ชีวจิตให้อะไรคุณได้บ้าง

น้ำตาลในเลือดต่ำ

ก่อนจะพูดถึงวิธีแก้น้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ HYPOGLYCEMIA ตามแนวชีวจิต ขออนุญาตคุยกับแฟนใหม่ของชีวจิตท่านหนึ่งเสียก่อน

คุณอมรเทพ บุญสำราญจิตต์ ได้ส่ง จม. มาคุยเรื่องคำศัพท์ภาษาต่างประเทศ มีข้อแนะนำดีๆหลายอย่าง ขอบพระคุณมากๆ

ผมพยายามโทร.ถึงคุณ 3-4 ครั้ง และติดต่อไปหลายเบอร์ แต่ไม่ได้คุยกับคุณ โดยเฉพาะเบอร์ สุดท้ายนั้น ท่านบอกกับผมว่าคุณจะทำงานเวลากลางคืนเท่านั้น ให้ผมโทร.ไปหาใหม่ตอนเย็นๆ ซึ่งผมรอไม่ได้ เพราะถึงเวลาเส้นตายที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับไทยรัฐเดี๋ยวนี้ รอคำตอบโทรศัพท์ตอนเย็นจากคุณไม่ได้

แต่คำบางคำซึ่งคุณแนะนำมาว่า "องค์รวม" ควรใช้ว่า "องก์รวม" นั้นผมว่าเข้าทีดี ผมจะใช้คำว่า "องก์ รวม" นี้ต่อไป ขอบคุณมาก

ทีนี้ก็มาถึงเรื่อง HYPOGLY- CEMIA หรือ CHRONIC FATIGUE SYNDROME CFS

เพื่อที่จะลองสำรวจดูตัวเองว่าคุณจะป่วยด้วย CFS หรือไม่ ขอให้คุณลองสำรวจอาการของตัวเองซึ่งได้แยกแยะไว้ 40 อาการ ดังที่ระบุไว้ในบทความ "ไทยรัฐ" อาทิตย์ที่แล้วนั้น

ถ้าคุณมีอาการ ตั้งแต่ 7 อาการขึ้นไป (คงไม่มีนะครับที่จะมีอาการครบทั้งหมด 40 อาการ ซึ่งถ้ามีผู้ป่วยซึ่งมีอาการครบ 40 อาการทุกอย่างแล้วละก็คงต้องใช้หมอเทวดารักษาแล้วครับ เท่าที่ดูแลคนไข้มามากถึง 25 ปี ยังไม่เคยพบใครที่มีอาการทั้งหมด 40 อาการเลย)

ถ้าคุณมีอาการเกิน 7 อาการขึ้นไป ผมว่าคุณควรจะเริ่มต้นแก้ไขตัวเองเสียก่อน ยังไม่ต้องไปหาแพทย์เพื่อขอมารักษา เพราะอาการต่างๆของ CFS นั้น สามารถรักษาได้ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติตัวเองอย่างเข้มงวด ก็จะสามารถรักษาตัวเองได้

โดยเหตุที่ต้นเหตุของอาการของ CFS นี้ขึ้นอยู่กับอาหาร ฉะนั้นข้อแรกที่สุด ขอให้คุณปฏิบัติดังนี้

1. ลดอาหารหรือเลิกกินอาหารแบบแป้งขาวโดยเด็ดขาด ขณะเดียวกัน ก็ควรตัดอาหารแบบหวานๆ โดยเฉพาะขนมหวานที่ทำจากน้ำตาล และอาหารประเภทขนมนมเนยด้วย

ที่แนะนำให้ลดอาหารประเภทแป้งขาวและของ หวานนี้ ก็เพราะทั้งแป้งขาวและอาหารหวานจะกลายเป็นไขมันชนิดหนึ่งเกาะอยู่ที่ตับและ ตับอ่อน

เมื่อเกาะอยู่ที่อวัยวะเหล่านี้มากขึ้น และเราไม่มีโอกาสจะเผาผลาญส่วนเกินของสารเหล่านี้ เช่น ไม่ได้ออกกำลังกายเลย หรืองานประจำมีแต่งานนั่งออฟฟิศ หรือเป็นงานนั่งเก้าอี้

อวัยวะส่วนนี้ก็จะทำงานไม่ได้เต็มที่ ไขมันส่วนเกินก็พอกพูนมากขึ้น กระบวนการเผาผลาญและการสร้างแรงงานของร่างกาย (METABOLISM) ก็หย่อนคลายหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลว
ทั้งๆที่ร่างกาย เราอ้วนท้วนหรือน้ำหนักมาก เรากลับไม่มีแรง

นั่นคือการเริ่มต้นอัน น้อยนิดของ CFS

2. ควรจะลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไขมันสูงด้วย เช่น เนื้อ หมู ไก่ ไข่ นม

แต่เราไม่ได้เป็นมังสวิรัติ ฉะนั้น เราจึงแนะนำให้กินปลา โดย เฉพาะปลาทะเล เพราะปลาทะเลมีไขมันประเภทดี คือ HIGH DENSITY LIPOPROTEIN หรือ HDL

ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ HDL เมื่ออยู่ในร่างกายในปริมาณที่พอดีแล้วจะช่วยละลายตัวไขมันเลว LDL (ไม่ควรเกิน 160 Mg/DL) ในตัวเราด้วย

พูดภาษาชาวบ้านอย่างง่ายๆก็คือ ว่า ในตัวเรานั้นมีทั้งไขมันดีและไขมันเลว ถ้าเรามีไขมันดีอยู่ในเกณฑ์ (คือประมาณ 35-65 Mg/DL) เจ้าไขมัน

ดีนี้ก็จะช่วยกำจัดไขมันเลวให้ลด ลงโดยอัตโนมัติด้วย

เมื่อพูดถึงเรื่องอาหาร คือ แป้งขาว ของหวาน และไขมันเลวแล้ว ก็ต้องพูดถึงพฤติกรรมในการปฏิบัติตัวด้วย คือ

3. คุณสูบบุหรี่จัดหรือเปล่า คุณกินเหล้ามากหรือเปล่า คุณดื่มกาแฟมากหรือเปล่า?

ถ้าคุณมีอาการเกี่ยวกับ CFS โดยเฉพาะอาการเหนื่อยเพลีย และอาการปวดหลัง ปวดเอว ปวดต้นคออย่างรุนแรง และคุณยังกินเหล้า สูบบุหรี่อย่างเต็มที่ต่อไป อาการเพลียและอาการปวดเนื้อ ปวดตัวของคุณจะมีมากขึ้น

ปวดเนื้อ ปวดตัวแบบ CFS นี้แปลกนะครับ มันจะปวดและเมื่อยไปหมดทั้งตัว ตัวอย่างง่ายๆ เวลาคุณลุกจากที่นอน ปรากฏว่าขยับเนื้อขยับตัวนิดเดียว ก็ปวดเมื่อยไปหมด

ฉะนั้น ต้องหยุดกาแฟ หยุดเหล้า หยุดสูบบุหรี่ พร้อมกันไปด้วย

4. อีกอย่างหนึ่งก็คือ บางท่านต้องกินยายาวอย่างเป็นประจำ อย่างเช่น บางคนกินแอสไพริน บางคนกินยากล่อมประสาท หรือยาประเภท TRANQUILIZER เป็นประจำ คุณลองปรึกษาแพทย์ประจำตัวของคุณดู ว่าจะลดยาประเภทนี้ลงได้หรือไม่

เพราะถ้าคุณลดยาประจำตัวของคุณได้ อาการเพลีย อาการปวดเมื่อย และการนอนไม่ หลับจะค่อยยังชั่วทันที

สำหรับ ยาแอสไพรินนั้น บางคนไม่ได้ป่วยมีอาการใดๆ แต่ครั้งหนึ่งประมาณสัก 30 ปีที่แล้วมาเห็นจะได้ มีความเชื่อกันว่ากินแอสไพรินเป็นประจำจะป้องกันโรคหัวใจได้

เมื่อมี ความเชื่อเช่นนี้ หลายคนกินแอสไพรินเป็นประจำมาเป็นเวลาหลายปี แต่จะป้องกันโรคหัวใจได้หรือไม่นั้น ยังไม่มีการวิจัยหรือศึกษากันอย่างจริงจังเลยครับ ว่าแอสไพรินช่วยป้องกันหัวใจได้หรือไม่

ฝากไว้เป็นข้อคิดก็แล้วกัน ครับว่า ควรจะทำอย่างไรดีสำหรับเรื่องแอสไพริน

5. อาการสำคัญอย่างหนึ่งของ CFS ก็คือ ยังไม่ถึงเวลากินอาหารเลย (เช้า-กลางวัน-เย็น) อยู่ๆมันก็หิวขึ้นมาเฉยๆ หิวมาก รู้สึกมันเหมือนท้องโบ๋ๆ และถ้าไม่ได้กินอะไรลงไป มันก็เพลีย จนรู้สึกเหมือนอยากจะเป็นลม

อยากจะเดินไปไหนก็ไม่ปกติ รู้สึกโงนเงนเดินไม่ตรงทาง สะดุดอะไรสักนิดก็ล้มลงไปเลย แถมยังมีอาการทางสมอง รู้สึกเหมือนเมาเหล้า จะคิดอะไรก็คิดไม่ออก สมองสับสนไปหมด

นี่ก็เพราะเรื่องของอาหาร วิธีแก้ได้ผลชะงักนักก็คือ กินอาหารชุดย่อยๆให้มากมื้อยิ่งขึ้น สมมติว่ากินอาหารหลัก 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก็ควรมีอาหารว่างแทรกระหว่างมื้อ เพิ่มจาก 3 มื้อ เป็น 5 มื้อก็ได้

แต่อาหารว่างเพิ่มขึ้นนั้น ควรจะเป็นอาหารเบาๆ อย่างเช่น ผลไม้ไม่หวาน แอปเปิ้ล มะละกอ หรือพวกของกินเล่นๆ เช่น ถั่วอัลมอนด์ หรือเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน ฯลฯ เหล่านี้กินเป็นของเล่น หรืออาหารมื้อย่อยได้

6. เรื่องความเครียด ถ้าปกติมีเรื่องเครียดเป็นประจำอยู่แล้ว หน้าตาก็ดูหมองคล้ำดูไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเกิดมีอาการ CFS มาผสมเข้าอีกทีนี้แหละคุณเอ๋ย ชีวิตมันก็จะมึนซึมถึงขนาดอย่างที่ นพ.
ไกแลนด์กล่าวว่า "มันไม่ทำให้คุณตายหรอกโรคนี้ แต่คุณรู้สึกอยากตาย"

ฉะนั้น คุณก็ต้องแก้เครียดเสียก่อน จะแก้อย่างไร? ก็ต้องหาสาเหตุของความเครียดให้ได้ แล้วก็แก้ที่ต้นเหตุความเครียดนั้น

ถ้า หาสาเหตุไม่ได้ ก็คงต้องคุยกันแล้วละครับ อยากจะนัดก็คงปรึกษากันก่อนได้นะครับ

7. ต้องออกกำลังกายครับ ต้องออกเยอะเลย ออกจนหมดแรงนั่นแหละ

8. ขอแนะนำวิตามิน ใช้กลุ่มวิตามิน B ทั้งหมด B1, B2, B6, และ B COMP. อย่างละเม็ด ต่อหนึ่งวัน ก็จะช่วยได้ครับ

นี่เป็นตัวอย่างการแก้ไขแบบชีวจิต จะอธิบายตัวอย่างโรคอย่างอื่น โดยวิธีรักษาแบบองก์รวมอีกครั้ง
ที่มา ไทยรัฐ

Create Date : 12 กรกฎาคม 2553 Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 0:06:21 น. Counter : 746 Pageviews.		3 comments
Share Tweet