|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
มาแนะนำการปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตมากๆ |
|
วันนี้มาแนะนำการปลูกข้าวโพดสำหรับเพื่อนๆคนไหนที่อยากปลูกข้าวโพดให้ได้ผลผลิตมากๆวันนี้เรามรแนะนำวิธีและเทคนิคดีๆเล่าสู่กันฟัง
ข้าวโพด เป็นพืชที่มีประโยชน์หลายอย่างคือ เป็นทั้งอาหารของมนุษย์และสัตว์ มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก เพราะนอกจากเพื่อใช้ภายในประเทศแล้ว ยังสามารถส่งออกได้ปีละมากๆ ข้าวโพดที่นิยมปลูกในประเทศไทยมีหลายชนิด เช่น ข้าวโพดหัวบุบ ข้าวโพดหัวแข็งข้าวโพดหวาน ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดแป้ง ข้าวโพดอาหารสัตว์ แต่ในการอธิบายเทคนิควิธีการเพาะปลูก จะขอแยกออกเป็น 3 ประเภท คือ 1. ข้าวโพดหวาน 2. ข้าวโพดอาหารสัตว์ 3. ข้าวโพดฝักอ่อน 1. ข้าวโพดหวาน เป็นพันธุ์ที่ชอบดินร่วน หรือชอบดินร่วนเหนียวปนทราย หรือดินร่วนปนทราย ระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบความแห้งแล้งและความชื้นแฉะ ดินที่มีความชื้นธรรมดา ไม่แฉะ ข้าวโพดจะเจริญเติบโตได้ดีมาก มีรายละเอียดสำคัญดังนี้ 1.1 พันธุ์ที่นิยมปลูก เป็นพันธุ์ลูกผสม มีเมล็ดสีเหลือง สามารถเก็บเกี่ยวได้ในระยะ 18-20 วัน หลังจากออกไหม 1.2 ฤดูกาลปลูก - ปลูกได้ตลอดปี ถ้ามีน้ำเพียงพอ - ฤดูปลูกที่เหมาะคือ ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน เดือนมกราคม หรือเริ่มปลูกในระยะต้นฤดูฝน คือระหว่างเดือนพฤษภาคม - เดือนกรกฎาคม หลังเก็บเกี่ยวข้าวก็สามารถปลูกในนาได้ จะให้แน่นอน เกษตรกรต้องพยายามสังเกตความเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศด้วยว่า - ฝนจะเริ่มตกเมื่อไร - ฝนจะหมดเมื่อไร จะปลูกในระยะนั้นๆ เพราะข้าวโพดไมชอบความแห้งแล้งหรือมีน้ำมาก ทั้งแห้งและแฉะ จะไม่เหมาะต่อการปลูกข้าวโพด ระยะที่ดีที่จำได้ง่ายๆ คือระยะต้นหรือระยะปลายฤดูฝน การเตรียมดิน ปลูกบนพื้นราบ - ใส่โบกาฉิก่อนไร่ละ 100-200 กิโลกรัมตามสภาพ - พ่นด้วย EM ขยาย 40-50 ลิตรต่อ 1 ไร่ ผสมน้ำสะอาด 1:500-1,000 ตามสภาพดินแห้งหรือเปียก ถ้าพื้นดินขาดอินทรียวัตถุ ควรใส่มูลสัตว์หรืออินทรียวัตถุอื่นๆ ด้วย เช่นใบไม้ ซากต้นข้าวโพด ฯลฯ แล้วจึงใส่โบกาฉิและพ่น EM ให้ชื้นโดยทั่วไป แล้วไถดะ หรือไถด้วยผาล 3 และผาล 7 หมักไว้ 7-15 วัน พรวนด้วยผาล 7 อีกครั้ง แล้วยกแปลงปลูกการดำเนินเช่นนี้เพื่อ - การกำจัดวัชพืช - เพิ่มปุ๋ยในดิน - กำจัดเชื้อโรคต่างๆ การปลูกจะได้ผลดีกว่าการใส่ปุ๋ยภายหลัง และการใส่ปุ๋ยโบกาฉิก่อน ทำให้รากยาว ลึก โค่นล้มยาก และหาอาหารได้เก่ง ทนต่อภาวะอากาศแล้งหรือฝนชุก ถ้าปลูกไม่มาก มีพื้นที่ 2-3 งาน ให้ได้ผลผลิตสูง ทำดังนี้ - หลังการไถ่ครั้งแรก พรวนแล้วชักร่องให้ลึกตามแปลงที่จะปลูก นำอินทรียวัตถุมาใส่ เช่น หญ้า ฟาง ใบไม้ มูลสัตว์ ฯลฯ แล้ว - ใส่โบกาฉิ เมตรละ 1-2 กำมือ - รด EM (1:1:500) - กลบร่องและยกเป็นแปลง หมักไว้ไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนปลูก ในแปลงนาหรือแปลงที่มีวัชพืชมากๆ หว่านโบกาฉิ พ่น EM แล้วไถพรวน หญ้าฟางคือปุ๋ย ขอให้ได้หมักและย่อยสลายก่อนด้วย EM หมายเหตุ หากมีอินทรียวัตถุและมีโบกาฉิมูลสัตว์เพียงพอ ผลผลิตจะสมบูรณ์มากน้อยตามสภาพ การใช้เทคนิคเกษตรธรรมชาติด้วย EM จะปรับสภาพให้เป็นปกติ ทั้งสภาพดินโรค ดินกรด ดินด่าง หรือดินขาดสารอาหาร 1.3 วิธีการปลูก ก่อนปลูก นำเมล็ดพันธุ์แช่ EM (1:500-1,000) นาน 10-20 นาทีเพื่อ - กำจัดเชื้อโรค สารพิษสารเคมี - เร่งการงอก ข้าวโพดหวาน ปลูกหลุมละ 1-2 เมล็ด ข้าวโพดข้าวเหนียว ปลูกหลุมละ 2-3 เมล็ด 1.4 ระยะระหว่างหลุม - ถ้าปลูกเป็นแถวเดี่ยวระหว่างหลุม ระยะ 25 เซนติเมตร - ถ้าปลูกแถวคู่ให้เยื้องกัน ระหว่างหลุม 25-30 เซนติเมตร 1.5 การดูแลรักษา 1. ใส่ปุ๋ย พิจารณาตามสภาพดิน หรือดูที่ต้นกล้า - ดินดี ต้นกล้าสวยแข็งแรง ใส่เมื่ออายุ 40 วัน - ดินไม่ดี กล้าไม่สมบูรณ์ ใส่ 2 ครั้ง เมื่อกล้าอายุ 20 วัน และ 40 วัน - พ่น EM เสมอทุกครั้งที่ใส่โบกาฉิ 2. การให้น้ำ - ยกร่องให้น้ำสูง 3/4 ของร่อง สัปดาห์ละครั้งหรือตามความเหมาะสม - แปลงราบ รดด้วยการสาดพ่น รด ราด ทุกๆ 7-10 วัน/ครั้ง เมื่อสักเกตเห็นว่าใบข้าวโพดเหี่ยวนั้นแสดงว่าดินแห้ง ควรรีบให้น้ำ (ยกเว้นฝนตก) 1.6 ศัตรูและการป้องกัน การได้ใส่โบกาฉิ หรือบำรุงดินสม่ำเสมอ หรือถ้าดินดี พืชจะไม่มีโรคและไม่ถูกรบกวนจากศัตรูพืชด้วย ในระยะปีแรกๆ ควรใช้ EM5 สม่ำเสมอ เดือนละ 2 ครั้ง พ่นให้ทั่วในระยะแดดร่มลมตก 1.7 การเก็บเกี่ยว ต้องทำทุกระยะ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวได้คุณภาพ - เก็บเกี่ยวหลังออกไหมได้ 50% เป็นเวลา 18-20 วัน หรือสังเกตสีของไหม จะเป็นสีน้ำตาลเข้ม - ข้าวโพดฝักบนสุด ฉีกเปลือก เล็บกดเมล็ดจะมีน้ำนมไหล - ข้าวโพดหวานควรเก็บทั้งหมดภายใน 5-7 วัน ถ้าเก็บก่อนหรือหลังระยะที่เหมาะสม 1-2 วัน จะทำให้ได้ข้าวโพดคุณภาพไม่ดี - ใช้มือหักฝักสดให้ถึงบริเวณด้านฝักที่ติดลำต้น 1.8 การปฎิบัติหลังการเก็บเกี่ยว - รีบนำผลผลิตไว้ที่ร่ม ไม่ให้ถูกแสงแดด - ไม่ควรกองสมให้สูงมากเกินไป มีอากาศถ่ายเทดี - ถ้ามีการขนส่งไกลนานเกิน 3 ชั่วโมง ควรมีที่ระบายอากาศ โดยใช้ท่อพีวีซี ขนาด 2-3 นิ้ว ยาว 3-4 เมตร การดูแลแปลงหลังเก็บเกี่ยว ถ้าทำได้จะดีมากคือ - ไม่เผาต้น ควรตีป่นด้วยเครื่อง - ใส่โบกาฉิ + EM ขยาย พ่น - ไถกลบซากไว้ในดิน ถ้าจะปลูกต่อก็ควรหมักไว้ก่อน 7-15 วัน แล้วไถพรวนตามที่กล่าวมาข้างต้น 2. ข้าวโพดอาหารสัตว์ ข้าวโพดอาหารสัตว์เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความต้องการเพิ่มทุกปี แต่มีปัญหาเพิ่มทุกปีคือ - มีพื้นที่เพาะปลูกลดลง แต่ความต้องการเพิ่ม - ประสิทธิภาพการผลิตต่ำทั้งฤดูกาล และการปนเปื้อนสารพิษสารเคมี - มีการระบาดของโรคสูง - ผลผลิตกระจุกตัวในเดือนสิงหาคม เดือนตุลาคม - เมล็ดพันธุ์ราคาแพง 2.1 สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม - พื้นที่ไม่ลาดเอียงมาก - ดินร่วน ดินเหนียว ดินร่วนทราย - การระบายน้ำดี 2.2 การเตรียมดิน - ใส่โบกาฉิไร่ละ 100-200 กิโลกรัม - สาดพ่นด้วย EM (1:1:500-1,000) ให้ทั่ว (ใช้ EM ประมาณไร่ละ 30-40 ลิตร เป็น EM ขยาย) - ไถด้วยผาล 3 ต่อด้วยผาล 7 - หมักดินไว้ไม่น้อยกว่า 7 วัน พรวนอีกครั้ง ขั้นตอนนี้มีประโยชน์มากเพื่อหมักดินให้เกิดปุ๋ย กำจัดวัชพืช และกำจัดเชื้อโรค สารพิษสารเคมีปรับสภาพความเป็นกรด ด่าง ให้เป็นกลาง - ยกร่องปลูกได้ หรือจะปลูกโดยไม่มีร่องก็ดำเนินการได้ 2.3 ฤดูกาลปลูก - ต้นฤดูฝนเดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม - ปลายฤดูฝนเดือนกรกฏาคม - เดือนสิงหาคม 2.4 วิธีปลูก - ระหว่างแถว 75 เซนติเมตร - ระหว่างต้น 25 เซนติเมตร - ใส่หลุมละ 1-2 เมล็ด ก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์แช่ในน้ำผสม EM 1:500-1,000 เป็นเวลานาน 20-30 นาทีก่อน 2.5 การให้ปุ๋ย - ใส่โบกาฉิเดือนละครั้ง - พ่นด้วย EM (1:1:500-1,000) เดือนละครั้ง - ฮอร์โมนเร่งดอก สารสกัดพืชหมัก (F.P.E.) 20-30 วันต่อครั้ง 2.6 การรักษาป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช - EM5 (สุโตจู) ในการใช้เทคนิคเกษตรธรรมชาติต้องใช้เสมอๆ ทุกๆ 15-20 วัน หากงดเคมีได้ในปีต่อๆ ไปไม่ต้องใช้ เพราะเมื่อดินสะอาดโรคต่างๆ จะไม่มี 2.7 การเก็บเกี่ยว - เก็บเกี่ยวได้เมื่อข้าวโพดแห้งทั้งแปลงไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อไม่ให้มีความชื้นมากเกินไป - ไม่ควรเก็บหลังฝนตก 2.8 หลังการเก็บเกี่ยว - ตากให้แห้ง ก่อนการกระเทาะฝัก - ตากเมล็ดอีกครั้ง - นำไปจำหน่าย ไม่ควรปล่อยแปลงทิ้ง เพราะจะถูกเผาเล่นควรป่นต้นข้าวโพด ใส่โบกาฉิไร่ละ 100 กิโลกรัม พ่นด้วย EM เหมือนการเตรียมแปลง ไถด้วยผาล 3 ต่อด้วยผาล 7 จะปลูกพืชอื่นใดต่อก็ได้หรือไม่ปลูกก็ได้เป็นการรักษาดินให้มีคุณภาพ เมื่อถึงฤดูกาลปลูกก็เริ่มเตรียมแปลงใหม่เหมือนเดิม ผืนดินจะไม่เสื่อม ผลผลิตจะได้เพิ่มทุกปี คุ้มกับการลงทุนลงแรง 3. ข้าวโพดฝักอ่อน เป็นผักส่งออกที่สำคัญของประเทศในรูปผักสดหรือผักบรรจุกระป๋อง หรือการแช่แข็ง แต่การเพาะปลูก การดูแลต้องมีความรอบรู้ รอบคอบ ละเอียดละออพอควร การเพาะปลูกข้าวโพดฝักอ่อน ต้องใช้แรงงานมาก และผลผลิตก็ต้องมาก เกษตรกรจึงควรร่วมกันผลิตเป็นกลุ่ม มีผู้นำเพื่อการดูแล การดำเนินงานทุกขั้นตอนกระทั้งส่งออก 3.1 พันธุ์ที่นิยม สุวรรณ1, สุวรรณ2, สุวรรณ3, รังสิต1,เชียงใหม่ 90 3.2 การปรับปรุงดิน ชอบดินร่วน ไม่ชอบแฉะมีน้ำขัง การปรับปรุงดินหรือเตรียมแปลง ปฎิบัติเหมือนที่กล่าวมาแล้ว คือ - โบกาฉิ ไร่ละ 100-200 กิโลกรัม ตามสภาพดิน - EM ไร่ละ 30-40 ลิตร ผสม 1:1:500-1,000 - ไถดะ ไถแปร (ผาล 3 ต่อด้วยผาล 7 ) - หมักไว้ก่อนไม่น้อยกว่า 7 วัน - ไถแปร ยกร่อง 3.3 ระยะปลูก - 50x50 หรือ 40x40 เซนติเมตร - หลุมละ 3 ต้น 3.4 การดูแล - การให้น้ำต้องดูแลเอาใจใส่มาก ขาดความชื้นไม่ได้เลย แต่อย่าให้แฉะ ข้าวโพดยังเล็ก ก็ให้ทุกๆ 2-3 วัน ต่อ 1 ครั้ง เมื่อสูงประมาณเข่าให้ 5-7 วัน/ครั้ง - โบกาฉิ พิจารณาใส่บริเวณที่ข้าวโพดไม่สวย เจริญเติบโตช้า หากข้าวโพดสมบูรณ์แล้วไม่ต้องใส่ - EM ควรพ่นสม่ำเสมอ - EM5 ก็ควรใช้เป็นประจำ (ดูรายละเอียดที่ผ่านมาในข้าวโพดหวาน) 3.5 การถอดยอด ข้าวโพดอายุ 38 วัน หรือมีใบจริงครบ 7 คู่ จะมีช่อดอกตัวผู้โผล่ออกมาจากใบธง (ใบยอด) ให้ดึงช่อดอกออกทิ้ง ต้องระวังต้นให้มั่น การทำเช่นนี้เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์กับเกสรตัวเมียที่ปลายฝัก 3.6 การเก็บเกี่ยว - เก็บเกี่ยวฝักอ่อนได้หลังดึงช่อดอกตัวผู้ออกแล้ว 3-5 วัน สังเกตได้จากไหมที่โผล่พ้นฝักประมาณ 1-2 เซนติเมตร - ต้องเก็บทุกวัน เพื่อไม่ให้ฝักแก่เกินไป การปลูกข้าวโพดฝักอ่อน ต้องขยัน ละเอียด มีความรู้ ความเข้าใจในสภาพต่างๆ ที่พอเหมาะพอดี จึงต้องมีหลายคน แต่ก็เป็นที่น่ายินดีกับงานนี้คือ ราคาดี ไม่มีตกค้าง และปฎิบัติได้ตลอดปี ต้องขยัน อดทน แต่มีรายได้ดี เป็นงานไม่หนัก แต่ไม่ค่อยจะว่าง 3.7 การรักษาคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยว - หลังเก็บ รีบนำเข้าร่ม หรือโรงเรือนที่ระบายอากาศได้ดี - ขนส่งควรทำโดยเร็ว - การปอกเปลือก ต้องชำนาญในการกรีดไม่ให้เกิดแผลที่ฝัก - ทำความสะอาด - การส่งออกต้องทำตามเทคนิควิธีอย่างถูกต้อง 3.8 การดูแลแปลงหลังการเก็บเกี่ยว - ต้นข้าวโพดนำไปเป็นอาหารสัตว์ได้ - แต่ถ้าไม่ทิ้งหรือไม่นำออกไปไหนเลย จะตีป่นคลุมดิน ใส่โบกาฉิ และ EM เหมือนที่กล่าวมาแล้ว - ไถกลบด้วยผาล 3 ต่อด้วยผาล 7 หมักไว้ดีกว่าการตากแปลง จะทำให้ดินไม่เสื่อม การเพาะปลูกรุ่นต่อๆ ไปจะลดปุ๋ยลงได้เมื่อดินสมบูรณ์ หมายเหตุ 1. ต้นข้าวโพดเป็นพืชสด หากไม่ได้ใช้โบกาฉิ + EM จะทำให้ดินเป็นกรด การไถกลบจึงต้องใส่โบกาฉิและ EM จึงจะเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน 2. นำไปเป็นอาหารสัตว์ ควรตัดเป็นท่อนสั้นๆ หมักด้วย EM ก่อน สัตว์จะกินทั้งหมด หากไม่ตัดเป็นท่อนสั้นๆ สัตว์จะกินแต่ใบ
ไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะสำหรับเพื่อนๆที่สนใจเมล็ดพันธ์ แหล่งจำหน่ายเมล้ดพันธุ์ผักและผลไม้ส่งทั่วประเทศค่ะ //facebook.com/thailandseedshop
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2559 |
Last Update : 15 ธันวาคม 2559 10:08:56 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1849 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|