอก ไม่คิดตังค์เพิ่มด้วย
ว่าแต่คุณปั๊ปของธาร(แอบอุบอิ๊บ)เมื่อไหร่จะมาคะ?
คิดถึง

คุณฟี่ : ด้วยความยินดีเลยค่ะ

ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความเห็นและการติดตามนะคะ
แล้วพบกันค่ะ
^^


โดย: ธาร นาวา วันที่: 16 เมษายน 2552 เวลา:15:54:19 น.  

 
รู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปในกระปุกน้ำตาลอย่างไรก็ไม่รู้ค่ะ คุณธาร

หวาน อบอุ่น สมหวังและก็มีความสุขอยากเขียนอะไรที่คนอ่านแล้วหัวใจอุ่นๆ แบบนี้บ้างจังเลยค่ะ


โดย: ปณาลี วันที่: 18 เมษายน 2552 เวลา:20:52:52 น.  

 
สวัสดีค่ะ แวะมาแกะห่อของขวัญบ้านนี้นะคะ
เรื่องสั้นในรอบสิบปีเลยคะ
ถ้ามีเรื่องอื่นอีกแวะไปชวนมาเที่ยวหน่อยนะคะ ^^


โดย: BeCoffee วันที่: 19 เมษายน 2552 เวลา:21:06:09 น.  

 
มาฟังเพลงอีกรอบ ชอบจังเพลงนี้ ฟังแล้ว ดื่มด่ำมากเลยค่ะ


โดย: teansri วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:0:24:05 น.  

 
พี่ธารจ๋า มาอ่านเรื่องสั้นคะ หนุกดีคะ


โดย: ชาจัง (สุรัสวดี ) วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:7:45:32 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่
แวะมาทักทายค่ะ
สบายดีนะคะ


โดย: แม่ภูมิ (Artagold ) วันที่: 22 เมษายน 2552 เวลา:7:53:41 น.  

 
คุณธารแต่งเรื่องสั้นได้หวานซึ้งไปเลย !

ชื่อเรื่องน่าสนใจมากค่ะ น่าจะเอาไปขยายทำเป็นเรื่องยาว ก็คงสนุกไม่แพ้กัน

ช่วงนี้อากาศร้อน แต่ทางเหนือคงสบาย...รึเปล่าคะ

ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ค่ะ


โดย: นางฟ้าหน้าหมวย (บินปร๋อ ) วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:10:01:44 น.  

 
อ่านแล้วหวานซึ้งดีครับ/พี่เอ //www.brand-a.com


โดย: พี่เอ IP: 125.26.113.159 วันที่: 23 เมษายน 2552 เวลา:16:57:33 น.  

 
โหๆๆๆ

ในรอบสิบปีเลยหรอค่ะ??

พี่ธารเริ่มขีดเขียนมาตั้งแต่อายุเท่าไรเนี่ย??


โดย: GoOsHa!R IP: 114.128.172.210 วันที่: 25 เมษายน 2552 เวลา:16:02:06 น.  

 
มาตอบคอมเมนต์ค่ะ

คุณตูน : เป็นปลื้มจริงๆ ค่ะที่คุณตูนรู้สึกแบบนั้น จะว่าไปแล้วคุณตูนก็เขียนเรื่องได้น่ารักนะคะ อ่านไปอมยิ้มไปทุกทีเชียวค่ะ

คุณ BeCoffee : ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ธารลงเรื่องต่อไปแล้วนะคะ (แต่แค่ครึ่งแรก เลยอาจจะต้องรอตอนจบอีกสักพักน่ะค่ะ)

คุณเทียน : เชิญตามสบายเลยนะคะ แค่เห็นว่าคุณเทียนแวะมาก็ดีใจมากแล้ว ^^

ชาจัง : ขอบใจมากจ้าที่มาติดตาม

คุณแม่ภูมิ : สวัสดีค่ะ

คุณนางฟ้าฯ : ดีใจจังที่คุณนางฟ้าชอบ ไม่แน่นะคะธารอาจจะขยายเรื่องนี้เป็นเรื่องยาวขึ้นมาอีกทีก็ได้ แต่อาจจะต้องดูเวลาก่อน ช่วงนี้งานหลวงงานราษฎร์ท่วมหัว ขยับตัวแทบไม่ได้เชียวค่ะ

พี่เอ : ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์แวะมา

น้องจอย : พี่เขียนๆ หยุดๆ จ้า
เริ่มเขียนจากพวกร้อยกรองตั้งแต่สมัยประถมแล้วล่ะ
เพราะคุณพ่อพี่ท่านชอบเขียนกลอน
ตอนหลังพอมาเรียนมัธยมถึงค่อยขยับมาเป็นพวกบทความ ร้อยแก้วบ้าง
แต่ไม่ค่อยถนัดเลยยืนพื้นอยู่ที่ร้อยกรองเป็นหลัก
เรื่องสั้นนี่พี่มาเขียนเอาตอนม.ปลายนะ
ตอนนั้นได้อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเป็นนักเขียน(ชื่อกิติยา สุวรรณ)ด้วยเลยไฟแรง
แต่พอเรียนมหาลัยต้องหยุด (ขอบอกว่าเภสัชฯนี่มันเรียนยากเหมือนกันนะเนี่ย)
พอเรียนจบก็อย่างที่เห็นคือ...
เริ่มต้นเขียนนิยายเลย(ข้ามขั้นมาก)
แล้วก็เขียนต่อเนื่องมาถึงตอนนี้
(สามปีแล้วยังไม่จบเสียที เหอ เหอ)
ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะจ๊ะ


โดย: ธาร นาวา วันที่: 27 เมษายน 2552 เวลา:23:15:09 น.  

 
Sweet..very sweet story, very simple but more meaning. You did great job..Love every bit of it..keep writing and i will keep coming......:)


โดย: PiCorn (Camille) IP: 71.81.178.101 วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:11:01:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธาร นาวา
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากสายธารลำเล็กๆ
หลอมรวมเป็นกระแสธาราอันกว้างใหญ่
หลั่งริน...ไหลระเรื่อย...
นำพาเอาความชุ่มชื้นฉ่ำเย็นมาสู่หัวใจผู้คน

ลายปากกา
Friends' blogs
[Add ธาร นาวา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.