Love Never Dies ภาคต่อของ Phantom of the Opera ทำมาทำไมกันเนี่ย
หลังจากกระแสบ่นๆ ของนักวิจารณ์และแฟนละครแฟนธอมของ ลอร์ด แอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ (Andrew Lloyd Webber) เมื่อยาม Love Never Dies ละครภาคต่อของ The Phantom of The Opera มิวสิคัลยอดนิยม ซึ่งลงโรงในเวสต์เอนด์ ลอนดอนไปเมื่อหลายเดือนก่อน แต่กลับต้องปิดฉากเก็บข้าวของไปก่อนเวลาอันควร จากนั้นแอนดรูว์ก็คงค้นพบข้อบกพร่องหลายประการ เลยนำมาอัพเกรดใหม่ด้วยโปรดักชั่นใหม่เอี่ยมที่ออสเตรเลีย
เมื่อได้ยลเวอร์ชั่นดีวีดีที่บันทึกการแสดงจากโรงละครรีเจนท์ ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ซึ่งออกมาไล่ๆ กันกับดีวีดี The Phantom of the Opera ฉบับครบรอบ 25 ปีซึ่งแสดงที่รอยัล อัลเบิร์ต ฮอลล์ ในลอนดอน ก็เลยถึงบางอ้อว่าทำไมถึงมีรีวิวปนเปกันไปทั้งดีและไม่ดี โดยเฉพาะแฟนขาประจำแฟนธอมที่หลายคนพากันผิดหวังบ่นกันพึมที่ทำให้ภาพลักษณ์แฟนธอมที่เคยอยู่ในใจกลายพันธุ์เป็นอะไรไปก็ไม่ทราบ
ก่อนหน้านี้ ภาคต่อของแฟนธอมเคยโผล่ออกมาวางแผงในลักษณะของนวนิยายโดย เฟรเดอริก ฟอร์ไซท์ นักเขียนชื่อดัง ในชื่อเรื่อง The Phantom of Manhattan เมื่อปี 1999 ซึ่งเป็นพล็อตที่ได้รับการพัฒนาจากตัวผู้ประพันธ์และตัวแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์เอง ขณะที่แอนดรูว์กลับไม่แฮปปี้กับการดำเนินเรื่องนัก บอกว่าไม่เหมาะกับการเป็นมิวสิคัล เขาเลยตัดสินใจนำมาพัฒนาใหม่อีกครั้งจนกลายมาเป็น Love Never Dies ฉบับมิวสิคัลนี้ ข้าพเจ้าเผอิญได้หลงไปอ่านนิยายเรื่องนี้เข้าเมื่อสองปีที่แล้ว ในแง่มุมการนำเสนอแบบนวนิยาย โดยส่วนตัวคิดว่าน่าสนใจกว่าพล็อตใหม่ที่แอนดรูว์นำมาทำเป็นละคร เรื่องราวยังคงความลึกลับของตัวแฟนธอม และค่อยๆ เผยความเป็นมาทีละเปลาะ และยังคงสไตล้เล่าเรื่องอันซ่อนเร้นของแฟนธอมไว้ได้อย่างชวนติดตาม
ขณะที่ฉบับมิวสิคัลที่นำมาเปิดตัวที่ลอนดอน และต้องนำมามารื้อไปรอบหนึ่งหลังจากโดนคำวิจารณ์โขกสับไปพอสมควร กลับขาดอารมณ์ Mysterious Romantic Musical ไปซะงั้น เปิดฉากแรกมาอย่างโล่งโจ้งกับแฟนธอมซึ่งกำลังครวญเพลงเอก Till I hear you sing โดยคนดูมีแต่ปริศนาในใจว่าอีตาแฟนธอมจู่ๆ โผล่มาได้ไง การเล่าเรื่องยิ่งไร้ภูมิหลังของตัวละครว่าก้าวเข้ามายิ่งใหญ่บนเกาะโคนี่ได้ยังไง ยิ่งถ้าคนไม่เคยรู้เรื่องสวนสนุกบนเกาะโคนี่ในสหรัฐมาก่อน ก็คงยิ่งงงหนักเข้าไปอีก
และการที่แอนดรูว์ออกมาให้สัมภาษณ์แก้เกี้ยวว่า Love Never Dies สมบูรณ์ในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องชม The Phantom of the Opera มาก่อนนั้น ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่เคยชมตอนแรกมาก่อนมีหวังได้เอ๋อเหรอล่องลอยจับต้นชนปลายไม่ถูกแน่นอน
เสน่ห์ของเรื่องจึงถูกทำลายไปแต่ต้นตั้งแต่ตัวบทละคร ยังไม่รวมถึงเพลงประกอบซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของมิวสิคัล เพลงที่ไพเราะสะดุดหูมีอยู่ไม่กี่เพลง ที่โดดเด่นจนคุ้นทำนองก็มีแต่เพลงเอก Till I hear you sing และเพลงเปิดฉาก The Coney Island Waltz นอกนั้นผ่านๆ หูไปมิได้อยู่ในความทรงจำ ไม่เหมือนภาคแรกที่ทุกเพลงโดดเด่นร้อยเรียงกันลงตัว สะดุดหูทั้งทำนองเนื้อร้อง นี่ขนาดแอนดรูว์ยอมเรียก Charles Hart ผู้ประพันธ์เนื้อร้องเดิมมาช่วยแก้ไขให้แล้วนะเนี่ย
เพื่อนๆ ที่ได้ชมโปรดักชั่นแรกเริ่มที่ลอนดอน ได้บอกถึงพัฒนาการของเวอร์ชั่นล่าสุดของออสเตรเลียว่าดีขึ้นมาก กระนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้สึกประทับใจสักกี่มากน้อย ทั้งๆ ในแง่มุมของ Art Direction การออกแบบท่าเต้น การกำกับ ก็ยอมรับว่าทำได้ดีทีเดียว ตัวแสดงแต่ละคนต่างก็เล่นร้องได้อย่างมาตรฐานบรอดเวย์ หากแต่เนื้อหาหลักของเรื่องกลับไม่ชวนติดตาม ความน่าสนใจไปตกอยู่ที่ลีลาคอรัสตัวประกอบในแต่ละฉากที่ออกแบบได้น่าทึ่ง และที่สำคัญ เพลงไม่ได้โดดเด่นไพเราะอย่างที่หวัง อย่างว่าแหละ ถ้าไม่ใช่ตอนต่อของแฟนธอมซึ่งสร้างความคาดหวังอย่างสูงให้กับบรรดาแฟนคลับ ก็คงไม่มีขาประจำออกมาจิกกัดกันถึงขนาดตั้งชื่อแฟนธอมเวอร์ชั่นนี้ว่า Love Should Die
แอนดรูว์ยังหวังว่า Love Never Dies โปรดักชั่นของออสเตรเลียนนี้จะพัฒนาต่อยอดไปแสดงที่บรอดเวย์ นิวยอร์คได้ เพราะคำชมจากคนดูและนักวิจารณ์จากออสเตรเลีย หลังจากต้องล้มเลิกความตั้งใจไปหลังจากกระแสตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรจากลอนดอน โปรดักชั่น
แหม่.. มันก็ต้องมีมั่งนิ ยุ้งยุ่ง กะ ว้างงงง ว่าง สลัับกันปายยย
เรื่องนี้ได้ยินเพื่อนของป้าโซที่เป็นสาวกของแฟนธอมบ่นๆอยู่เหมือนกัน แต่อิฉันยังมิได้กระดิกไปดูเลยค้าาา..