ดับสังคมร้อนๆ ด้วยธรรมะเย็นๆ โดยท่าน ว.วชิรเมธี
ทั้งปีที่ผ่านมา การเมืองในบ้านเราดูร้อนระอุเป็นพิเศษ ผู้คนในสังคมเกิดความแตกแยก เรียกว่าหาความสุขกันแทบไม่เจอ แถมปลายปียังเจอปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกระลอกใหญ่ถาโถ มเข้ามาอีก คนส่วนใหญ่จึงยิ่งเกิดภาวะเครียด กลัดกลุ้ม และเป็นทุกข์

บทสัมภาษณ์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี พระนักคิดนักเขียนชื่อดังต่อไปนี้ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่อาจช่วยสะกิดใจให้ใครหลายๆ คนที่กำลังเดินหลงทางอยู่ในป่าและสังคมแห่งความทุกข์ หลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ ด้วยธรรมะที่ง่ายและเป็นสุข เพียงแค่ลองหยิบนำไปใช้

พระอาจารย์คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้การเมืองและส ังคมไทยวุ่นวายอยู่ในขณะนี้

อาตมามองว่ามันเกิดขึ้นจากสังคมไทยตกอยู่ภายใต้การบง การของกิเลส 3 ตัว ซึ่งอาตมาขอเรียกว่า กิเลสระดับหัวหน้าพรรคละกัน

กิเลสตัวแรกคือ ความโลภ ที่แสดงตัวออกมาเป็นระบบลัทธิทุนนิยมและทำให้คนไทยทั ้งประเทศมุ่งมั่นไปที่การมีเงินให้มากที่สุดจนให้ก่อ เกิดการคอรัปชันครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศไทย ตัวความโลภนี่เองเป็นปัจจัยที่ทำให้คนมีอำนาจอยากได้ ใคร่มีเกินขอบเขต และเมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการ ก็ใช้การคอรัปชันจนกลายเป็นวัฒนธรรม

กิเลสตัวที่สองคือความโกรธ เป็นนามของความเกลียดชัง เวลาคนเกลียดชังอิจฉาริษยากัน ก็ไม่อยากให้ใครได้ดี คนที่ได้ดีอยู่แล้วก็กีดกันคนระดับล่างไม่ให้ขึ้นมา ส่วนคนระดับล่างก็อยากได้ดี พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาข้างบนและคิดว่าจะทำอย่างไร ให้ตัวเองสมหวัง ซึ่งสุดท้ายความโกรธ ความเกลียดของคน ก็ทำให้สังคมไทยแตกความสามัคคีและทะเลาะเบาะแว้งกันเ องอย่างที่เห็น

กิเลสตัวที่สามคือความหลง การที่เรามีโลกทัศน์แบบวัตถุนิยมกันทั่วประเทศ คิดว่าความสุขเกิดจากความมั่งมี คนส่วนใหญ่จึงวิ่งไปหาเงิน ทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งเงิน โดยไม่สนว่าสังคมต้องพบกับภัยพิบัติอย่างไรบ้าง พุทธศาสนามีสุภาษิตอยู่บทหนึ่งที่บอกว่า ความโลภเป็นอันตรายต่อความดีงาม เห็นไหมว่าพอคนไทยโลภมากๆ ความดีงามในสังคมขาดหายไป เช่น ทำยังไงก็ได้ให้ประสบความสำเร็จโดยไม่คำนึงถึงความชอ บธรรม ทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรวยโดยไม่คำนึงเรื่องความสุจริ ต ทำยังไงให้อยู่ในตำแหน่งนานๆ โดยไม่ต้องถามว่ามีความสามารถคู่ควรกับตำแหน่งไหม เพราะอย่างนี้แหละสังคมไทยเลยวิกฤติทั่วหัวระแหง

อาตมามองว่าความขัดแย้งครั้งนี้นับเป็นจุดด่างที่สุด ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยครั้งหนึ่ง ที่ผ่านมาประเทศเราอาจต้องเผชิญความขัดแย้งบ้าง แต่มันไม่ได้ทิ้งมรดกความเกลียดชังเอาไว้ให้ ผิดกับคราวนี้ที่ความสามัคคีของผู้คนในสังคมไทยแตกกั นเป็นเสี่ยงๆ จนกระทั่งยอมทำอะไรก็ได้แม้ผิดศีลธรรม ทำอะไรก็ได้เพื่อให้ตัวเองชนะ โดยที่ไม่ต้องถามว่ามีความชอบธรรมรองรับหรือไม่

ที่สำคัญ ความขัดแย้งทำให้คนไทยเกลียดชังกันเอง ฆ่ากันเอง บ้านเมืองที่แตกความสามัคคี ใครไม่ต้องมาตีก็แตก ซึ่งที่ผ่านมา ถ้าบ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง เลือกตั้งใหม่มันก็หาย แต่ครั้งนี้ เลือกตั้งใหม่ก็เกิดวิกฤติเหมือนเดิม นี่คือความวิกฤติที่รุนแรงที่สุดในโลก ที่คนไทยมีส่วนช่วยกันสร้างขึ้นมา

สังคมไทยจะออกจากวิกฤตินี้อย่างไร

ทุกๆ คนต้องมาเรียนรู้ร่วมกันว่าอะไรคือเหตุปัจจัย ที่ทำให้เราคนไทยเดินทางมาถึงจุดที่วิกฤติที่สุดเช่น นี้ได้ อาตมาคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ คุณภาพคนไทยยังด้อยเกินไปสำหรับการเมืองการปกครองแบบ ประชาธิปไตย ที่ว่าด้อยเกินไปไม่ใช่ว่าญาติโยมไม่มีปัญญานะ มี แต่จะพูดถึงคนไทยชั้นบนสุดที่มีปัญญานั้น เขามีปัญญาแบบศรีธนญชัย คือกะล่อน และด้วยความกะล่อนนี่เองจึงพยายามใช้นโยบายต่างๆ ครอบครองคนไทยชั้นล่างให้อยู่ในอาณัติของตัวเอง แล้วพยายามทำให้คนไทยส่วนใหญ่อ่อนแอ เพื่อจะได้ปกครองง่ายและคอรัปชันได้ง่าย

การคอรัปชันง่ายๆ คือการทำร้ายประเทศที่เจ็บปวดที่สุด เพราะตัวเองได้ประโยชน์คนเดียว แต่คนทั้งประเทศเสียประโยชน์กันพร้อมหน้า แม้ว่าเราจะมีระบบประชาธิปไตยที่ดี แต่เมื่อคนที่ไม่มีคุณภาพเข้าไปสู่ระบอบนั้น ระบอบก็เสีย อันที่จริงเราจะออกแบบรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดเราก็ทำไ ด้ แต่เราลืมไปว่า เราไม่ได้ออกแบบคนที่จะไปใช้รัฐธรรมนูญนั้น เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดจึงเปิดช่องให้มีคอ รัปชันได้มากที่สุด

สำหรับทางออกที่จะช่วยให้สังคมไทยกลับมาสงบสุขมี 2 ทางในขณะนี้ คือ

1. ทางออกเฉพาะหน้า เราต้องก้าวข้ามความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยสันติวิธี การใช้สันติวิธี หมายความว่าให้ใช้การเจรจาเป็นเครื่องมือในการก้าวข้ ามความขัดแย้งครั้งนี้ โดยที่ไม่ให้มีคนตายเกิดขึ้นอีก และไม่ทิ้งความเกลียดชังไว้เป็นมรดกของสังคมไทย และไม่ทิ้งให้คนไทยแบ่งกันเป็นฝ่ายอย่างทุกวันนี้

2. ทางออกระยะยาว เราต้องปฏิรูปประเทศ แต่ไม่ใช่ปฏิรูปการเมืองไทยนะ ปฏิรูปประเทศไทยคือ ต้องปฏิรูปตั้งแต่ค่านิยมของสังคมไทย การเมืองการปกครอง การศึกษา เศรษฐกิจ ศาสนา และที่สำคัญสุดต้องปฏิรูปวัฒนธรรมประชาธิปไตย ให้หยั่งลึกลงไปในชีวิตของคน ทุกวันนี้คนเข้าใจคำว่าประชาธิปไตยน้อยมาก ฉะนั้นเราต้องปฏิรูปประเทศไทยทั้งระบบจึงจะสามารถนำบ รรยากาศบ้านเมืองกลับไปสู่ความร่มเย็นได้อีกครั้งหนึ ่ง

พระอาจารย์คิดว่าผู้นำแบบไหน ที่จะช่วยให้สังคมไทยก้าวหน้าและสงบสุข

ผู้นำที่ดีต้องมีธรรมะ ถ้าผู้นำถ้าไม่มีธรรมะก็ยากที่จะเป็นผู้นำที่ดี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้นำเปรียบเสมือนโคจ่าฝูง เวลาว่ายน้ำข้ามแม่น้ำ ถ้าโคจ่าฝูงว่ายตรง โคตัวอื่นก็ว่ายตรง ถ้าโคจ่าฝูงว่ายคด โคตัวอื่นก็ว่ายคด คนเป็นผู้นำถ้ามีธรรมะประชาชนก็มีธรรม ถ้าไม่มีธรรมะประชาชนก็ไม่มีธรรม เห็นไหมว่าผู้นำกับธรรมะมีเกี่ยวข้องกัน พูดง่ายๆ ว่า ผู้นำจะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับระดับธรรมะในห ัวใจผู้นำเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ผู้นำในปัจจุบันยังต้องมีความรู้ความสามารถ 4 อย่างเป็นอย่างน้อย คือ

1. มีศิลปะในการใช้คน เลือกคนมาทำงานให้เหมาะสมกับตำแหน่ง ไม่ใช่เลือกจากพรรคพวกหรือคนใกล้ชิด

2. ต้องเป็นคนที่เก่งเรื่องเศรษฐกิจ บ้านเมืองกำลังได้รับผลจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ถ้าผู้นำไม่มีความสามารถหรือแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ บ้านเมืองก็จะลำบาก

3. ต้องเข้าไปนั่งในใจประชาชน ถ้าประชาชนไม่ศรัทธาผู้นำประเทศ ความเชื่อมั่นหรือความสามัคคีในประเทศก็จะเกิดยากและ จะมีแต่ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้น

4. ต้องมีวาทศิลป์ในทางการพูด เพื่อทำให้คนในสังคมเกิดความสามัคคี ไม่ใช้พูดให้เกิดความแตกแยก

ท่ามกลางปัญหาสังคมในขณะนี้ พระอาจารย์คิดว่าเราจะหาความสุขได้จากที่ไหน

อย่างที่รู้ๆ กันว่า คนส่วนใหญ่ยังใส่ใจความสุขทางวัตถุมากกว่าทางจิตใจ ซึ่งการที่คนมีความสุขกับวัตถุมากกว่านั้นแสดงว่า บ้านเมืองนั้นๆ ยังไม่พัฒนา ถ้าผู้คนพัฒนาแล้ว มีการศึกษาแล้ว ผู้คนก็จะมีความสุขทางปัญญา

สำหรับความสุขทางวัตถุนั้นก็คือ ความสุขทางกามารมณ์ ที่มาจากจากตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้รับการเติมเต็ม เป็นความสุขแค่เพียงภายนอก ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ความสุขที่แท้จริงมันมีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้ น เช่น ความสุขจากการใช้ปัญญาศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในสิ่งที ่ตัวเองอยากรู้และเป็นประโยชน์ ก็เป็นความสุข หรือความสุขจากการมุ่งมั่นภาวนาที่จะพัฒนาตัวเองไปสู ่การช่วยเหลือผู้อื่นหรืออุทิศตนเพื่อรับใช้มนุษยชาต ิ

อาตมาจึงแนะนำให้ญาติโยมทุกท่าน เรียนรู้หาความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเราเปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือความคิดของคนให้รู้ว่าค วามสุขมีพัฒนาการหลายขั้นตอน คนส่วนใหญ่ก็จะมีแนวทางในการแสวงหาวามสุขที่สูงขึ้นโ ดยอัตโนมัติ แต่น่าเสียดายที่ว่าระบบการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้คนรู ้จักการมีความสุข การศึกษาไทย สอนให้คนเรียนรู้การทำมาหากิน เพราะฉะนั้นเมื่อทำมาหากินไม่เป็น ก็จะกลายเป็นการทำมาหากรรม มันเลยเกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่รู้จักความสุขหรือตามหาความสุขที่แท้จริงไม่เจอสั กที

อาตมาคิดว่า ถ้าอยากให้ทุกคนมีความสุขและหาความสุขของในภาวะสังคม แบบนี้เจอ ก็ต้องทำการเรียนการสอนสองบทบาท ระดับแรกคือ สอนให้เด็กและเยาวชนได้ปริญญาสองใบ คือปริญญาวิชาชีพ ทำมาหากินสุจริตเป็น และปริญญาวิชาชีวิต ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางความทุกข์ได้อย่าง มีความสุขซึ่งจะช่วยให้เขาสามารถบริหารจัดการกิเลสได ้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าเขาได้ปริญญาสองใบจะกลายเป็นคนที่มีคุณภาพ เขาก็จะรู้เองว่า ชีวิตไม่ได้จบแค่การครอบครองวัตถุ แต่มีอะไรที่สูงกว่านั้นอีกมากมาย อยู่กับวัตถุน้อยลง แต่ความสุขในหัวใจมากขึ้น

ระดับสอง คือการเรียนรู้หลักธรรมทางพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการศึกษา หลักการศึกษาเราเรียกว่าไตรสิกขา คือการศึกษา 3 ด้าน ศีล คือพฤติกรรม สมาธิ คือจิตใจ และ ปัญญาคือความรู้ ความเข้าใจต่อโลกอย่างถ่องแท้ ฉะนั้นกระบวนการต่างๆ ในพุทธศาสนาจึงเป็นกระบวนการของการศึกษาทั้งหมด ถ้า คุณอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงอะไร พุทธศาสนาจะช่วยคุณได้อย่างดีที่สุดและลึกที่สุด ไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหน เพราะความสุขได้เข้าไปอยู่ในจิตใจของคุณแล้ว

หลักธรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับการคลายทุกข์ของผู้คนใน ยุคนี้คืออะไร

อาตมาอยากบอกว่า ความทุกข์เป็นอนิจจัง เกิดขึ้นได้ก็ดับลงได้ คนจำนวนมากเวลาความทุกข์เกิดขึ้นชอบคิดว่าตัวเองสิ้น หวัง ทั้งที่จริงแล้ว หารู้ไม่ว่าความทุกข์มันจะเกิดขึ้นมาพักหนึ่งก็จะดับ ลงไปเอง ไม่ต้องไปนั่งทุกข์หรือดับชีวิตตัวเองหรอก ถ้าทุกคนเข้าใจว่าความทุกข์ต่างๆ มันเป็นอนิจจัง คือเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป เราก็จะไม่มานั่งจมกับทุกข์และเรียนรู้ที่จะสู้ต่อไป โยมต้องคิดว่าเกิดมาเราก็มาตัวเปล่า ต่อให้เราเหลือเสื้อผ้า 1 ชุดตอนตาย เราก็ยังเหลือกำไรอยู่ดี อย่าไปกลัวเลยกับความทุกข์

แต่ให้มองว่าความทุกข์คือฤดูกาลของชีวิต คนฉลาดเวลาหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว เข้ามาจะไม่ย้ายตัวเองหนีฤดูกาล แต่เรียนรู้ที่จะอยู่ท่ามกลางฤดูกาลของชีวิต ด้วยการปรับตัวอย่างเท่าทัน รอบคอบ และมีสติ

จงเรียนรู้และรับมือกับความทุกข์ไปเถอะ เพราะทุกๆ ครั้งที่เราเผชิญวิกฤติแล้ว แล้วเราเป็นฝ่ายชนะ เราก็จะมีประสบการณ์มาเป็นของแถมเสมอ สุดท้ายเราก็จะเป็นผู้ที่อยู่กับวิกฤติอย่างมีความสุ ข และจะขอบคุณวิกฤติต่างๆ ที่ผ่านมาเข้ามา เพราะได้รู้ว่าวิกฤตินั่นแหละ สอนให้เราเรียนรู้ที่จะหยัดยืนอย่างสง่างามในโลกใบนี ้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้เผชิญชีวิตด้วยปัญญานับว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด การดำเนินชีวิตด้วยปัญญาคือ มีชีวิตที่ดีที่สุด คนทุกรุ่นควรดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เราจะมีชีวิตที่ดีที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตด้วยโลภ วิ่งไปหาเงิน วิ่งไปหาความโกรธ วิ่งไปหาความอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดี ทำลายกันเอง เสียเวลาในชีวิตแสวงหาวัตถุมากมาย ก่อนที่จะค้นพบความจริงค้นภายหลังว่า ทรัพย์สินที่หาเอาไว้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้สักอย่าง คนยุคนี้จึงไม่มีความสุข เพราะตลอดชีวิตดำเนินชีวิตภายใต้การบงการของความโลภ โกรธ หลง

ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือ เราต้องหันมาดำเนินชีวิตอย่างมีปัญญา รู้ว่าความโลภไร้ขีดจำกัด ถ้าเราตามความโลภไป เราจะตายเสียก่อน ความโกรธนั้นนำมาซึ่งความรุนแรง ถ้าเราโกรธเสมอๆ วันหนึ่งเราจะก่อความวินาศให้กับตัวเองและคนอื่น เพราะทุกครั้งที่ไฟจะไหม้อะไรก็ตาม ไฟจะไหม้ตัวเองก่อนเสมอ ถ้ารู้ว่าความหลงเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็รีบถอนตัวเองออกมาดำเนินชีวิตด้วยปัญญา

ถ้าเรามีปัญหาก็เปรียบเสมือนเรามีตามที่สาม ต่างจากคนทั่วไปที่มีเพียง 2 ตา ที่ดำเนินชีวิตรอดบ้างไม่รอดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ถ้าเรามีตาที่สามคือปัญญา ตานั้นแหละ จะทำหน้าที่พาเราไปพบแต่สิ่งที่ดีในชีวิต

คนทั่วไปชอบมองธรรมมะเป็นเรื่องเข้าใจยาก แต่เราจะนำมาใช้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร

คนมองว่าธรรมะเป็นเรื่องยากและไกลตัวนั่นเป็นความเข้ าใจผิดของเขา ธรรมะเป็นเรื่องง่ายๆ สบายๆ และไม่ไกลตัว แต่เป็นเรื่องในตัว เราต้องปรับทัศนคติของเราให้ถูกต้อง เป็นหน้าที่ของผู้เผยแผ่ธรรมะ ชี้ชวนให้เห็นว่าเป็นเรื่องง่ายดายและอยู่ในชีวิตประ จำวัน เช่น เวลาหิวทานข้าว ทานจนอิ่มแล้วดื่มน้ำตามไป ลุกไม่ไหวเพราะอะไร จุกเสียดแน่นเฟ้อ ครั้งต่อไปทานข้าว ก็ทานแต่พอดี ซึ่งคุณก็จะค่อยๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนธรรมะอะไรลึกซึ้งนะ ท่านสอนแค่ว่าอะไรดีก็ทำอะไรชั่วก็เว้น การที่เราจะรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ทำอย่างไร ก็คือการใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจให้ถูกต้อง รู้จักใช้ตาดูแต่สิ่งที่ดีๆ หูฟังแต่สิ่งที่ดีๆ จมูกดมแต่กลิ่นที่ไม่มีพิษภัย ลิ้นชิมแต่รสที่โอชา กายก็สัมผัสสิ่งดีงาม อะไรที่ไม่ใช่ของเรา อย่าเอามือไปสัมผัส ใจก็หัดคิดแต่สิ่งที่ดีเป็นกุศล การที่ใครคนหนึ่งรู้จักใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่างมีสตินั่นแหละ คือเขากำลังปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมมันง่ายนะ ถ้าใครทำได้นั่นคือการปฏิบัติธรรม

การนำธรรมะมาใช้ในครอบครัวให้มีความสุขก็เป็นเรื่องง ่ายมาก อยากนำธรรมะมาใช้ในครอบครัวต้องมีธรรมะเป็นตัวอย่าง ทุกคนในครอบครัวก็จะหันมาสู่ธรรมะโดยอัตโนมัติ ต้องไม่ลืมนะ ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสัตว์ฝูง ถ้าตัวนำฝูงเป็นอย่างไร ตัวที่อยู่ในฝูงก็เหมือนกันทั้งหมด


----------------------------------------------



ที่มา : //www.junjaowka.com/webboard/showthread.php?t=56631

สวัสดี ปีใหม่ เพื่อนๆชาว bloggang ทุกท่าน นะครับ
ขอให้ ธรรมมะ คุ้ม ครอง



Create Date : 30 ธันวาคม 2551
Last Update : 30 ธันวาคม 2551 8:57:22 น.
Counter : 445 Pageviews.

3 comments
  
สวัสดีค่ะ

ขอบคุณที่ไปเยี่ยมบล๊อกน่ะค่ะ


ดับสังคมร้อนๆ ด้วยธรรมะเย็นๆ เป็นสิ่งที่ดีน่ะค่ะ

แต่ยาวจังเลย อิอิ







ยังไงก้สวัสดีปีใหม่ มีความสุขกันถ้วนหน้าน่ะค่ะ :))
โดย: akarima วันที่: 30 ธันวาคม 2551 เวลา:19:18:26 น.
  
โดย: ความเจ็บปวด วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:4:03:44 น.
  
ลึดซึ่งดีจริง ๆ รู้สึกว่าคุณ Thaimufc จะเลือกคัดมาเเต่ตอนที่น่าสนใจทั้งนั้นเลย ขอบคุณมาก เเละขอสวัสดีปีใหม่ด้วยนะครับ
โดย: Wild Strawberries วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:17:59:36 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Thaimufc
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ธันวาคม 2551

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
17
20
22
25
27
28
29
31
 
 
All Blog