Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
17 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 

ตำนานฯ ภาค 2 บางอย่างที่มาเติมเต็ม และบางอย่างที่ขาดหายไป



จากตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชภาคแรก ที่รู้สึกถึงความไม่ราบรื่นของการเล่าเรื่องอยู่บ้าง ภาคสองนี้ดูจะชวนติดตามในแง่สีสันความตื่นเต้นได้ดีกว่า หากแต่ความน่าสนใจในเรื่องราวความขัดแย้งและความเป็นดราม่า ดูจะสู้ภาคแรกไม่ได้ เวลาที่ใช้ไปจึงหมดไปกับฉากรบและแอ็คชั่นหลากหลาย (รวมทั้งฉากตบจูบๆ ของพระราชมนูและแม่นางเลอขิ่น) เรื่องราวที่จะคุยต่อไปนี้จึงออกจะเข้าขั้นสะปอยให้เสียเรื่องอยู่เล็กน้อย แต่ก็คงไม่ลงลึกอะไรมากนักกับเรื่องและบท คงจะพูดถึงเรือยเปื่อยตามประสาคนเคยทำหนังมาก่อน

ตำนานฯ 2 กับภาพรวม

หากดูรวมๆ โดยไม่ไปลงลึกเรื่องรายละเอียด หลายฉากก็ทำได้เกินคาดอยู่ โดยเฉพาะความตระการตาในฉากรบ ฉากการอพยพข้ามแม่น้ำสะโตง ดูตื่นตาตื่นใจเลยทีเดียว ฉากรบที่ใช้เวลาไม่น้อยในเรื่องจะถูกแซมด้วยความสัมพันธ์อันหวือหวาของบุญทิ้ง (พระราชมนู) กับเลอขิ่น แม่เสือสาวลูกเจ้าฟ้าเมืองคัง ช่วยลดน้ำหนักความเครียดลงได้ไม่น้อย และดูออกจะมีบทบาทในเรืองมากกว่าพระนเรศและมณีจันทร์เสียอีก

ยังไม่อยากออกความเห็นเรื่องบทมากนัก เพราะจะมีประเด็นให้ถกกันยาวอยู่มากมาย เอาว่าคุยกันเพลินๆ ที่แน่ๆ ออกจะปลื้มผู้พันเบิร์ดอยู่มิน้อย เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้หนังทั้งเรื่องน่าติดตาม นี่แหละเลือกตัวแสดงได้เหมาะสมกับบท ก็มีชัยไปแล้วกว่าครึ่ง เชื่อว่าคนดูทั้งหลายคงพร้อมใจหันมาเป็นแม่ยกพ่อยกกับผู้พันเบิร์ดคนนี้กันตรึม



ตำนานฯ 2 กับนักแสดง

ไหนๆ ก็เอ่ยถึงพระองค์ดำภาคเติบใหญ่หล่อล่ำล้ำเลิศ ก็ขอต่อเรื่องตัวแสดงเลยคงจะเข้าท่า ผู้พันเบิร์ดทำคะแนนได้ดีจนน่าทึ่ง แม้จะไม่ถึงขนาดตีบทได้แตกกระจุย แต่มิได้เกรงกลัวบารมีนักแสดงหน้าเก่าแต่ประการใด สะท้อนถึงความมุ่งมั่น หากเอาจริงเอาจังฝึกฝนซะอย่าง ก็สบายไปแปดสิบอย่างฉะนี้ รัศมีดาราเปล่งประกายบ่งบอกว่าถ้าจะเอาดีทางนี้ มีสิทธิ์ที่จะรุ่งได้

หลงไปอ่านกระทู้เกี่ยวกับผู้พันในพันทิบ ปรากฏสาวน้อย(หนุ่ม)ใหญ่ต้องกรี๊ดด..กันสนั่นเพราะผู้พันเธอมีแฟนรอแต่งงานอยู่แล้ว ดูเอาเถิดพี่น้อง ใครจะไปคาดว่าพระองค์ดำจะมี Sex appeal รุนแรงปานนั้น

ส่วนนักแสดงชูรสคนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่เฉลี่ยกันไปได้สมบทสมบาท ทั้งๆ ที่บางทีจังหวะบทก็มิค่อยลงตัว แต่กระนั้นต่างก็เอาตัวรอดได้น่าชมเชย

หนูมณีจันทร์ดูจะหน่อมแน้มน่ารักเกินออกมาฟาดฟันในฉากรบ แม่เลอขิ่นเลยขโมยซีนนางเอกไปซะไม่น้อยด้วยความห้าวหาญและกล้าประชันเม้าท์ทูเม้าท์ กับพระราชมนู (อูยยย..สงสัยจริงว่าสมัยนั้นเขาจูบกันยังไง?) ซึ่งยังคงแฮร์สไตล์แบบตีสต์แตกอยู่เช่นเคย สงสัยจริงว่า หนุ่มบุญทิ้งอดีตเด็กจรจัดฉะนี้มีเชื้อสายมาแต่หนใดถึงหน้าเป็นฝรั่งมังฆ้องขนาดนั้น เอาเถอะ ดูเลิฟซีนของทั้งสองแล้วก็ทำให้หนังกระชุ่มกระชวยขึ้นมิน้อย ดีกว่าแม่มณีจันทร์สวมกอดกับพระองค์ดำแบบเก้อๆ กลางวัดอยู่หน่อยหนึ่ง

ส่วนความสัมพันธ์อันเฉียดฉิวแนว Y ของมือซ้ายขวาของพระนเรศก็ออกดูกวนๆ ชวนให้บันเทิงไม่น้อย และพระสุพรรณกัลยา..อุตส่าห์รอเธอปรากฏองค์จนแทบเหงือกแห้ง กลับมีบทอยู่น้อยนิด ด้วยพระพักตร์ที่แก่เฮือกเร็วเกินคาด น่าเสียดายกับบทแสดงอารมณ์ที่โดดๆ เพราะบทหรือการตัดต่อก็ไม่ทราบ ทำให้ออกจะเห็นใจอยู่

น่าเสียดายที่นักแสดงทั้งหลายมิได้ฝึกการใช้อาวุธให้เชี่ยวชาญดั่งหนูจางซี่ยี่ประฝีมือกระบี่กับพ่อโจวเหวินฟะ ฉากแอ็คชั่นโชว์ฝีมือทั้งหลายเลยกลายเป็นหลบๆ เลี่ยงๆ ตัดไปตัดมาให้ชวนเวียนหัวอยู่ นึกขัดใจอยู่ไม่น้อย...เมื่อไรหนอเราถึงจะตามทันหนังจีนได้สักที

ตำนานฯ 2 กับจังหวะและการตัดต่อ

เนียนขึ้นกว่าภาคแรกในแง่มุมของความต่อเนื่องเรื่องอารมณ์การแสดง คงเพราะบทนักแสดงผู้ใหญ่นั้นดูควบคุมให้อยู่หมัดได้ง่ายกว่า ส่วนฉากรบอันสับสนวุ่นวายก็ต้องมาพานพบกับการตัดต่อที่วุ่นวายสับสน ก็เลยทำให้งงๆ อยู่ไม่น้อย

อย่างเช่นฉากที่พระนเรศอุตส่าห์ควบม้ามาช่วยพระราชมนูและเลอขิ่น มีทั้งยืดไป และรวบรัดไป จนหาจังหวะสร้างอารมณ์ตัวเองตามไม่ได้จริงๆ แถมสับสนวุ่นวายไม่รู้ใครเป็นใคร ฉากแอ็คชั่นประดามีเหล่านี้สมควรต้องวางแผนด้วย Shooting Board ให้ชัดเจนและละเอียดยิบ โดยสมควรถ่ายให้ครอบคลุมทั้งหมดทุกมุม ใกล้ไกล อย่าได้ประมาทเด็ดขาด มิฉะนั้น footage จะไม่พอตัด แล้วพอถึงเวลาตัดต่อ ทิศทางจะสับสนหาทางออกไม่ได้ จังหวะแทนที่จะกระชับ กลับยืดออกไป แถมฉากฟันดาบแทนที่จะตื่นตา กลับกลายเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ มีโชว์อยู่ไม่กี่ช็อท ฉากรบกว้างๆ นั้นไม่ค่อยเป็นปัญหา แต่ถ้าเป็นฉากต่อสู้ประชิดตัวที่ต้องเน้นรายละเอียด อย่างเช่นฉากพวกเลอขิ่นปะทะเผ่านาคาจะเห็นได้ชัด

จังหวะการแสดงก็ยังคงปัญหาเก่าๆ จากภาคแรกอยู่ไม่น้อย บางครั้งสมควรต้องมีการรอส่งอารมณ์ของบท ก็กลายเป็นรวบรัด อย่างเช่นตอนเจ้าฟ้าเมืองคัง ประคารมกับพระเจ้านันทบุเรง ทั้งๆ ที่ตัวเองจะตายอยู่รอมร่อ การที่จะให้นันทบุเรงยอมตัดสินใจไว้ชีวิตตามคำขอของพระนเรศ มันต้องมีจังหวะให้คิด และการเปลี่ยนของอารมณ์ เพราะเป็นการยอมครั้งสำคัญ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาเกียรติของตัวเอง ไม่ใช่พูดๆๆๆ แล้วก็เปลี่ยนใจได้ทันควัน คนดูแทบตามไม่ทันว่าคิดอะไรอยู่ อาการเช่นนี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่ประปรายเป็นระยะ



ตำนานฯ 2 กับฉากแอ็คชั่น

ก็คงต้องโยงมาถึงฉากประดาบตั้งแต่เริ่มเรื่อง ซึ่งน่าจะเป็นไฮไลท์ให้คนดูฮือฮากับฝีดาบแบบไทยๆ กันบ้าง แต่กลับเกิดอาการซอยคัทฉับๆ ราวกับตัดมิวสิควิดิโอ แทนที่จะได้โชว์ศิลปะการต่อสู้แต่โบราณกันจะๆ กลับกลายเป็นซีนที่ต้องคอยหลบๆ เลี่ยงๆ ไปเสียนี่ จะด้วยเหตุผลอย่างที่เอ่ย คือฝีมือการใช้อาวุธของนักแสดงเรายังไม่เข้าขั้น ความแข็งแรงไม่เพียงพอ หรือ ผู้กำกับฉากบู๊มือไม่ถึง?? ซีนเหล่านี้จำเป็นต้องซ้อมหนักและทำสตอรี่บอร์ดละเอียดเช่นกัน

ขนาดเฉินหลงซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งแอ็คชั่น ยังต้องซ้อมกันแทบปางตาย เจ็บเนื้อเจ็บตัวกันไปแถวๆ และทุกช็อตต้องบล็อกมุมกันเป๊ะๆ ไม่มีการถ่ายแบบเหวี่ยงแหแล้วนำมายำอีกที นึกแล้วต้องชมองค์บากและต้มยำกุ้ง ที่ตั้งใจมั่กๆ กับฉากพวกนี้ ทำให้เห็นศักยภาพของนักแสดงและทีมงานไทย (ส่วนบทน่ะ ว่ากันอีกที)

ส่วนฉากรบอลังการนั้น ดูดีกว่าสุริโยทัยมาก คงได้รับการวางแผนที่ดีขึ้น มุมกล้องหลากหลาย และแอ็คชั่นก็ดูสมจริงกว่า ก็อย่าเพิ่งไปเทียบกับวังดอกทองของจางอี้โหมวเลย ทีมเขาโปรกว่าเรา และนักแสดงที่ใช้อาวุธได้ชำนาญมีมากกว่าเราหลายเท่า เมืองจีนเขาฝึกกันมาแต่เล็กแต่น้อย ไอ้เราเพิ่งมาจับกันไม่กี่เดือนก็ต้องถ่ายแล้ว

เพราะฉะนั้นฉากตะลุมบอนกันในป่าระหว่างพวกแม่นางเลอขิ่นกับเผ่านาคานั้น เลยดูกระโดกกระเดกพอสมน้ำสมเนื้อ จังหวะแอ็คชั่นกับการตัดต่อมันขาดๆ เกินๆ อยู่ ดูรีๆ รอๆ พิกล อยากจะโชว์ความหวือหวาแบบหนังจีน แต่ยังมือไม่ถึง ก็ต้องมาลงเอยเช่นนี้ ถ้าเป็นข้าพเจ้าหั่นเอง คงโยนทิ้งเป็นกุรุตเป็นแน่



สะปอยสรุป

อันว่าสะปอยมาพอบันเทิงอารมณ์ ขืนลงรายละเอียดกว่านี้ เห็นทีจะต้องปูเสื่อสั่งเมี่ยงคำ แถมท่าน Cinephile อาจส่งพัสดุไปรษณีย์กล่องพิเศษมีเสียงติ๊กๆๆ มาให้...

คงต้องมาสรุปลงเอยกับตัวเรื่อง..ที่หลายคนบ่นๆ อยู่ว่าน้ำหนักไปอยู่ที่บทจีบกันของไอ้ทิ้งกับเลอขิ่น เหอะๆ เอาเถอะ..มันก็ต้องดราม่ากันสุดๆ มั่งแหละน่า เดี๋ยวก็มาบ่นกันอีกว่าเหมือนดูสารคดี แห้งแล้งยิ่งว่าเมืองหงสา ณ อริโซน่า (สำนวนคุณ cybrarian)

คงเป็นความหนักอกหนักใจพอควรกับน้ำหนักของเรื่องที่จะเล่าทุกอย่างในเวลาจำกัด (กระนั้นก็ล่อไปเกือบ 3 ชม.) โดยรวมแล้ว ถึงจะไม่ค่อยชัดเจนนักกับรายละเอียดแต่ก็เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ได้อย่างเข้าใจพอควรเลยทีเดียว เชื่อว่าคนดูหลายคนหวังจะรับรู้เรื่องราวความเป็นมาแต่ปางก่อนเป็นหลัก ดังที่แฟนพันทางอย่างเราตามติดมาตั้งแต่ภาคแรก

เห็นมีคำถามจากผู้ที่ไม่ได้ดูภาคแรกอยู่หลายคนที่ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของตัวละครอยู่ จึงสมควรยิ่งที่จะดูตามลำดับภาคจะเข้าใจถึงที่สุด เพราะภาคนี้มิได้ท้าวความถึงความเป็นมาจากภาคแรกมากนัก คนที่ดูภาคนี้อย่างเดียวอาจจะเหวอๆ ไป

ประณีตกับรายละเอียดอีกนิดด..

โดยส่วนตัว อยากให้เอาใจใส่เรื่องรายละเอียดมากกว่านี้ อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นพระสุพรรณกัลยากับนางสนมพากันสวดมนต์คร่อมเสียงพระสงฆ์ นั้นมิบังควรที่จะปล่อยออกมา แสดงถึงความรีบ(ชุ่ย?)ในการมิกซ์เสียง

ดีไซน์ฟอนต์ที่ใช้ น่าจะทำขึ้นใหม่ให้ประณีตอลังการสมเรื่อง เอาใจใส่กับเครดิตไตเติลเรื่องทั้งต้นและจบมากกว่านี้ ไม่ใช่ขึ้นชื่อท่านมุ้ยและทีมงานซ้ำไปซ้ำมา แต่ไม่มีชื่อนักแสดงไฮไลท์สักคน

รวมไปถึง ฉากที่ต้องพูดพม่า(หรือมอญ) ปนไทยเนี่ย บอกไม่ถูกเลย อีตาคนนั่งข้างหลังถึงกับหัวเราะคิกออกมา ไม่เข้าใจว่าทำไมมหาเถรสรพงษ์ต้องพูดพม่าคำไทยคำกะอีตามอญสองคนนั่น

ภาคจบ..กับความหวังของคนดู

ในภาค 3 นั้นคิดว่าน่าจะมีเวลาเหลือพอมาประดิดประดอยให้ลงตัว ข้อผิดพลาดจากสองตอนที่ผ่านมาน่าจะเพียงพอให้หันกลับมาพิจารณาว่า ควรให้เวลากับหนังมากกว่านี้ หากเมื่อตัดต่อเวอร์ชั่นแรกเสร็จ ก็สมควรให้คนต่างรสนิยม ต่างอาชีพได้ลองชมดู อาจจะได้แง่มุมความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญแขนงอื่น ๆ เอาแค่ประดาคอหนังระดับสปอยละเอียดยิบจากบอร์ดเฉลิมไทย ก็น่าจะได้ feedback ที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว ครั้นเมื่อถึง final cut อะไรๆ มันก็น่าจะลงตัวอย่างน้อยก็ 80-90% ซึ่งจริงๆ มันน่าจะเต็มร้อย แต่เอาเถิด..หนังไทยอะนะ เราย่อมเอาใจช่วยอยู่เสมอ




 

Create Date : 17 กุมภาพันธ์ 2550
15 comments
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2550 19:28:00 น.
Counter : 2093 Pageviews.

 

พึ่งไปดูมาเมื่อตะกี้เองครับพี่

ผมอยากให้พูดพม่า ไ่ม่ก็มอญทั้งเรื่องเลยอ่ะ

ที่ีติดใจมาก ๆ เลยคือเรื่องกฤษดาภินิหารตอนท้ายเรื่องนี้แหละ อุตส่าห์รีเสิร์ชกันแทบตาย สุดท้ายก็สรุปด้วยกฤษดาภินิหารอีกแล้ว

แบบนี้ทำหนังสร้างชาติหลอกชาวบ้านแบบเดิมก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยลงแรงแบบนี้หรอกครับ

ทำทั้งที ไม่น่าเลย

 

โดย: I will see U in the next life. 17 กุมภาพันธ์ 2550 23:59:47 น.  

 

ก็เห็นด้วยอยู่ ทำได้ลักลั่นมิใช่น้อย จะให้สมจริง ก็พูดภาษาตามท้องถิ่นไปซะเลย

ส่วนเรื่องกฤษดาภินิหารนั้น จริงๆ หา motive ที่เป็นเหตุเป็นผลกว่านี้ในแง่ของบทก็ย่อมได้ โดยให้องค์ดำได้ฝึกปรือการยิงปืนไฟอย่างช่ำชองมาแต่ไหนแต่ไร ค่อยๆ หยอดรายละเอียดมาตั้งแต่ต้นก็จะดูน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไหนๆ อุตส่าห์ dramatize สารพัดมุมมาแล้ว เพิ่มตรงนี้อีกหน่อยก็จะหนักแน่นมากขึ้น และควรให้ท่านได้คิดหนักกว่านี้ว่า ทำอย่างไรถึงจะยุติศึกนี้ให้ได้เร็วที่สุด

ไปๆ มาๆ มหาเถรสรพงษ์เลยกลายเป็นประหนึ่ง Merlin พ่อมดจอมอภินิหารที่คอยช่วย King Arthur ในทุกเรื่อง แม้กระทั่งการศึกสงคราม

 

โดย: Bkkbear (Bkkbear ) 18 กุมภาพันธ์ 2550 1:39:08 น.  

 

^
^

ผมเห็นด้วยเลยทั้งเรื่องการสร้างโมทีฟและเรื่องสรพงษ์ กรณีท่านมหาฯ สุดท้ายก็เหมือนหนังไทยที่ผ่าน ๆ มา คือพระเป็นคนแก้ไขปัญหาทุกอย่าง พระมาทุกอย่างจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

 

โดย: I will see U in the next life. 18 กุมภาพันธ์ 2550 19:51:53 น.  

 

จริงๆ แนวคิดพวกนี้ไม่น่านำมาเป็นเหตุผลหลักในการดำเนินเรื่องเลย เพราะเข้าข่ายหนังแฟนตาซี แทนที่จะเป็นหนังอิงประวัติศาสตร์

มีบางคนให้ความเห็นเรื่องฉากประกาศอิสรภาพว่า แรงจูงใจนั้นไม่แรงพอ แค่ฟังจากตามอญซ่อนผ้าสองหน่อ ก็ลุกขึ้นมาตัดญาติขาดมิตรกับพม่า เราก็ออกจะเห็นด้วยอยู่ตะหงิดๆ ดูจะเป็นการหูเบาไปหรือเปล่าหนอ..

แถมด้วยฉากสำคัญคือ ยิงพระแสงปืนข้ามลำน้ำสะโตง หากจะยิงพลาดสักสองสามครั้ง กว่าจะถูกเป้า ก็น่าจะดูสมจริงกว่า และช่วงเวลาหลังจากนั้นย่อมสำคัญเช่นกัน ควรจะให้เวลากับความตะลึงงัน ความสับสนไม่คาดฝัน และการตัดสินใจถอยทัพของพม่า ฯลฯ

 

โดย: Bkkbear (Bkkbear ) 19 กุมภาพันธ์ 2550 11:56:01 น.  

 

เข้ามาเจอกระทู้โดยบังเอิญ ชอบมากๆค่ะกับการวิจารณ์แบบมีหลักการ ถูกใจอดีตนักศึกษาวิชา television, radio, and film คนนี้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่เห็นใน profile คุณเป็นคนอยู่ในวงการหนังมาก่อน และภาพงามๆที่นำมาฝากกัน อยู่ไกลถึงต่างแดนจึงยังไม่มีโอกาสได้ชมหนังแต่หวังว่าจะได้กลับไปดูภาคจบปลายปี ขออนุญาติ add เข้าไปใน list friend's blogs นะคะ

 

โดย: numkung 20 กุมภาพันธ์ 2550 10:55:11 น.  

 

ผมปรับแบคกราวด์แล้วครับ

ป.ล. เรื่องหนังพระนเรศวร ผมว่าสามวันสามคืนก็คงคุยกันไม่จบ

 

โดย: I will see U in the next life. 20 กุมภาพันธ์ 2550 14:05:15 น.  

 

ยินดีครับคุณ numkung และขอบคุณสำหรับคำชม ต้องขอออกตัวว่าไม่ได้เก่งวิจารณ์ เป็นคนที่ต้องลงมือทำมากกว่า ที่เขียนไปประหนึ่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดีจังที่มีโอกาสอยู่เมืองนอกเมืองนา ได้เปิดโลกทัศน์กว้างไกล บ้านเราเรื่องรสนิยมทางศิลปะยังห่างไกลจากเขามาก

คุณน้อง next life ..ต้องขอบคุณเป็นอันมากที่อุตส่าห์ลงแรงปรับฉากให้สว่างขึ้น อ่านง่ายขึ้นเยอะ รู้สึกมีคนสนใจเข้ามาถกเรื่องทฤษฎีหนังอยู่นะ ท่าทางคงมัน..อิอิ

 

โดย: Bkkbear (Bkkbear ) 20 กุมภาพันธ์ 2550 21:20:43 น.  

 

555 ดีครับ มาถกเถียงกัน

แต่พี่ผมเขียนนี้ อ.เอี้ยง 100% เลยครับ สมัยเรียน อ.ย้ำจนผมจำขึ้นสมอง คิดว่าคงไม่ลืมไปตลอดชีวิต

 

โดย: I will see U in the next life. 21 กุมภาพันธ์ 2550 14:42:25 น.  

 

อ่านที่ถกกันแล้วน่าสนุกจังค่ะ แต่เราคงไม่รู้ลึกอะไรขนาดนั้น เพราะเรียนมาแค่นิดๆหน่อยๆ แถมยังลืมๆไปเยอะแล้วด้วย อ่านแล้วได้ความรู้ดีค่ะ

แต่ที่สำคัญคือ ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ แต่ไม่อาทิตย์นี้ก็อาทิตย์หน้าคงจะได้ดูค่ะ

 

โดย: goldfish memory 21 กุมภาพันธ์ 2550 20:07:01 น.  

 

เชิญชวนไปยำ "พระนเรศวร ภาค 2" ในบล็อกผมนะครับ

ใส่ได้ไม่ยั้งครับพี่

 

โดย: I will see U in the next life. 21 กุมภาพันธ์ 2550 20:14:29 น.  

 

ไม่กล้าไปยำอะไรเขาหรอก เดี๋ยวก็มีแฟนขลับยกทีมมาถล่ม เหอๆ อ่านบรรดาทฤษฎีสารพันที่ถกกันอยู่แล้วมึน รู้สึกตัวเองความรู้แค่หางอึ่ง ..เลยไม่กล้าออกความเห็น

อ.เอี้ยง ท่าทางมีอิทธิพลต่อนักเรียนเยอะนิ ตะแกคงสอนเอาจิงเอาจังมั่กๆ นศ.คงหัวฟูเป็นแถวๆ ..ยังติดต่อแกมั่งหรือเปล่า?

 

โดย: Bkkbear (Bkkbear ) 22 กุมภาพันธ์ 2550 10:39:23 น.  

 

ตอนนั่งดูหนังเรื่องนี้อึดอัดมากเลยครับ ลุ้นว่าเมื่อไรจะจบเสียที เพราะว่า.....

หิวมาก เหมือนจะเป็นลม เลยทำให้ดูหนังไม่ได้อรรถรส

อีกอย่างหนังก็ไม่ได้ดึงเราให้ไปอยู่กับตัวหนังสักเท่าไร เคยดูหนังจนลืมหิว ลืมปวดฉี่ก็มี แต่เรื่องนี้ต้องลุ้นว่าเมื่อไรจะจบเสียที
น่าเสียดายนะครับ ที่พอตัดสินใจมาดูในภาคสองแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไรเลย ไม่ได้นึกเสียดายที่ไม่ได้ดูภาคแรก รวมถึงก็ไม่ได้มีแรงจูงใจให้ดูในภาคสุดท้าย

แม้กระทั่งผู้พันเบิร์ดซึ่งเป็นแม่เหล็กดึงและดูด(เงินในกระเป๋า)ให้พาตัวเองเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ก็ไม่ได้โดดเด่นทั้งในเรื่องการแสดง หรือบทที่จะมาส่งเสริม ปล่อยให้ไอ้ทิ้งกับแม่นางเลอขิ่นขโมยซีนไปหมด เพื่อนเขาล้อกันว่า ภาคแรกคุณสมภพ เป็นพระเอก ภาคนี้ไอ้ทิ้งเป็นพระเอก หวังว่าภาคหน้า จะถึงคราวของผู้พันเบิร์ดบ้างนะครับ

แต่ความน่ารักของแม่ทัพนายกองมือซ้ายมือขวาของพระนเรศก็ทำให้ยิ้มมุมปาก แต่ฉากเปิดตัวของพระนเรศในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย กลับทำได้แห้งแล้งเหลือเกินครับ ทั้งที่เจตนาก็เหมือนจะโชว์พระนเรศอยู่ในที เหอะๆๆ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่เห็นก้น(ที่มีผ้าผืนน้อยมาปิด)ของพระนเรศขึ้นอยู่เต็มจอฝั่งซ้ายมือเลย แล้วก็แช่ไว้อย่างนั้นจนหมดบทพูดของผู้มาเฝ้าแหน รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ การถ่ายภาพไม่ค่อยมีลูกเล่นอะไรเลย ตั้งกล้องแช่ซะงั้น เอ หรือว่าตั้งใจจะให้คนดูพิจารณาเท็กเจอร์ของผิวพระนเรศก็มิอาจทราบได้

 

โดย: มะดัน IP: 61.19.59.137 22 กุมภาพันธ์ 2550 13:09:32 น.  

 

สงสารน้องดันอุตส่าห์ทนหิวข้าว..55555

โชคดีที่พี่กินมาพร้อม แถมวิ่งไปฉี่ล่วงหน้า ก็เลยมีแรงติดตามได้จนจบ...

มันก็ไม่ถึงกับย่ำแย่หรอกน่า.. อย่างน้อยก็มีแรงจูงใจให้ได้ชมก้นพระนเรศออกนานสองนาน เอิ้กๆๆ

 

โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) 22 กุมภาพันธ์ 2550 22:12:04 น.  

 

ยังติดต่ออยู่ครับ เพราะผมไปเชียงใหม่อยู่บ่อย ๆ ที่สำคัญผมพึ่งจบมาได้ไม่นานครับพี่

เรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2001 : A Space Odyssey กับ Irreversible ผมตอบไว้แล้วในบล็อก แต่ไม่รู้ถูกเปล่าครับ เพราะตอบไปเรื่อยเหลือเกิน

 

โดย: I will see U in the next life. 23 กุมภาพันธ์ 2550 15:05:46 น.  

 

ฝากเซย์เฮลโหลกะ อ.เอี้ยงด้วย ถ้าไม่เป็นการรบกวน ฝากอีเมล์ของพี่ให้แกด้วยก็จะประเสริฐมาก

ขอบคุณสำหรับคำตอบ น่าสนใจที่มีน้องวัยนี้ใช้ความคิดกับหนังแนว 2001 ทำให้พี่ต้องกลับมาทบทวนความคิดตัวเองอีกหน...

 

โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) 27 กุมภาพันธ์ 2550 9:09:00 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Bkkbear
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




งานเขียนบทความ บทหนัง เรื่องสั้น และนวนิยายในบล็อกนี้สงวนลิขสิทธิ์โดย Bkkbear (หมีบางกอก) ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2539 ห้ามมิให้ดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

Friends' blogs
[Add Bkkbear's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.