รวมบทความตอนพิเศษเรื่อง 1) "ธรรมเนียมของการยกน้ำชา ในสายวิชามวยจีน" 2) "เทียบ" 3) "จารีตชาวยุทธ์" ตอน "สำนักสืบทอด และสำนักเผยแพร่" ตอนที่ 1 4) "จารีตชาวยุทธ์" ตอน "สำนักสืบทอด และสำนักเผยแพร่" ตอนที่ 2 5) "จารีตชาวยุทธ์" ตอนพิเศษ "มารยาท และธรรมเนียมการแสดงตัวของชาวยุทธ์" โดย เชา หมัดทศพืช 4 มกราคม 2559 ................................................... "ธรรมเนียมของการยกน้ำชา ในสายวิชามวยจีน" โดย เชา หมัดทศพืช 4 ก.ค. 2558 . การยกน้ำชาเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ในการรับเข้าเป็น "ศิษย์ใน" และ "อาจารย์ผู้สืบทอด" . การยกน้ำชาแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน คือ การรับเข้าเป็น "ศิษย์ใน" และ การเป็น "อาจารย์ผู้สืบทอด" . การน้้ำชาในฐานะ "ศิษย์ใน" ภายหลังที่ศิษย์คนนั้นเรียนพื้นฐาน ของสำนักจนครบถ้วน โดยอาจารย์ จะเป็นผู้เรียกให้บรรดาศิษย์พี่ที่เป็นศิษย์ใน มาประชุมกัน และทำพิธียกน้ำชา และเขียนเทียบต่ออาจารย์ อาจารย์จะประกาศว่าต่อแต่ไปนี้ คนที่ยกย้ำชาอยู่นี้จะเป็นศิษย์น้องของสำนัก . ขั้นตอนที่สองคือ การยกน้ำชาในฐานะ "อาจารย์" ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนของผู้สืบทอด ซึ่งจะมีรายละเอียดที่มีมากกว่าขั้นตอนแรก กล่าวคือ อาจารย์จะเขียนเทียบเชิญบรรดา "พันธมิตร" ในระดับอาจารย์ในสายมวยเดียวกัน และสายมวยที่อาจารย์ท่านมีความสนิทชิดเชื้อ เป็นอย่างดี และบรรดาศิษย์ท่านอื่นมาเป็นสักขีพยาน เพื่อให้เกิดความรับรู้ว่านับต่อแต่นี้ไป ศิษย์คนนี้จะเป็นอาจารย์ผู้สืบทอด และให้การช่วยเหลือกันยามจำเป็น . ขั้นตอนมีดังนี้ คือ ศิษย์ในที่ประสงค์จะเป็นผู้สืบทอด จะทำการยกน้ำชา และเทียบ และ "มอบสิ่งของอื่น" ตามจารีตของสำนัก ผมขอยกตัวอย่างสิ่งของที่มอยในพิธีของสำนักหนึ่ง ได้แก่ "กรรไกรขาเดียว" "ผ้าคาดหัวสีแดง" "เงินจีนโบราณ" และอื่นๆ (ไม่สามารถเปิดเผยได้) มอบให้แก่อาจารย์ จากนั้น ก็จะเป็นอาจารย์อาวุโส ท่านอื่นในสำนัก ตามด้วยพันธมิตรอาจารย์ตามลำดับ เมื่อเสร็จพิธี อาจารย์จะประกาศชื่อว่าต่อแต่นี้ไป ศิษย์ท่านนี้จะเป็น "อาจารย์ผู้สืบทอด" . สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดของขั้นตอนนี้ คืออาจารย์จะมอบของสำคัญอันได้แก่ "ป้ายสำนัก" หรือสิ่งของสำคัญอย่างอื่น เช่น ป้ายสืบทอด กระบี่สั้นที่รับมาแต่รุ่นแรก ซึ่งแสดงถึงการมอบภาระ และ "ชื่อเสียงของอาจารย์" ให้อาจารย์ใหม่เป็นผู้ดูแล . ธรรมเนียมปฏิบัติแบบนี้ก่อให้เกิดความสามัคคี ขึ้นในหมู่ศิษย์ และสร้างเครือข่ายระหว่างอาจารย์ คนใหม่กับพันธมิตร เวลาเกิดเรื่องราวก็ยอมกันง่าย เพราะรู้จักกันก่อนแล้ว . ความสามัคคีนี้เป็นแกนหลัก ของระบบธรรมเนียมแบบยกน้ำชา เมื่อยกน้ำชาแล้ว อาจารย์คนที่ยกน้ำชาให้จะถือว่า เป็นอาจารย์คนแรกของสายนั้นๆ แม้ว่าศิษย์ที่ยกน้ำชาแล้ว จะได้มีโอกาสไปเรียนกับอาจารย์ปู่หรืออาจารย์ลุง ก็ตาม ก็ยังถือว่าเป็นศิษย์ของอาจารย์คนแรก ตามลำดับสายลงมา ระบบสำนักจะไม่วุ่นวาย สายจะไม่ไขว้กัน และไม่เกิดการปีนเกลียวขึ้นในสำนัก . ธรรมเนียมการยกน้ำชาจึงเป็นการสร้างระบบ และเป็นการสร้างความสามัคคีขึ้นในหมู่คณะ ทำให้ระบบสำนักมีความยั่งยืนกว่าสำนักที่ไม่มีระบบ - จบ - ..................................................................... "เทียบ" โดย เชา หมัดทศพืช 6 ก.ค. 2558 . ดังได้กล่าวไปแล้วในบทความก่อน การเปิดสำนักมวย คือ "ความรับผิดชอบ" ในการแบกชื่อเสียงของสายวิชา และอาจารย์รุ่นก่อน . การสืบทอดสำนักมวยเป็นการวางแนวทางการสอน และหลักสูตรของสายวิชานั้นๆ ตามแบบดั้งเดิม ผู้เป็นเจ้าสำนักจะต้องถึงพร้อมด้วยคุณธรรม ชื่อเสียง และฝีมือ . แม้สังคมจะเปลี่ยนแปลงไป แต่หลักการสืบทอดสำนักมวยไม่เคยเปลี่ยน . การสืบทอดสำนักมวย มีหลักอยู่ว่า "หากไม่ได้รับอนุญาต จะเปิดสำนักไม่ได้" ซึ่งหมายถึงสอนไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นการสอนแบบจิตกุศลสาธารณะก็ตาม . การเปิดสำนักมวยจะต้องได้รับอนุญาต จากอาจารย์ของสำนักต้นสังกัด โดยความรับรู้ของอาจารย์ลุง อาจารย์อา พันธมิตรของสำนัก และบรรดาพี่น้องร่วมสำนัก และบุคคลเหล่านี้ต้องยินยอมโดยดุษฎี จึงจะเปิดสำนักได้ . รูปแบบของการอนุญาตขึ้นอยู่กับ "เทียบ" . เทียบคือการจัดลำดับสายวิชา และฐานะของคนในสำนัก . เทียบจึงแบ่งคนในสำนักออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. เทียบขึ้นสายมวยเพื่อรับเป็นศิษย์ใน 2. เทียบอนุญาตให้ทำการสอน และ 3. เทียบเปิดสำนัก . "1. เทียบขึ้นสายมวยเพื่อรับเป็นศิษย์ใน" หมายถึง เทียบจัดลำดับเข้าเป็นศิษย์ใน ซึ่งจะทำให้ฐานะของลูกศิษย์คนนี้ แตกต่างจากศิษย์ทั่วไป ซึ่งในอนาคต เขาจะมีโอกาสขึ้นเทียบอนุญาตให้ทำการสอน . "2. เทียบอนุญาตให้ทำการสอน" หมายถึง เทียบประกอบวิชาชีพสอนในฐานะอาจารย์ . "3. เทียบเปิดสำนัก" หมายถึง เทียบอนุญาตจากสำนักต้นสังกัด เพื่อแยกตัวออกมาเปิดสำนักเอง และมีสิทธิใช้ชื่อสำนักนั้น รวมไปถึง การเขียนเทียบรับศิษย์ในด้วย หากสำนักนั้นอยู่ในรูปของสมาคม เทียบนี้จะเป็นหนังสือแต่งตั้งจากสมาคม . เรื่องการขอออกมาเปิดสำนักเป็นเรื่องท้าทาย อย่างหนึ่งเพราะเป็นการแบกรับเรื่องชื่อเสียงของอาจารย์ ศิษย์ที่ขอออกมาเปิดสำนัก หากมีผู้ใดคลางแคลงใจในฝีมือ ก็จะทำการทดสอบในพิธีสืบทอดนั้น ซึ่งถ้าไม่มีฝีมือจริง ก็จะมาเปิดสำนักไม่ได้. . - จบ - ........................................................... "จารีตชาวยุทธ์" ตอน "สำนักสืบทอด และสำนักเผยแพร่" ตอนที่ 1 โดย เชา หมัดทศพืช 20 พฤษภาคม 2558 . เรื่องราวที่จะเล่าดังต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับจารีต ของนักวิทยายุทธ์จีนโบราณ ซึ่งแตกต่างจากจารีตของนักวิทยายุทธ์ ระบบอเมริกัน . ระบบอเมริกันคือระบบที่ใครใคร่เรียน ก็เรียน ทุกคนเสมอภาคกัน ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง อาจารย์ลุง อาจารย์อา อย่างในระบบของจีน . ระบบอเมริกันวัดกันที่ความสามารถ และความเก่งมากกว่าการวัดที่ระบบอาวุโส แบบจีนซึ่งมีการเขียนเทียบยกน้ำชา จัดลำดับผังการสืบทอดอย่างเป็นระบบ . ระบบนี้เรียกว่าใครเก่งก็ตั้งสำนักสอนได้ ครูบาอาจารย์ที่สอนก็วัดกันแค่ที่เรียนมา จากไหน ใครสอน ศิษย์ของใคร เวลาตั้งสำนักก็มักตั้งชื่อเอาเอง อาจตั้งชื่อจากนามสกุล ชื่อสัตว์ ชื่อทีม หรืออะไรก็แล้วแต่ ให้เห็นว่าตนมีเอกลักษณ์แตกต่างจากสำนักอื่น . การสอนก็มีลักษณะแบ่งแยกเป็นเอกเทศ แบบทางใครทางมัน . ข้อดี มันก็มีคือมันสามารถพัฒนาผู้ฝึก ไปจนถึงขีดสุด คนอ่อนแอ มักอยู่ในระบบไม่นาน สุดท้ายก็เลิกเรียนไปในที่สุด ส่วนตนเก่งก็อยู่ในระบบทำหน้าที่แข่งขัน หรือสอนต่อไป . ข้อเสียคือ ในบรรดาศิษย์มักปีนเกลียวกัน เพราะไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง เรียกพี่ เรียกน้อง ไม่มีความเกรงใจ ใครอยากไขว้กับใคร ก็ลงมือ เมื่อพ่ายแพ้แทนที่จะจบเรื่อง กลับเป็นที่นินทาลับหลัง จนกลายเป็นเรื่องบาดหมางในสำนัก อาจารย์เองก็จัดการไม่ได้ เพราะตนสอนมาในระบบแบบนั้น ซึ่งก่อปัญหามาตั้งต้น . ศิษย์บางคนก็แยกตัวออกไปสอนมวยเอง หรือไปตั้งสำนักมวยใหม่ใช้ชื่อของตนเอง มากกว่าที่จะใช้ชื่อของสำนักมวยเดิม อาจารย์คนเดิม มีฐานะเพียงสอนมวยให้ ความผูกพัน หรือความกตัญญูที่มีต่ออาจารย์ กลายเป็นเรื่องรองลงมา . ปัจจุบันพบว่ามีสำนักตั้งขึ้นใหม่มากมาย และใช้ระบบนี้ ลูกศิษย์อยากเรียนอะไรก็สอนให้ เรียกว่ามีวิชาให้เลือกเหมือนห้างสรรพสินค้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เรียนและค่าสอน เป็นสำคัญ . ระบบของจีนเป็นอย่างไร? ผมจะกล่าวในตอนถัดไป -จบ- ............................................................... "จารีตชาวยุทธ์" ตอน "สำนักสืบทอด และสำนักเผยแพร่" ตอนที่ 2 โดย เชา หมัดทศพืช 21 พฤษภาคม 2558 . "ระบบจีน" มีความแตกต่างจากระบบอเมริกัน แตกต่างอย่างไร . "ระบบจีน" เป็นระบบที่ยึดถือเรื่องอาวุโสเป็นหลัก สามารถสืบสายได้ตั้งปรมาจารย์จนไปถึงหลานศิษย์ มีอาจารย์ อาจารย์ลุง อาจารย์อา อาจารย์ป้า ลูกศิษย์ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง หลานศิษย์ฯ และแบ่งออกเป็น "ผู้สืบทอด" และ "ผู้เผยแพร่" อย่างชัดเจน . ตัวอย่าง ในมวยไท่จี๋ตระกูลหยางตระกูลหยาง ผู้สืบทอดมวยตระกูลนี้ ได้แก่ อาจารย์ "หยางเฉิงฝู" ที่ได้รับการยอมรับในฝีมือจากศิษย์พี่ศิษย์น้อง อาจารย์ลุง อาจารย์อา สายนี้นับเป็น "สายหลัก" คือ ต้องสอนแต่เพียงมวยเส้นสืบทอดแต่เพียงอย่างเดียว . ส่วน "สายรอง" หมายถึงสายทีไม่ได้รับรองว่าเป็นผู้สืบทอด แต่ได้รับการยอมรับให้เป็นผู้ถ่ายทอดได้ เช่น สายอาจารย์หยางเส้าโหว สายรองนี้ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นผู้ถ่ายทอดได้ สายนี้จะได้ต้องได้รับการยอมรับจากบรรดาอาจารย์ และศิษย์พี่ศิษย์น้องเช่นเดียวกับสำนักสืบทอด จึงจะมีสิทธิเป็นผู้ถ่ายทอดได้เช่นเดียวกัน . ถ้าไม่ได้รับ "การรับรอง" จะไปสอนไม่ได้ และจะกลายเป็นสำนักเถื่อน . ผมขอยกตัวอย่างสำนักมวยไท่จี๋ในเมืองไทย ที่มีการจัดลำดับ "สายหลัก" และ "สายรอง "อย่างชัดเจน สามารถอ้างอิงได้ สืบสายได้ เพราะได้เขียนเทียบยกน้ำชาตั้งสายได้ นั่นคือ มวยไท่จี๋สายอาจารย์ "โค้วเปียฮะ" หรืออาจารย์โค้ววัดเกาะ . อาจารย์โค้วเป็นศิษย์ใน ท่านเป็นศิษย์มวยไท่จี๋ตระกูลหยางสองสาย คือ สาย "เจิ้งหม่านชิง" และสาย "ต่งอิงเจี๋ย" อาจารย์โค้วเรียนมวยไท่จี๋สกุลต่งมาจาก อาจารย์ "ต่งฮู่หลิง" ลูกชายของอาจารย์ "ต่งอิงเจี๋ย" ซึงเรียนมาจากอาจารย์หยางเผิงฟู่ ส่วนสายเจิ่งหม่านชิง ท่านเรียนมาจาก อาจารย์ "ยัพสิวเติ่ง" ลูกศิษย์ของอาจารย์ "เจิ้งหม่านชิง" ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์หยางเผิงฟู่ . ศิษย์พี่ร่วมสำนักสายเจิ่งหมั่นชิงของอาจารย์โค้วได้แก่ อาจารย์ "จ๊อกสีกิ่ม" และอาจารย์ "ฮอกกี่เต็ก" . มวยไท่จี๋ของอาจารย์โค้วเน้นการผลักมือแบบดุดัน เพราะต้องเข้าใจว่าก่อนอาจารย์โค้วมาเรียนมวยไท่เก็ก ท่านได้เรียนมวยตั๊กแตนใต้มาก่อนจากอาจารย์ "แบ๊เง็กปอ" . อาจารย์โค้วเมื่อวัยหนุ่มขึ้นชื่อว่าเป็นคนใจนักเลง ชอบพิสูจน์ และเข้าหาอาจารย์เพื่อศึกษาเล่าเรียนเสมอ แต่เมื่อตอนวัยฉกรรจ์ได้มีเรื่องวิวาทต่อสู้กับหมู่นักเลง และกระโดดลงจากรถรางได้รับบาดเจ็บที่ขาข้างหนึ่ง หลายเดือนถัดมา แผลเน่าเนื่องจากรักษาขาไม่ดีจึงต้องตัดขา ท่านต้องใส่ขาปลอมหนึ่งข้าง เมื่อท่านรำมวยไท่จี๋ ท่านต้องรักษาสมดุลของท่าที่ยืน ทำให้ไม่อาจยืนทิ้งน้ำหนัก ทั้งสองขาได้ ท่านจึงต้องปรับปรุงการก้าวเท้า และท่ายืนให้เหมาะสมกับท่าน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ ของมวยไท่จี๋สายอาจารย์โค้ว . ฝีมือผลักมือของอาจารย์โค้วร้ายกาจมาก และเป็นคนจริง จนเป็นที่มาของฉายา "เป๋โค้ว" สมัยนั้น ในกรุงเทพ วงการมวยจีนจะทราบดีว่า มีอาจารย์สอนมวยจีนที่มีขาพิการ แต่ฝืมือร้ายกาจอยู่สองท่าน คือ "เป๋หลี่" หรืออาจารย์หลี่ซินแซแห่งเฮอลี่ฉวน และอาจารย์ "เป๋โค้ว" หรืออาจารย์ โค้วเปียฮะ สอนมวยไท่จี๋ . มวยไท่จี๋สายอาจารย์โค้ว ผู้สืบทอดได้แก่ "อาจารย์พูน อมรนนท์ฤทธิ์" (รูปที่สอง) อาจารย์พูนเป็นผู้สืบทอดทางสายเลือดจากอาจารย์โค้ว และผู้ถ่ายทอด ได้แก่ "อาจารย์ชีวิน อัจฉริยะฉาย" ผู้เป็นสายศิษย์ที่ยกน้ำชา . ณ วันนี้เป็นที่ยอมรับว่า มวยไท่จี๋สายจากอาจารย์โค้ว มีผู้สืบทอด และผู้ถ่ายทอดเพียงสองท่านนี้ . ในตอนต่อไปจะได้กล่าวถึง "พิธีสืบทอด" และ "การตั้งสำนัก" -จบ- ....................................................................... "จารีตชาวยุทธ์" ตอนพิเศษ "มารยาท และธรรมเนียมการแสดงตัวของชาวยุทธ์" โดย เชา หมัดทศพืช 22 พฤษภาคม 2558 . "จารีต" หมายถึง แบบแผนการประพฤติปฏิบัติ ที่กระทำสืบต่อกันมาช้านาน มักถือเป็นกฎ หรือระเบียบของสังคมที่เกี่ยวกับศีลธรรม ใครไม่ทำตามจารีตจะถือว่าเป็นคนชั่ว . "มารยาท" หมายถึง กิริยา วาจาที่สุภาพเรียบร้อย ที่บุคคลพึงปฏิบัติในสังคมโดยมีระเบียบแบบแผน อันเหมาะสมตามกาลเทศะ . "ธรรมเนียม" หมายถึง ประเพณี แบบแผน แบบอย่าง . ชาวยุทธ์โดยเฉพาะมวยจีน มีจารีต มารยาท และธรรมเนียมสืบต่อกันมาอยู่ข้อหนี่ง นั้นคือ "การแสดงตัว" ต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ หรือศิษย์ร่วมสำนักหรือไม่ก็ตาม . การแสดงตัวนี้ คือ การประกาศตัวว่าเป็นใคร เรียนมวยจากใครมา และสืบสายจากใคร เป็นผู้สืบทอด หรือผู้ถ่ายทอด เมื่อมีการสาธิตวิชาในที่สาธารณะ ผู้สาธิตต้องประกาศชื่อตัว ชื่ออาจารย์ ชื่อสำนัก เป็นต้น . หากไม่ประกาศตัวเอง ก็จะให้โฆษกเป็นผู้ประกาศ หรือแม้แต่การได้เจอเพื่อชาวยุทธ์ด้วยกัน ก็ควรจะประกาศตัวได้เมื่อมีการสอบถามว่า เรียนมวยนี้มาจากใคร สืบสายมาจากอาจารย์ท่านใด ยิ่งถ้าเป็นสายเดียวกันยิ่งต้องทำ . "ยิ่งมีฐานะเป็นอาจารย์ผู้สอน ต้องยิ่งประกาศ" . ทำไมต้องแสดงตัว? . เพราะเป็นการตรวจสอบในเบื้องต้นว่า ได้ร่ำเรียนมาจริงหรือไม่ เป็นศิษย์ใน หรือศิษย์นอก หากเป็นศิษย์ในจะต้องเขียนเทียบได้ เพราะมีสิทธิ ไล่สายว่าตนเองได้ร่ำเรียน และเป็นศิษย์ในที่ถูกต้อง ได้รับการถ่ายทอดวิชาที่เกิดจากการเขียนเทียบ ยกน้ำชา ตั้งสาย แต่หากเป็นศิษย์นอก ด้วยมารยาทก็ต้องประกาศตัวเช่นเดียวกัน . การเขียนเทียบ คือ การจัดลำดับการสืบสาย การยกย้ำชา คือ การยอมรับเข้าเป็นศิษย์ใน การตั้งสาย คือ การยอมรับว่านับแต่นี้ต่อไป คนนี้มีสิทธิเป็นผู้สืบทอด หรือเป็นผู้ถ่ายทอด ในอนาคต . ตัวอย่างสองรูปข้างล่างนี้ "รูปแรก" เป็นสายของอาจารย์ Dennis Rovere ซึ่งเขียนหนังสือชื่อ "The Xingyi Quan of the Chinese Army : Huang Bo Nien's Xingyi Fist and Weapon Instruction" "รูปที่สอง" คือ สายของอาจารย์ "Allen Pittman" ผู้เขียน "Chinese Internal Boxing: Techniques of Hsing-I & Pa-Kua" . จะเห็นได้ว่า การเขียนลำดับการสืบสายเช่นนี้ เป็นการให้เกียรติครูบาอาจารย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในหนังสือทั้งสองเล่มมีการพูดถึงว่าได้เรียนมวยนี้มาจากใคร มีการประกาศชื่ออาจารย์ที่สอนอย่างชัดเจน ซึ่งหากผู้ใดสงสัยก็สามารถตรวจสอบไปยังต้นสังกัด หรือสายตรงในวิชาดังกล่าวได้ . "ไม่มีการเขียนกำกวม หรือเขียนอุปมาให้เดากันเองว่าเป็นใคร" . ในหนังสือมวยสิ่งอี้ภาคภาษาอังกฤษที่เก่ากว่านั้น และถือว่าเป็นหนังสืมวยสิ่งอี้เล่มแรกที่เผยแพร่ไปสู่ตะวันตก คือ "Hsing-I: Chinese Mind-Body Boxing" (รูปที่สาม) ซึ่งเขียนโดย อาจารย์ "Robert W. Smith" (รูปที่สาม) แม้จะไม่มีการไล่สายแต่ก็ได้เขียนถึงว่าอาจารย์ "หยวนเต้า" (Yuan Tao) (คนเดียวกับที่แสดงท่าเปิงฉวนที่หน้าปก) ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนมวยสิ่งอี้ให้กับอาจารย์ "Robert W. Smith" อีกด้วย . เหตุที่ประกาศ ส่วนหนึ่งก็เพื่อการตรวจสอบ อีกส่วนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญกว่าส่วนแรก นั่นคือ "การให้เกียรติ" ครูบาอาจารย์ที่สั่งสอน เพราะยุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยของความรู้ ที่ "เปิดเผย ยกย่อง และให้เกียรติองค์ความรู้" ของครูบาอาจารย์ได้กรุณาถ่ายทอดให้ และยุคนี้ไม่ใช่ยุคกบฏนักมวยที่ต้องปกปิดชื่อแซ่ เพื่อหลบหนีการตามล่าของทางการ . ปัจจุบัน แม้แต่มวยสายกบฏเอง ก็เปิดเผยชื่อครูบาอาจารย์ และให้เกียรติยกย่องบรมครูผู้สั่งสอนมา . ว่าแต่คุณเรียนมวยมาจากใคร? . -จบ-
Create Date : 04 มกราคม 2559 |
Last Update : 4 มกราคม 2559 13:28:21 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2748 Pageviews. |
|
|