1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
เมื่อ Michael Haneke เอาหนังทริลเลอร์ของตัวเอง Funny Games มารีเมคอีกครั้งในฉบับฮอลลีวู้ด
น้องดองที่รัก ในที่สุดพี่หมีก็ได้ดูหนังเรื่องนี้สมความประสงค์ของน้องด้วยความเมื่อยสมองเป็นที่ยิ่ง เข้าใจอยู่ว่าตาผู้กำกับไมเคิล ฮาเนเก้นั้น หนังของเขามันแนวๆ มาแต่ไหนแต่ไร เคยชอบ Hidden ที่ได้รับรางวัลที่เมืองคานส์อยู่ไม่น้อย แต่การที่มารีเมค Funny Games ในเวอร์ชั่นฮอลลีหวูด (ชนิด shot by shot กับเวอร์ชั่นเยอรมันต้นฉบับ)โดยฝีมือตัวเองนั้น คิดว่าน่าจะเป็นเรื่อง คุณขอมา จากแม่นาโอมิ วัตต์สซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Funny Games ต้นฉบับ เพราะนับเป็นบทดราม่าที่ท้าทายนักแสดงมีระดับอย่างเจ้าหล่อนอยู่ไม่น้อย เลยเล่นบททั้งผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงนำมันซะเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้กระแสหนังสยองเลือดสาดนั้นขายได้เสมอสำหรับตลาดหนังฮอลลีหวูด ดูเอาง่ายๆ ว่าหนังต้นแบบถูกนำมารีเมคกันเป็นล่ำเป็นสัน อย่าง Texas Chainsaw Massacre, The Hills have eyes หรือแม้แต่ Quarantine ซึ่งกำลังจะลงโรง ก็รีเมคจากหนังสแปนิช REC เนื่องจากตัวเองมิได้ปลื้มหนังแนวนี้เท่าใดนัก เพราะยุคหลังๆ ดีกรีความรุนแรงมันกลบสไตล์เกร๋ๆ ในการเล่าเรื่องอย่างแยบยลซะหมด พี่หมีจึงพยายามทำใจกลางๆ กับการชม Funny Games ในเวอร์ชั่น Uncut นี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีฉากใดในเรื่องจะต้องโดนหั่นไปเมื่อฉายในโรง เพราะแนวการนำเสนอความสยองแบบฮาเนเก้นั้น คือสไตล์ของฮิทชค็อกนั่นเอง (หากแต่นิ่ง..เนิบ และโหดกับความรู้สึกคนดูกว่า) และจะไม่เน้นภาพหวาดเสียวสยองขวัญให้เสียเกรดหนังทริลเลอร์ชั้นดี โอกาสที่จะมีฉากแหวะๆ ให้หั่นหรือเบลอร์นั้น..เรียกว่าแทบหาไม่ได้เอาเลย กองเซ็นเซ่อของเราคงแค้นเนอะ..เหอๆๆ ความโดดเด่นของการเล่าเรื่องจึงอยู่ที่การใช้บรรยากาศอันแสนอึดอัดบีบเค้นให้คนดูต้องหายใจอย่างไม่ทั่วท้องแทน เนื่องจากจินตนาการของคนดูจะทำงานได้กว้างไกลกว่า ให้ความรู้สึกสยดสยองกว่า เพียงแค่ได้ยินเสียงหรือเห็นแค่ผลสะท้อนของมัน สองฆาตกรจากต้นฉบับเวอร์ชั่นเยอรมัน สไตล์ของหนังจึงเน้นแต่ความเงียบกับซาวนด์เอ็ฟเฟ็คกรีดร้องโอดโอยของเหยื่อ แค่นี้ก็สร้างความประสาทให้กับคนดูเหลือจะพอ ไม่มีเพลงที่สกอร์ขึ้นมาเพื่อบิลท์ความระทึกขวัญเหมือนหนังเรื่องอื่นๆ จะมีเพียงเพลงสัญลักษณ์ คือ เพลงคลาสสิคในช่วงต้นที่แสนจะคอนทราสต์กับเพลงเฮฟวี่เมททัลอันหลุดโลก ซึ่งโผล่มาเป็นครั้งคราว ที่เหลือคือความเงียบและเงียบ กับไดอะล็อกสติแตกของสองหนุ่มฆาตกรที่พยายามทำเกร๋สร้างเกมส์ (ทื่อๆ) ให้เหยื่อเล่น พาลนึกไปถึงบทของนักฆ่าผมบ๊อบใน No country for old men ก็เลยรู้สึกไม่ค่อยเซอร์ไพรส์อะไรนักหนา และก็รู้อยู่แก่ใจว่า..ไม่ต้องไปหาเหตุผล Motive บ้าบออะไรกับมัน มันก็แค่อยากฆ่าๆๆๆ ให้คนดูผวาเล่นไปงั้นแหละ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับวิธีเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ เปิดเรื่องมาแป๊บๆ อีฆาตกรสองหน่อแต่งยูนิฟอร์มขาวใส่ถุงมือขาวก็โผล่เข้ามาทันที ชนิดที่คนดูรู้สึกได้ถึงรังสีฆ่าฟัน ความเด่นของการเล่าเรื่องก็คือ บทที่ดูธรรมชาติไม่ประดิดประดอย การแสดงที่ดูสมจริง และให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตจริงที่เราๆ ท่านๆ อาจจะต้องเผชิญเข้าสักวัน เวลาที่เหลือคือ.. ความสนุกในการทรมานเหยื่อของฆาตกร ซึ่งพี่หมีก็พอจะเดาวิธีเล่าเรื่องได้ล่วงหน้าว่าเด็กหนีไปจะไปเจออะไร หรือแม่นางเอกจะต้องทุรนทุรายไปเจออะไรอีกมั่ง ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกลุ้นสักกี่มากน้อย วิธีการแช่กล้องทิ้งความเงียบและความบีบคั้นอารมณ์ให้กับคนดูก็พอเดาได้อีกเช่นเคย (ซึ่งหนังอเมริกันไม่ค่อยกล้าทำ) แต่ก็ให้ผลในการสร้างความหดหู่สิ้นหวังให้กับคนดูอย่างชะงัด ดูไปๆ ก็บอกตามตรงว่าไม่มีความหวังอะไรกับเหยื่อว่าจะต้องหนีเอาตัวรอดได้อะไรทำนองนั้น เพราะเริ่มจับทางอีตาผู้กำกับได้....ก็เลยเป็นรายการตามไปดูชะตากรรมของตัวแสดงไปเรื่อยๆ ดูไปก็ถอนใจไป..เฮ้อออ นึกถึงหนังแนวหักมุม (และหักหลังคนดู) อย่างเช่น Seven หรือ The Mist เรื่องนี้อาจจะต่างไป เพราะดูไปๆ ก็ไม่ได้สร้างความหวังในการมีชีวิตรอดเลยให้กับคนดู อ้อ..แต่อาจจะมีตอนนึงที่คิดว่าเหนือความคาดหมายอยู่ ก็คือฉากรีโมทคอนโทรล ซึ่งถ้าเล่าก็คงเอ๋อเหรอกันเป่าๆ..เอาว่าหลุดแนวเรื่องชนิดหัวทิ่มแร้วกาน...555สองฆาตกร กับผู้กำกับ Brady Corbert, Michael Haneke, Michael Pitt ผลงานรีเมค ของไมเคิล ฮาเนเก้เรื่องนี้ก็เลยอาจจะไม่ดูฉีกแนวแหกตลาดอย่างที่คาดสักเท่าไร เพราะหนังแนว Saw ซึ่งหวือหวาแหวะกว่าก็ล่อกันมาถึงภาคห้าเข้าไปแล้ว ก็ถือว่าอย่างน้อยมีคนอุตส่าห์เดินรอยตามสไตล์คลาสสิคของฮิทชค็อก แต่ถ้าจะถามว่าปลื้มไหม..ก็บอกไม่ถูก เพราะมันรู้สึกเหนื่อยและสลดใจเกินกว่าจะรู้สึกสนุกกับภาษาหนัง จริงๆ มันเป็นความจงใจของผู้กำกับที่จะทุบหัวคนดูแบบนี้ คล้ายๆ กับหนัง Irreversable หรือเพราะเราหน่ายกับความรุนแรงในโลกของจริงด้วยกระมัง พอมาดูในหนังซ้ำเข้าไปอีกก็รู้สึกเลี่ยนเป็นกำลัง โดยส่วนตัวแล้ว คงจะไม่เล่าหนังแบบนี้ มันง่ายไปหน่อย เหยื่อของเราคงต้องยอกย้อน และท้าทายฆาตกรกว่านี้ คนเราเมื่อจนตรอกย่อมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่หมดหวังหมดสภาพรอความตายตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง แต่อย่างว่าแหละ มันเป็นความจงใจของฮาเนเก้ ที่จะบีบให้เหยื่อตกอยู่ในสภาพจำยอมไปจนสิ้นลมแบบนี้ เหมาะกับคนดูประเภท Masochism เนอะ..หุๆๆ อ้อ..อยากจะสารภาพว่า..พี่หมีเองก็เขียนหนังทริลเลอร์แนวนี้กับอาจารย์อรรนพมาก่อนสมัยเพิ่งจบมาใหม่ๆ ชื่อเรื่องคือ โบกี้สุดท้าย ซึ่งหลังจากดู Funny Games จบ ก็ให้นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีทันควัน น่าเสียดายที่ต้นฉบับไปอยู่ที่ไหนไม่ทราบ น้องดองลองถามอาจารย์ดูหน่อยจิ....
Create Date : 28 ธันวาคม 2551
8 comments
Last Update : 29 ธันวาคม 2551 16:25:32 น.
Counter : 2349 Pageviews.
โดย: yyswim 1 มกราคม 2552 19:08:53 น.
โดย: I will see U in the next life. IP: 118.174.126.125 3 มกราคม 2552 14:16:41 น.
โดย: Nagano 8 มกราคม 2552 13:30:34 น.
โดย: chubby33 IP: 58.8.48.10 12 มกราคม 2552 15:50:11 น.
โดย: chubby33 IP: 58.8.48.10 12 มกราคม 2552 15:55:01 น.
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [? ]
งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
Have a great new year na kha :)