"ข้อสันนิษฐานว่าด้วยมวยงิ้ว" โดย เชา หมัดทศพืช ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ . บทความนี้เขียนขึ้นโดยใช้วิธี อุปมานแบบไม่สมบูรณ์ และใช้วิธีแบบประวัติศาสตร์เชิงวิพากษ์ หากท่านมีข้อสงสัยประการใด กรุณาติดต่อผมโดยตรงที่เบอร์ 0817639616 . คำว่า มวยงิ้วที่เกิดขึ้นในวงการศิลปะการต่อสู้ของไทย แต่ไม่พบในวงการศิลปะการต่อสู้ของต่างประเทศ . คำนี้เกิดขึ้นจากหนังสือเล่าประวัติของแจ็คดี ชาน หรือเฉินหลง ".. ได้เรียนมวยงิ้ว" และมีการเล่าถ่ายทอด กันมาแบบไม่ได้ศึกษาเพิ่มเติมว่าจริงๆ แล้วมวยงิ้วคืออะไร . จริงๆ แล้ว "งิ้วไม่มีมีมวย" . งิ้ว หรือ อุปรากรจีน (戏曲/戲曲; xìqǔ ; Chinese opera) เป็นการแสดงที่ผสมผสานการขับร้องและการเจรจา ประกอบกับลีลาท่าทางของนักแสดงให้ออกเป็นเรื่องราว โดยสมัยนั้นได้นำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ในพงศาวดาร และประวัติศาสตร์มาดัดแปลงเป็นบทแสดง รวมทั้งยังมีการ นำเอาความเชื่อทางประเพณีและศาสนาเข้าไปผสมผสาน กับการแสดงงิ้วด้วย เดิมประเทศจีนมีงิ้วราว 300 กว่าประเภท ส่วนใหญ่จะเป็นงิ้วท้องถิ่น งิ้วระดับประเทศ เช่น งิ้วปักกิ่ง, งิ้วเส้าซิง, งิ้วเหอหนัน และ "งิ้วกวางตุ้ง" โดยงิ้วปักกิ่งเป็นงิ้วที่มีชื่อเสียงมากที่สุด โดยปัจจุบันถือเป็นตัวแทนงิ้วประจำชาติจีน . ในบรรดางิ้วจีนกว่า 300 ประเภท "งิ้วคุนฉวี่" (昆曲) "งิ้วกวางตุ้ง" (粤剧/粵劇) และ "งื้วปักกิ่ง" (京剧/京劇) (ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/งิ้ว) . งิ้วแบ่งออกเป็นงิ้วบุ๋น และงิ้วบู๊ โดยงิ้วบู๊คืองิ้วที่ว่าด้วยการสงคราม และแสดงกริยาสู้รบ การตีลังกา การต่อสู้ งิ้วที่ชื่อเสียงคือ "งิ้วกวางตุ้ง" . เมื่อนำมาผนวกกับประวัติของเฉินหลง มวยงิ้วจึงน่าหมายถึงทักษาะพื้นฐานของผู้ฝึกงิ้ว ได้แก่ การกระโดด การตีลังกา การม้วนตัว การรุกรับด้วยอาวุธ ทักษาะอาวุธกับมือเปล่า ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะประกอบการแสดง คล้ายๆ กับการแสดงโขน . มวยงิ้วอีกความหมายหนึ่งเป็นการกล่าวสรุปความ โดยมวยไทยอันเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทย สาย "พระยาพิชัย" หรือ "พระยาพิชัยดาบหัก" . ตามที่ได้ศึกษา "งานวิจัย" เกี่ยวกับมวยไทย จำนวนกว่า ๖ เล่ม และงานวิจัยเกี่ยวกับ "มวยไทยสายพระยาพิชัยดาบหัก" จำนวน 3 เล่ม พบว่า ไม่มีการกล่าวอ้างถึง "มวยงิ้ว" แต่อย่างอย่างใด . แต่ในประวัติของพระยาพิชัย (จ้อย หรือทองดี) มีการกล่าวในทำนองเดียวกันว่า "...พอดีกับมีการแสดงงิ้ว จึงอยู่ดูอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน นายทองดี ฟันขาว สนใจงิ้วแสดง ท่าทางหกคะเมน จึงจดจำไปฝึกหัด จนจดจำท่างิ้วได้ทั้งหมดสามารถกระโดดข้ามศีรษะคนยืน ได้อย่างสบาย" และในงานวิจัยอีกเล่มหนึ่ง กล่าวว่า "เด็กชายจ้อยได้ไปขอเรียนการตีลังกาจากคณะงิ้ว คณะงิ้วเห็นว่า เด็กชายจ้อยมีพรสรรค์จึงได้สอน การตีลังกาเป็นเวลา ๗ วัน ..." . จากประวัติดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการเข้ามาของชาวจีน ตั้งแต่สมัยอยุธยาซึ่งปรากฏหลักฐานการแสดงงิ้ว ตามเอกสารเก่าที่สุดที่มีการพูดถึงการแสดงงิ้ว คือ "จดหมายเหตุลาลูแบร์" ซึ่งเป็นราชทูต จากราชสำนักฝรั่งเศส ที่เข้ามาเจริญพระราชไมตรี กับ "สมเด็จพระนารายณ์ เมื่อ พ.ศ. 2230" และมีบันทึก อีกช่วงหนึ่งเมื่อครั้งสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กรุงธนบุรี ครั้งมีการอัญเชิญพระแก้วมรกตล่องน้ำมายังพระนคร นอกจากขบวนแห่จะมี โขน ละคร ดนตรีปี่พาทย์แล้ว ยังมี "คณะงิ้วอีก 2 ลำเรือ" แสดงล่องลงมาด้วยกันอีกด้วย . ปํญหาคือ คณะงิ้วอีกสองลำเรือนี่คืองิ้วของชาวจีนจากเมืองไหน . ขอย้อนไปถึงประวัติพระยาพิชัย (จ้อย หรือทองดี) . "พระยาพิชัยดาบหัก" เดิมชื่อ จ้อย เกิดที่บ้านห้วยคา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์ เมื่อปี พ.ศ. 2284 ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ศึกษาอยู่กับท่านพระครู วัดมหาธาตุหรือวัดใหญ่ เมืองพิชัย ภายหลังจ้อย ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นทองดี หรือ ทองดี มีความสามารถทั้งทางเชิงมวยและเชิงดาบ . ต่อมาเข้ารับราชการกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตั้งแต่ครั้งดำรงตำแหน่งเป็นพระยาตาก ต่อมานายทองดีได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รักษ์ มีบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงพิชัยอาสา" เมื่อรับราชการ มีความดีความชอบจึงได้รับแต่งตั้งเป็น เจ้าหมื่นไวยวรนาถ พระยาสีหราชเดโช และพระยาพิชัยตามลำดับ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ครองเมืองพิชัย ซึ่งรับพระราชทานเครื่องยศ เสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามลำดับ . "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" เกิดในรัชสมัย ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พระราชสมภพ 22 มีนาคม พ.ศ. 2277 หรือ 17 เมษายน พ.ศ. 2277 สวรรคต 6 เมษายน พ.ศ. 2325) มีชาวจีนแต้จิ๋วคนหนึ่งนามว่า หยง แซ่แต้ (นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้อธิบายว่า ไหฮอง หรือ ไหยฮอง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดแต้จิ๋ว) มิใช่ชื่อของพระราชบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี) (ที่มา : นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2550). การเมืองไทย สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. มติชน. ไม่ทราบหน้า) เป็นผู้อพยพมาจาก เมืองเฉิงไห่ ซัวเถาครั้นเมื่อถึงวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2277 ได้มีบุตรชายคนหนึ่ง ได้ชื่อว่า สิน เกิดแต่ นาง นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวไทย ซึ่งต่อมาได้รับเฉลิมพระนามเป็นกรมพระเทพามาตย์ สำหรับถิ่นกำเนิดของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นน่าจะเกิดในแถบ ภาคกลางมากกว่าเมืองตาก ซึ่งมักว่ากันว่าอยู่ในกรุงศรีอยุธยา
จากหลักฐานที่อาลักษณ์ของจีนจดบันทึกไว้ ในพระราชพงศาวดารวงเช็ง แผ่นดินจักรพรรดิเฉียนหลง (สมเด็จพระจักรพรรดิเฉียนหลง (จักรพรรดิชิงเกาจง) (Qiánlóng เฉียนหลง) จักรพรรดิองค์ที่ 6 ของราชวงศ์ชิง ประสูติเมื่อ ปี พ.ศ. 2254 กรพรรดิเฉียนหลงขึ้นครองราชย์ ในปี พ.ศ. 2278 สวรรคต พ.ศ. 2342 ) กล่าวถึงพระราชประวัติของพระองค์ไว้ว่า "บิดาเจิ้งเป็นชาวมณฑลกวางตุ้ง ไปทำมาค้าขายอยู่ที่เสียมล่อก๊ก [ประเทศไทย] และเกิดเจิ้งเจา [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี; สำเนียงปักกิ่ง] ที่นั่น เมื่อเจิ้งเจาเติบใหญ่ เป็นผู้มีความสามารถ ได้เข้ารับราชการอยู่ในเสียมล่อก๊ก เมื่อเจิ้งเจารบชนะพม่า ฯ แล้ว ราษฎรทั่วประเทศยกขึ้นเป็นเจ้าครองประเทศ..." (ที่มา : ประยุทธ์ สิทธิพันธ์, มหาราชและพระราชกรณียกิจ สมเด็จพระภัทรมหาราช (กรุงเทพฯ : เทพพิทักษ์การพิมพ์, 2520) หน้า 223) . จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าต้นกำเนิดของพระเจ้าตากจะมีบิดาเป็น "ชาวกวางตุ้ง" หรือ "ชาวแต้จิ๋ว" ก็ตาม ทั้งสองเชื้อชาติ เป็น "ชาวจีนใต้" . ชาวไทยเชื้อสายจีนใต้ คือ ชาวจีนที่เกิดในประเทศไทย และเป็นเชื้อสายของผู้อพยพชาวจีน หรือชาวจีนโพ้นทะเล คนไทยเชื้อสายจีน มีประมาณ 9.4 ล้านคนในประเทศไทย หรือ 14% ของประชากรทั้งประเทศ และยังมีอีกจำนวนมาก ไม่สามารถนับได้ เพราะที่กลมกลืนกับคนไทยไปแล้ว โดยการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ . ชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนมากบรรพบุรษจะมาจากจังหวัดแต้จิ๋ว ในมณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน ชาวจีนกลุ่มนี้ มักพูดภาษาจีนแต้จิ๋ว หรือภาษาจีนกวางตุ้งเป็นหลัก ซึ่งเป็นภาษากลุ่มหมินหนาน รองลงมาคือมาจาก จีนแคะ ฮกเกี้ยน และไหหลำ . ชาวจีนที่เข้ามาในเมืองไทยเมื่อครั้นเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2310 - พ.ศ. 2312 จักรวรรดิจีน ซี่งในที่นี้ (หมายถึงรัชสมัย "เฉียนหลงฮ่องเต้" ) เหตุเพราะได้ถูกรุกรานโดยพม่าที่กำลังขยายแสนยานุภาพ จักรพรรดิจีนในสมัยนั้นได้ส่งกองกำลังไปปราบปรามพม่า ถึง 4 ครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ฝ่ายจีนก็ได้เบนความสนใจมาที่ กองทัพพม่าในอาณาจักรอยุธยา ซึ่งกำลังถูกพม่ายึดครอง ขุนพลไทยนาม "สิน" ซึ่งมีบิดาเป็นคนจีน และมารดานาม นกเอี้ยง ซึ่งเป็นชาวสยาม ได้ใช้สถานการณ์ที่ได้เปรียบนี้ ทำให้สามารถกอบกู้เอกราชให้สยามได้สำเร็จ ขุนพลท่านนั้นต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี" แห่งกรุงธนบุรี หรือที่ชาวจีนขนามนามว่า แต้อ๊วง ด้วยความที่ว่าบิดาสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นคนจีน . ในรชัยสมัยของพระเจ้าเฉียนหลงมีการปราบปราม กบถที่มณฑลจีนตอนใต้ ได้แก่ มณฑลกวางตุ้ง และฟูเจี้ยน ก่อให้เกิดเหตุการณ์เผา วัดเส้าหลินใต้ และก่อให้เกิดการก่อตั้งพรรคฟ้าดิน หรือเทียนตี้ฮุยสืบมา . การอพยพของชาวกบฏชาวเส้าหลินใต้ เป็นการอพยพลงมาในทางใต้ของจีน บ้างก็ปลอมตัวเป็นขอทาน กุลี หรือ คณะงิ้วเรือแดง อาทิ เรื่องเล่าของ "ยิกกั่ม" แห่งเรือแดง ซึ่งเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สาม ผู้เป็นต้นกำเนิดของ ยิปกิ่นหวิงชุนแห่งประเทศมาเลเซีย . สัญลักษณ์ร่วมกันของชาวกบฏเทียนตี้ฮุ่ย คือ มีดผีเสื้อ และ ดอกเหมย การแสดงสัญลักษณ์แบบนี้ นอกเมืองจีน นั้นหมายถึงความเป็นพวกเดียวกัน . ชาวจีนที่อพยพเข้ามาโดยส่วนใหญ่เป็นชาวกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว หรือฟูเจี้ยน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พวกพรรคฟ้าดิน อาศัยอยู่ เมื่อถูกทางการตามล่าจึงหนีการตามล่าจากทางการ โดยการปลอมตัวเป็นคณะงิ้วเรือแดง เพราะเป็นการปิดบังอำพรางได้เป็นอย่างดี แต่ไม่ใช่ว่าจะปลอมตัวเป็นงิ้วได้ทุกคน เพราะการแสดงงิ้วเองยังแบ่งออกเป็นชนชั้น เช่น หน้าดำ หน้าแดง หน้าขาว หน้าลาย (ตรงนี้ไม่ขออธิบาย) ซึ่งแสดงว่าเป็นชั้นปกครอง หรือแสดงว่ามีความสามารถแตกต่างกันไป . งิ้วตามที่ปรากฏในประวัติพระเจ้าตากที่แสดงการสมโภชมี 2 ลำเรือ ซึ่งน่าจะเป็นชาวชาวกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว หรือฟูเจี้ยน ซึ่งน่าจะมีฝีมือในหมัดมวยตามประวัติข้างต้นที่ได้กล่าวมาแล้ว และตามประวัติของพระยาพิชัย (จ้อย หรือทองดี) ที่กล่าวว่า เรียนการตีลังกาของงิ้วคณะนี้อยู่ 7 วัน ซึ่งปัญหาก็เกิดขึ้นว่า ทำไมจึงสอนให้? . เพราะชาวจีนโดยเฉพาะที่มีวิชาประจำตระกูล หรือวิชาประจำตัว จะมีลักษณะนิสัยร่วมกันอยู่ข้อหนึ่ง คือ ไม่ได้ถ่ายทอดให้ใครได้โดยง่าย เพราะเป็นเรื่องของความลับ หรือการทำมาหากิน จึงน่าเชื่อว่า หากพระยาพิชัยได้รับการถ่ายทอดมาจริง น่าจะได้รับการถ่ายทอด มวยจีนใต้ มามากกว่าการเล่นงิ้ว เพราะอะไร? . เพราะเมื่อพิจารณาจากประวัติพระยาพิชัย การจรดมวย ท่ามวย การเข้าทำ พบว่า มีลักษณะแตกต่างจากมวยไทย สายอื่น ในสาระสำคัญ . จากการสัมภาษณ์ @อาจารย์ชีวิน แห่งไทฟูโด ผู้ซึ่งคลุกคลีอยู่ในวงการมวยจีนใต้การเกือบ 30 ปี พบว่า ม้าหรือท่ายืนของมวยสายพระยาพิชัย น่าจะเป็นม้า แบ๊เฮียลี หรือหม่าปู้ เป็นในลักษณะการยืนทแยง อันเป็นยืนแบบทแยง หรือการยืนแปดเหลี่ยม หรือเรียกว่า ติ้งปู้ติ้ง หรือ ปาปู้ปา ซึ่งเป็นการยืนแบบเปิดก็ไม่เปิด ปิดก็ไม่ปิด หรือเรียกได้ว่า ล่อให้โจมตี ประกอบกับลักษณะ การเข้าทำในลักษณะของการฟังแรง รวบ แล้วตี ซึ่งในมวยไทยสายอื่นนั้นอาจมี แต่ไม่ชัดเจนเท่ามวยสายนี้ . ผู้เขียน กับอาจารย์ชีวิน จึงมีความเห็นร่วมกันว่า ที่ว่าได้เรียนการตีลังกาจากคณะงิ้ว เพราะทักษะการตีลังกา ของคณะงิ้วเป็นเรื่องของอาชีพ คนจีนจะไม่ถ่ายทอดให้คนนอก ได้โดยง่าย เว้นเสียแต่ว่า เป็นลูกศิษย์ . ปัญหาประการต่อมาคือว่า เหตุใดประวัติที่เกี่ยวกับการได้เรียน มวยของพระยาพิชัยจึงแตกต่างกัน บ้างก็บอกว่า เด็กชายจ้อย ได้ดูงิ้วถึงเจ็ดวัน และไปฝึกหัดเองจนตีลังกาข้ามหัวคนได้? . ตอบ ประวัติที่เกิดขึ้นเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องเล่าในท้องถิ่นนั้นๆ เรื่องเล่าจึงเป็นเรื่องเล่า แบบมุขปาฐะ คือเล่าต่อๆ กันมา ในช่วงแรกๆ ประวัติของพระยาพิชัยมีการฝึกการตีลังกา ถึง 7 วัน ประวัติในภายหลัง ก็เล่าต่อมาว่า ไปดูงิ้ว 7 วัน แล้วจึงไปฝึกมวยไทยต่อ ประวัติหลังจากนั้น ช่วงที่เป็นการฝึกงิ้วกลับหายไป จนเหลือแต่เรื่องเรียนมวยไทยอย่างเดียว . มันเกิดอะไรขึ้น? . นั้นเป็นเพราะประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนไป เพราะประวัติศาสตร์ท้องถิ่นถูกตัดทอนด้วยประวัติ สร้างชาติ ยุคสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีการยกวีรบุรุษท้องถิ่น อาทิ ชาวบ้านบาระจัน ย่าโม พันท้ายนรสิงห์ ให้เป็นวีรบุรุษของชาติ เพื่อให้ชาวบ้านมีความซาบซึ้ง และร่วมกันต่อสู้แนวคิดของคอมมิวนิสต์ที่แพร่เข้ามา และมีการสร้างบทละครสำหรับวีรบุรษเหล่านั้น ดังจะเป็นได้จากบทละครเรื่อง พระยาพิชัย ที่มีบทพูด เรื่องที่ทะเลาะกับคุณฉอด คุณเฉิด ดังประวัติที่แพร่หลายดีอยู่แล้ว . กับทั้งในยุคนั้นจอมพล ป. มีนโยบายสร้างชาตินิยม สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับต่างชาติ จะถูกตัดแปลงเป็นของไทย เช่น เปลี่ยนบะหมี่เป็นก๊วยเตี๋ยว รวมไปถึงนโยบาย จำกัดการเข้ามาของแรงงานจีน การปิดโรงเรียนจีน รวมไปถึงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับคนจีน เช่น ประวัติของพระยาพิชัยที่เกี่ยวข้องกับคณะงิ้วจีนด้วย . และการสืบประวัติโดยใช้การสัมภาษณ์ตามที่ปรากฏในงานวิจัย ต่างๆ จะพบว่า ผู้เล่าที่ผู้สืบสายในมวยสายนี้ก็ตาม แต่พบว่า กลับเล่าประวัติในเรื่องการเรียนกับงิ้วไม่ตรงกัน บางท่านอธิบายแต่เพียงการเรียนมวยไทย . จะเห็นได้การตัดประวัติที่เกี่ยวข้องกับคนจีน เพิ่มเริ่มต้นขึ้นในช่วงการก่อร่างสร้างลัทธิชาตินิยม ของจอมพล ป. ประกอบการเล่าแบบมุขปาฐะ ที่ตกหล่นไป จึงทำให้ประวัติบางส่วนขาดหายไป . สรุป มวยงิ้ว มีความหมายสองนัยยะ นัยยะแรก หมายถึงมวยงิ้วในประวัติของแจ๊คกี้ ชาน ที่นำมาเล่าต่อๆ กันมา และนำมาปะปนของประวัติ ของพระยาพิชัยในชั้นหลัง ทำให้เกิดความสับสน ดังที่ได้อธิบายเอาไว้ข้างต้น . นัยยะที่สอง คือมวยงิ้วของพวกงิ้วเรือแดง ซึ่งเป็นกบฏพรรคฟ้าดินที่หนีการตามล่าของทางการ ลงมายังภาคใต้ของจีน เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
Create Date : 22 ตุลาคม 2558 |
Last Update : 22 ตุลาคม 2558 14:29:08 น. |
|
0 comments
|
Counter : 5396 Pageviews. |
|
|