Group Blog
 
 
มิถุนายน 2555
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
16 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 
เปิดใจคุณแม่เด็กเก่ง "ปิงปอง" ที่ 1 เหรียญทองชีววิทยาโอลิมปิก

พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน และลูกชาย (เจนวิทย์) เจ้าของเหรียญทองชีววิทยาโอลิมปิก ปีพ.ศ. 2550
       การเลี้ยงดูลูก เป็นการใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ประกอบกัน เด็กๆ จะเติบโตขึ้นมาอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับต้นทุนชีวิต เช่น ความรัก ความอบอุ่น การหล่อหลอมจากพ่อแม่ การศึกษา รวมไปถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัว ซึ่งทั้งหมดนี้ สามารถออกแบบได้ด้วยสองมือของพ่อแม่
       
       บอกเล่าได้จาก พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาลบางปะกอก 1 คุณแม่ของนายเจนวิทย์ วงศ์บุญสิน (ปิงปอง) เจ้าของเหรียญทองชีววิทยาโอลิมปิก ปี พ.ศ. 2550 ซึ่งทำคะแนนสูงสุดได้เป็นอันดับ 1 ของโลก การเลี้ยงลูกให้เก่ง ดี และมีความสุขในชีวิต สามารถออกแบบได้ด้วยวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ โดยเฉพาะการเลี้ยงดูบนพื้นฐานความรัก และความเข้าใจ คือหัวใจสำคัญที่เธอและสามียึดมั่นมาโดยตลอด
       
       พญ.จิตรา เปิดเผยแนวทางการเลี้ยงลูกให้เก่ง และดีในงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อเยาวชน (วทท.เพื่อเยาวชน) ครั้งที่ 7 เมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า พ่อแม่ทุกคนเป็นพลังให้ลูกได้จากความใกล้ชิด และความผูกพัน ส่งผลให้เด็กมีความสุข และความมั่นใจ ในขณะที่พ่อแม่บางคนพอเลี้ยงลูกเองแล้วเกิดปัญหาก็ถอดใจส่งลูกเข้าโรงเรียนประจำ ซึ่งนั่นไม่ไช่คำตอบ
       
       "พฤติกรรมของพ่อแม่ที่ได้เลี้ยงดูลูกเองนั้น จะตื่นตัว และเตรียมพร้อมกำหนดผลลัพท์ของการเลี้ยงดูได้อย่างเป็นอิสระ ส่วนพ่อแม่ที่ให้คนอื่นเลี้ยงลูก แล้วตัวเองคอยทำหน้าที่เป็นผู้ดูหรือกองเชียร์ มักจะคอยแต่วิเคราะห์ วิจารณ์ เหมือนกับรู้ทุกอย่างแต่ไม่ได้ทำ มีเหตุผลแก้ตัวเสมอ ไม่มีส่วนร่วม สุดท้ายลูกอาจกลายเป็นเหยื่อสังคมได้" พญ.จิตราเผย
       
       นอกจากความสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยตัีวเองแล้ว พญ.จิตรา บอกว่า เธอใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบให้โอกาสแต่ไม่คาดหวัง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จ เนื่องจากเด็กทุกคนสวยงามไร้ที่ติ เด็กทุกคนต้องการชีวิตที่ยอดเยี่ยม คือ อยู่กับปัจจุบัน เต็มไปด้วยพลัง มีอาหาร มีคนที่รักเขา ได้เล่นอย่างมีความสุข แต่พ่อแม่หลาย ๆ ท่านมักจะติดกับดักอยู่ 2 อย่าง คือ ความกังวลและความคาดหวัง ทางที่ดีควรลดสิ่งเหล่านี้ลงไปบ้าง
       
       "ผู้ที่มีความสุข และประสบความสำเร็จ คือ มีไอคิว และอีคิวดี มีความสุขอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยนักวิชาการชื่อเรนซูลลี (RENZULLI) ซึ่งได้ติดตามคนเก่งตั้งแต่เด็ก ที่ประสบความสำเร็จระยะยาว พบว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น มีสัดส่วนของการใช้ไอคิวเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ อีคิว 20 เปอร์เซ็นต์ และทักษะในการทำงาน 40 เปอร์เซ็นต์"พญ.จิตราเผย

พร้อมหน้าครอบครัว "วงศ์บุญสิน"
       นอกจากนั้น การปลูกฝังให้ลูกมีความ "รัก ไว้ใจ และเคารพ" ในตัวพ่อแม่ เป็นเรื่องที่คุณแม่ท่านนี้ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยการสร้างความไว้วางใจให้แก่เด็กนั้น พ่อแม่จะต้องทำตามกฎกติกา ทำตามคำพูด ถ้าทำไม่ได้ต้องขอโทษ แล้วเริ่มต้นใหม่ และทำอย่างคงเส้นคงวาด้วย
       
       ด้านวิธีการสื่อสารกับลูก เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้ และทำความเข้าใจ โดยหลัก ๆ แล้วมีเพียง 3 อย่างคือ ฟัง พูด สะสาง เริ่มจาก "การฟัง" พยายามเปิดใจให้กว้างแล้วฟังลูกก่อน ไม่ควรฟังด้วยอคติ ด่วนโต้แย้ง หรือสรุปความ ฟังแล้วทำความเข้าใจ จากนั้นค่อยเสริมความคิดของเราเข้าไปให้ลูหัดคิดให้เป็น มีความคิดเป็นระบบ
       
       ส่วนในเรื่องของ "การพูด" เวลาพูด ควรพูดความจริง พูดแล้วเกิดประโยชน์ พูดแล้วไม่เสียบรรยากาศ สื่อสารด้วย I massage เพื่อให้ลูกเข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกของพ่อแม่อย่างตรงไปตรงมาเช่น แม่คิดว่า... พ่ออยากให้... สุดท้ายคือ "การสะสาง" เป็นการช่วยให้ชีวิตลูกเดินไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น

พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน คุณแม่ที่น่ารักของลูก ๆ
       "วิธีจัดการกับทุกปัญหาอย่างมีความหวัง ถ้าเราสามารถอยู่กับสติแล้ว เราจะแยกแยะและเลือกวิธีการแก้ปัญหาได้ พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก เมื่อลูกทำผิดพลาดไม่ควรซ้ำเติมให้รู้สึกแย่ ยกตัวอย่างลูกของหมอ ไม่ว่าลูกจะทำอะไร ถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่เป็นไร หมอจะบอกเขาว่ามีสิ่งอื่นที่ดีๆ อีกมากมาย คนเป็นพ่อแม่ต้องทำให้ลูกรู้สึกมีคุณค่า อย่างตอนที่น้องปิงปองไปแข่งโอลิมปิกวิชาการครั้งแรก เขาทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร หมอก็บอกเขาว่าไม่ต้องเครียด เพราะเหรียญรางวัลไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ไอคิวของคนเรามีขึ้น มีลง แต่สิ่งที่เขาได้แน่นอนคือประสบการณ์ชีวิต พอไปครั้งที่สองเขาก็ไม่เครียด สบายๆ ผลปรากฏว่าเขาทำคะแนนได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของทั้งตัวเขาเองและที่บ้านด้วย"
       
       นอกจากนั้น คำชมเป็นสิ่งที่ลูกทุกคนอยากได้ พ่อแม่ควรให้คำชมเพื่อเป็นการยืนยันจากคำพูดของพ่อแม่ว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว โดยการชมที่จะประทับใจลูกไปแสนนาน คือ คำชมที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อลูกทำสิ่งดีๆ ลงไป และไม่ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วค่อยเอาเรื่องนั้นกลับมาพูด เพราะลูกอาจลืมรายละเอียดและความคิดในขณะนั้นไปแล้ว แต่คำชมอาจเป็นดาบสองคมได้ อย่าชมพร่ำเพรื่อทุกเรื่อง ไม่ว่าลูกจะทำอะไรก็บอกว่าลูกเก่งเสมอ ทำให้ลูกทราบว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นดีหรือถูกต้องจริงหรือไม่
       
       อย่างไรก็ดี แม้ว่าลูกจะเก่งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ตามหลักการของนักวิชาการชื่อดังอย่างเรนซูลลีแล้ว ลูกมีโอกาสประสบความสำเร็จระยะยาวแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าขาดองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น ไม่ช่วยงานบ้าน เห็นแก่ตัว และไม่รับผิดชอบงานอื่น ๆ ลูกจะเสียส่วน 40 เปอร์เซ็นต์ ของความฉลาดทางอารมณ์ และบางส่วนของความรับผิดชอบในเรื่องงานบ้าน และงานส่วนตัวไป
       
       "พ่อแม่ควรโน้มน้าวให้ลูกเห็นความสำคัญในการช่วยเหลือตัวเอง และช่วยงานบ้านด้วย โดยเฉพาะในระยะที่ลูกไม่มีการสอบ เช่น ช่วงปิดเทอม ส่วนในช่วงที่ลูกต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียน หรือการเตรียมตัวสอบควรให้ลูกขอบคุณและรู้สึกสำนึกในบุญคุณต่อคนที่ช่วยเหลือ ควรสอนให้เขารู้จักขอบคุณและขอโทษให้เป็น เพราะเป็นการแสดงถึงความอ่อนน้อมต่อผู้อื่น"
       
       ท้ายนี้ พญ.จิตรา ฝากแง่คิดถึงพ่อแม่ทุก ๆ ครอบครัวว่า เด็กแต่ละคนต้องใช้วิธีการเลี้ยงดูและแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่จะนำพาลูกให้เติบโตเป็นเด็กดี และเก่งได้นั้น จะต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิตเป็นพื้นฐานก่อน ซึ่งความสุขนั้นเกิดจากความรัก และความเข้าใจในครอบครัวนั่นเอง




Create Date : 16 มิถุนายน 2555
Last Update : 16 มิถุนายน 2555 8:07:44 น. 0 comments
Counter : 1230 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add ยี่สิบห้าเดือนเจ็ด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.