ธรรมมะหลับสบาย โดยท่าน ว.วชิรเมธี
ธรรมะหลับสบาย (ว.วชิรเมธี)


ธรรมะหลับสบาย
ข้อคิดสลัดตัวโกรธจากชีวิตและเตียงนอน โดย ว.วชิระเมธี



ปราณ

ครูขอบใจมากสำหรับจดหมายที่ส่งตรงมาจากลอนดอนตามที่เคยสัญญาเอาไว้ ตอนนี้เมืองไทยของเราอากาศกำลังอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาวพอดี ครูเองก็กำลังง่วนอยู่กับการเขียนตำราและนำภาวนาบ้างในบางวัน ซึ่งเท่าที่ครูสังเกตดูสองสามปีมานี้มีคนรุ่นใหม่หันมาสนใจการบำเพ็ญจิตภาวนาเพิ่มขึ้น
เอาไว้วันหลังมีโอกาสเหมาะ ๆ ครูจะขยายความเรื่องนี้ให้ฟังอีกที



วันวานมีลูกศิษย์ของครูคนหนึ่งโทรศัพท์ทางไกลมาหาครู
เท่าที่ฟังจากปลายสาย ครูรู้ว่าเขากำลังทุกข์มาก ประโยคแรกที่เขาขอร้องกับครูก็คือเขาขอให้ครูช่วยทำให้หายโกรธด้วย
เธอเชื่อไหมว่า คนที่เป็นนายคนไม่น้อยกว่าห้าสิบคนในบริษัทแห่งหนึ่ง สำเร็จการศึกษามาจากเมืองนอก บริหารธุรกิจนับร้อยล้าน
แต่ไม่สามารถบริหาร “อารมณ์โกรธ” ของตนเองได้


คนอย่างนี้ควรจะเรียกว่าประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวดี


อย่างไรก็ตาม ครูได้เตือนให้เขาสงบจิตใจและฟังครู
เขาทำตามอย่างว่าง่าย เพราะคบหากับครูมานานแล้ว ครูบอกให้เขาชูมือของตัวเองขึ้นมาแล้วลองพินิจดูว่า
นิ้วแต่ละนิ้วนั้นสั้นยาวเท่ากันหรือเปล่า
ครูบอกเขาว่าถ้าเธออยากให้นิ้วโป้งยาวกว่านิ้วกลาง
อยากให้นิ้วนางยาวเท่านิ้วชี้ เธอก็จะทุกข์ทันที

เขาถามว่าทำไม
ครูตอบว่า เพราะความอยากที่สวนทางกับธรรมชาติของความเป็นจริงเช่นนั้น
ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้เลย



เมื่อความอยากเดินสวนทางกับความเป็นจริง มีหรือที่เธอจะไม่ทุกข์



เธอคงเริ่มสงสัยว่า แล้วนิ้วทั้งห้าเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้
ครูจะขยายความให้ทราบอยู่เดี๋ยวนี้แหละ
เพราะต้นตอแห่งความโกรธของลูกศิษย์ของครูคนนั้น
มาจากการที่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งทำงานชิ้นสำคัญ
ไม่เสร็จตรงตามเวลาที่เขากำหนดเอาไว้ เมื่อลูกน้องมารายงานให้ทราบว่างานไม่เสร็จตามเป้าหมายจึงเกิดการ
“เทศน์นอกธรรมาสน์” กันขึ้น



เมื่อต่างฝ่ายต่างก็แรงเข้าหากัน
เพราะถือว่าต่างก็มีดีด้วยกันทั้งคู่ (อหังการ/ฉันแน่) สุดท้ายลูกน้องคนนั้นซึ่งเป็นคนสำคัญของบริษัท
เป็นฝ่ายหมดความอดทนก่อน เขาจึงประกาศขอลาออก
และให้สัตย์สาบานว่าจะไม่มาเหยียบที่บริษัทนั้นอีก
ซ้ำยังท้าทายด้วยว่า ถ้าขาดเขาเสียคนหนึ่ง บริษัทจะไปไม่รอด
เพียงเท่านี้แหละเธอเอ๋ย ลูกศิษย์ของครูซึ่งเป็นผู้บริหารโกรธจนตัวสั่นที่ถูกท้าทาย แต่พอลูกน้องเดินลับสายตาออกไปแล้ว
ความเสียใจอย่างลึกซึ้งก็เคลื่อนตัวเข้ามาแทนที่ความโกรธ คราวนี้ไม่โกรธลูกน้อง

แล้วแต่เป็นการโกรธตัวเอง
ที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตนจนทำให้คนของตัวเองซึ่งคบหาพึ่งพากันมานาน
ต้องมาเลิกร้างห่างเหินกันไปอย่างไม่ไยดี

เธอลองคิดดูสิว่า หากเธอเป็นนายคนแล้วเสียลูกน้องมือดี
ไปแบบกู่ไม่กลับอีกแล้ว เธอจะโกรธตัวเองไหม จะเสียใจไหม
หากเป็นครู ครูก็คงเสียใจไม่น้อย



แต่ที่ครูเสียใจไม่ใช่เพราะเสียดายเขา แต่เสียใจที่ครูปล่อยให้เขากับครูเกิดความบาดหมางระหว่างกันขึ้นมาจนได้

ครูถือคติว่า เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่ง ไม่ควรโกรธหรือเป็นศัตรูกับใคร และไม่ควรสร้างเงื่อนไขให้ใครต้องมาเป็นศัตรูกับเรา คนจีนเขาสอนลูกหลานกันมานานหลายชั่วคนแล้วว่า
“มีมิตร ๕๐๐ คนยังน้อยไป มีศัตรู ๑ คนก็นับว่ามาเกินพอ”

คนเรากว่าจะคบกัน เรียนรู้กัน เชื่อใจกัน และร่วมมือร่วมใจกันลงหลักปักฐานทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งจนเติบโตมาด้วยกัน ทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จทางธุรกิจ ต้องใช้เวลาเรียนรู้กันนานเหลือเกิน แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดีก็กลับมาแตกคอกันเอง
กลายเป็นน้ำแยกสายไผ่แยกกอ เพียงเพราะตกเป็นทาสของความโกรธชั่ววูบ
เดียว




เรื่องอย่างนี้เป็นใครก็ต้องเสียใจเป็นธรรมดา
ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไปเราได้ค้นพบว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด
ความเสียใจซึ่งมันควรจะจบไปแล้วในอดีต
ก็จะวกกลับมาทำร้ายเราซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้กี่ครั้งกี่หน
เพราะเหตุนี้เอง ครูถึงได้บอกว่า เกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหนึ่งแล้ว อย่าได้เป็นศัตรูกับใครเขาเลย
เพราะไม่เพียงแต่เราจะเจ็บปวดจากการทำร้ายของศัตรูเท่านั้น หากเราเองยังจะต้องเจ็บปวดเพราะการทำร้ายตัวเองด้วย “ความทรงจำอันเลวร้าย” ที่แทรกตัวอยู่ในจิตใจสำนึกของเราเองอีกต่างหาก



ครูบอกเขาว่า นิ้วทั้งห้าของคนเรานั้นสั้นยาวไม่เท่ากันฉันใด คนทุกคนต่างก็มีศักยภาพทางสติปัญญาไม่เท่ากันฉันนั้น
ก่อนที่เราจะดุใครหรือโกรธใคร ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง เพื่อน คนรัก
หรือลูกศิษย์ของเราก็ตาม จึงควรถามตัวเองก่อนว่า เราใช้เขาให้สอดคล้องกับศักยภาพอันแท้จริงของเขาหรือไม่ เพียงไร
(Put the right man on the right job)
หากเราคิดเช่นนี้ทุกครั้งก่อนที่จะดุหรือตำหนิคนอื่น
เราจะพบว่าแท้ที่จริงแล้ว คนที่ควรตำหนิมากที่สุดก็คือตัวของเรานั่นเอง เขียนมาถึงตรงนี้ทำให้ครูนึกถึงกวีนิพนธ์บทหนึ่งว่า



เมื่อพูดไปเขาไม่รู้กลับขู่เขา ว่าโง่เง่างมเงอะเซอะนักหนา
ตัวของตัวทำไมไม่โกรธา ว่าพูดจาให้เขาไม่เข้าใจ

เมื่อครูพูดมาถึงตอนนี้ ครูสังเกตเห็นว่าเสียงของคู่สนทนาค่อยแจ่มใสขึ้น และสุดท้ายเขาก็สามารถหัวเราะเยาะความโง่เขลาของตัวเองได้อย่างอาจหาญ
เขาสัญญากับครูว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก และครูเองก็ดีใจที่วันรุ่งขึ้นเขาโทรศัพท์มาบอกครูว่า
เขา “เคลียร์” ทุกอย่างให้จบลงด้วยดีแล้ว ครูถามเขาว่าทำได้อย่างไร



“ขอโทษครับ ผมผิดเอง”

คือคำตอบที่เขาใช้กับลูกน้องคนสำคัญของตัวเอง
และด้วยถ้อยคำง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำนี้เอง
ฟ้าหลังฝนก็กลับมาสดใสเหมือนเดิม

ปราณ เธอคงงงมากสินะว่า คำว่า “ขอโทษครับ ผมผิดเอง”
มีปาฏิหาริย์มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ



ตามหลักทางจิตวิทยาเธอก็คงรู้ดีว่า
มนุษย์ทุกคนล้วนอยากให้คนอื่นมองเห็นตนว่าเป็นคนสำคัญ
และต่างก็มี “ปม” ด้วยกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างตามแต่ภูมิหลังของใครของมัน คนบางคนก็มีปมอยากเด่น บางคนก็มีปมด้อยที่อยากปกปิด บางคนก็มีปมที่อยากชดเชยให้กับตัวเอง
แต่ปมทั้งหมดนั้น พระพุทธเจ้าของเราทรงใช้คำสั้น ๆ เรียกมันว่า “ตัวกู”
และเรื่อง “ของกู” เท่านั้นเอง



โดยเฉพาะเรื่อง “ตัวกู” นั้นสำคัญยิ่งกว่า “ของกู” อีกหลายเท่าตัวทีเดียว
เพราะถ้าไม่มี “ตัวกู” ความรู้สึกว่า “ของกู” ก็ไม่เกิดตามมา



ที่ลูกน้องระดับ “มืออาชีพ” ของเขารีบหายโกรธเจ้านายทันที
หลังจากที่ได้ยินคำว่า “ขอโทษครับ ผมผิดเอง” นั้น
ก็เป็นเพราะเขาซึ่งเป็นผู้ฟังอยู่รู้สึกว่า “ตัวกู” ของเขาไม่ผิด
ตัวกูของเจ้านายต่างหากที่ผิด
เมื่อผลักความรู้สึกผิดออกไปจากอกของตัวเองเสียได้
และมีคนมารับช่วงเป็นเจ้าของความผิดแทนตัวกูของเขา ก็เป็นไทและพ้นจากความผิด ส่วนการที่เจ้านายขอให้เขากลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่งนั้น
ก็เป็นเพราะผู้ฟังรู้สึกว่าตัวกูของเขา ได้รับการเชิดชูให้ลอยเด่นขึ้นมา โดยผู้ที่ยกให้ลอยนั้นเป็นเจ้านายของเขาเสียด้วย เขาจึงยอม



เรื่องนี้ฟังดูก็เหมือนง่าย แต่ความจริงมันยากมากทีเดียวที่จะทำให้เป็นจริงในทางปฏิบัติ เพราะคงจะมีคนที่เป็นนายคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมลด “ตัวกู” ของตัวเอง
ให้อยู่ต่ำกว่า “ตัวกู” ของลูกน้อง

ตรงนี้แหละที่ครูถือว่าเป็นเคล็ดลับของการบริหารตัวกูละ

ถ้าเธอเข้าใจเรื่อง “ตัวกู” ทั้งของตนและของคนอื่น เธอก็ควรจะรู้ว่าถ้าเธออยากอยู่กับคนทั้งโลกอย่างมีความสุขก็จงถือคติ



๑. อย่าดูหมิ่นตัวกูของใคร
๒. อย่าอวดตัวกูข่มใคร เพราะจะทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างตัวกู
๓. อย่าขโมยตัวกูของใครมาเป็นตัวกูของตัวเอง (อันเดียวกับขโมยลิขสิทธิ์นั่นเอง)
๔. อย่ามีตัวกูแทรกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก



คนเราทุกคนรักตัวกูยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ที่โกรธ เกลียด ชิงชัง ทำลายล้างกันอย่างมโหฬารอยู่ทุกวันนี้
ล้วนมีที่มาจากเจ้า “ตัวกู” นี้ทั้งนั้น
เจ้าตัวกูนี้ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะกำจัดมัน บางมีมันก็ขยายตัวจนกลายเป็นตัวกูระดับประเทศหรือระดับโลก อย่างตัวกูของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งใคร ๆ แตะไม่ได้เลย


ตัวกูจึงเป็นรากฐานที่ตั้งที่เกิดของความโกรธทุกระดับชั้น ตั้งแต่ความโกรธของปัจเจกชนไปจนถึงความโกรธของคนทั้งประเทศและของโลก ถ้าเราหมดตัวกูได้เมื่อไร ก็หมดความโกรธ หมดปัญหา และหมดทุกข์ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ผู้หมดตัวกูแล้ว ท่านถึงไม่เคยต่อล้อต่อเถียงหรือโกรธกับใครเขาทั้งโลกเลยยังไงล่ะ

ครูเอง


-----------------------------------------------------


ที่มา ://pha.narak.com/topic.php?No=12642



Create Date : 06 มกราคม 2552
Last Update : 6 มกราคม 2552 10:22:49 น.
Counter : 519 Pageviews.

6 comments
  
แวะมาเก็บคำแนะนำดีๆค่ะ
โดย: BeachBum วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:10:41:25 น.
  
kob khun mak na krub k.Thaimufc

have a nice day krub ^^
โดย: Wild Strawberries วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:10:51:09 น.
  


แวะมาส่งความสุขเนื่องในวันปีใหม่ค่ะ ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ ปีใหม่นี้ก็ขอให้สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตนะคะ ตลอดปีและตลอดไปค่ะ

โดย: แม่น้องแปงแปง วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:15:42:03 น.
  
ขอบคุณค่ะ
โดย: Mimi-jaiko วันที่: 6 มกราคม 2552 เวลา:23:47:35 น.
  
เพิ่งอ่านจบครับ
โดย: คนขับช้า วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:22:21:24 น.
  
อ่านแล้วรู้สึกดีเลยคะ ^^
โดย: ใหม่ IP: 192.168.2.30, 58.8.145.168 วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:0:17:32 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mr.Thaimufc
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



มกราคม 2552

 
 
 
 
1
2
3
4
5
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog