" The man who does not read a good books has no advantage over the man who can't read them. " -- Mark Twain
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
4 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 

+++ สุนทรพจน์ของ Oprah Winfrey : จงเชื่อมั่นในความรู้สึกของคุณ แล้วความสำเร็จจะตามมา +++

ผมได้โหลดClip นี้มาดูเมื่อหลายเดือนก่อน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผมดูclipนี้ไปไม่ต่ำกว่า 10 รอบ ( เธอพูดชัดดี ผมชอบ ) ส่วนตัวแม้จะไม่ได้ปลื้มเธอมากนัก (คือ ไม่ได้ติดตามผลงานของเธอ แม้แต่list book club ของเธอผมก็ไม่ค่อยได้สนใจ) แต่กระนั้นก็อดชื่นชมความไม่ย่อท้อต่อชีวิตของเธอก่อนที่จะก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงแบบทุกวันนี้ไม่ได้(ตบมือ แปะๆๆ)

สิ่งสำคัญที่ผมชอบในตัวเธอคือ ความสามารถในการสื่อสารกับผู้ชมของเธอ Oprah ถือว่าเป็น Great Communicator ในปัจจุบันที่ผมยอมรับ อีกคนที่ผมชื่นชอบมากเวลาได้ฟังเขาพูดคือ Obama (แต่กรุณาอย่าได้เอาไปเปรียบกับ โอบามาร์ค ตัวปลอมคนนั้นโดยเด็ดขาด)

แม้แต่ Speech ของ Steve Job จ้าวสำนัก Apple ที่ว่าแน่ๆ ก็ยังไม่สามารถดึงอารมณ์ของผู้ฟัง(ผม) ได้มากเท่าที่ควร (แต่ด้วยความเป็น Job คือ ด้วยชื่อเสียง สถานะ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ทำให้คนสนใจ ) ยิ่งเจ๊ Hilary ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนนี้ไร้อารมณ์สุดๆ คำพูดแกแข็งกระด้างมากๆ แม้ศัพท์แสงของเธอที่ล้วนออกมาจากtextbook จะฟังดูหรูหราไฮโซ กว่ากลุ่มที่กล่าวมาข้างต้นหลายเท่าตัวก็ตาม แต่ฟังแล้วน่าเบื่อสุดๆ ... ถ้าใครไม่เชื่อลองดูก็ได้นะครับ ลองสมมุติว่าคนที่กำลังพูดนั้น noname แล้วฟังแต่เสียงดู คุณจะรู้ทันทีเลยว่า ใครที่เป็น Great communicator ตัวจริง และเหตุใด Hilary ถึงปราศรัยแพ้ Obama แบบหลุดลุ่ย..





สุนทรพจน์นี้ Oprah ได้ไปพูดในงานรับปริญญาที่ Stanford University เมื่อปี 2008 เธอได้ให้ข้อคิดในสิ่งที่เป็น “ The greatest impact of her life “ ไว้ 3 ประเด็นหลักๆ คือ ทำตามความรู้สึก เรียนรู้จากความล้มเหลว และการค้นหาความสุข (The three lessons that have had the greatest impact on my life have to do with feelings, with failure and with finding happiness. )

สิ่งที่เธอให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆคือเรื่องของ “ความรู้สึก” ( Feeling ) “ ความเป็นตัวของตัวเอง “ ( be yourself ) เธอได้ยกเหตุการณ์ตอนที่เธอถูกร้องขอให้เปลี่ยนชื่อเป็น Suzie เนื่องจากผู้จัดคิดว่าไม่มีใครจำชื่อประหลาดอย่าง Oprah ได้ แม้จะไม่ค่อยชอบชื่อเดิมของตัวเอง แต่ครั้นจะให้เปลี่ยน เธอก็คิดว่าไม่ใช่ตัวเธอ จึงได้บอกปัดไป (The news director said to me at the time, "Nobody's going to remember Oprah. So, we want to change your name. It's a friendly name: Suzie." … But my name wasn't Suzie. And, you know, I'd grown up not really loving my name… but once I was asked to change it, I thought, well, it is my name and do I look like a Suzie to you? So, I thought, no, it doesn't feel right. I'm not going to change my name. And if people remember it or not, that's OK.)

หรือการพยายามที่จะเลียนแบบ Barbara Walter. (I was trying to sit gracefully like Barbara and make myself talk like Barbara. And I thought, well, I could make a pretty goofy Barbara. And if I could figure out how to be myself, I could be a pretty good Oprah. I was trying to sound elegant like Barbara… And I decided, this Barbara thing's not going too well. I should try being myself.)

สิ่งที่ยากในเรื่องนี้คือ การแยกความรู้สึก ออกจากความคิด ความรู้สึก ไม่ใช่ ความคิด อาจดูคล้ายกันแต่ในความเป็นจริงผลลัพธ์ที่ออกมาต่างกันโดยสิ้นเชิง การที่เราอยู่ในความคิดจะทำให้เราสับสน มึนงง และความคิดที่ผุดขึ้นมาส่วนใหญ่มักจะเป็น Negative เสมอ เราต้องใช้ความรู้สึกเป็นไกด์นำทางให้เราเจอคำตอบที่เราต้องการ และเมื่อเราทำในสิ่งที่ใช่ ทุกๆวันก็ถือได้ว่าเป็น โบนัส สำหรับเรา (And I got that lesson. When you're doing the work you're meant to do, it feels right and every day is a bonus, regardless of what you're getting paid.

It's true. And how do you know when you're doing something right? How do you know that? It feels so. What I know now is that feelings are really your GPS system for life. When you're supposed to do something or not supposed to do something, your emotional guidance system lets you know. The trick is to learn to check your ego at the door and start checking your gut instead. Every right decision I've made—every right decision I've ever made—has come from my gut. And every wrong decision I've ever made was a result of me not listening to the greater voice of myself. )

“Trust your heart and success will come to you”


สำหรับเรื่องของ “ ความล้มเหลว ” ( Failure) ชีวิตเราย่อมไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือมีพรมแดงมาปูต้อนรับเสมอไป เราต้องพบเจออุปสรรค ปัญหา รวมถึงความล้มเหลวนานับประการ ( J.K Rowling เคยพูดไว้ว่า “ คนที่ไม่เคยล้มเหลว ก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไร ซึ่งนั่นก็ถือได้ว่า คุณล้มเหลวในการใช้ชีวิตแล้ว” ) ปัญหาต่างๆที่เราพานพบนั้นแหละ คือครูที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า เมื่อเจอปัญหาแล้ว คุณจะอยู่ หรือจัดการกับปัญหานั้นๆได้อย่างไร? Oprah บอกว่า สำหรับเธอ เมื่อเจอปัญหา เธอจะบอกกับตัวเองเสมอว่า “ What is this here to teach me? “ (about failings, because nobody's journey is seamless or smooth. We all stumble. We all have setbacks. If things go wrong, you hit a dead end—as you will—it's just life's way of saying time to change course. So, ask every failure—this is what I do with every failure, every crisis, every difficult time—I say, what is this here to teach me?... don't react against a bad situation; merge with that situation instead. And the solution will arise from the challenge. Because surrendering yourself doesn't mean giving up; it means acting with responsibility. )

สุดท้ายเรื่องของ “ การค้นหาความสุข “ ( Finding Happiness ) เธอบอกว่า จงมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน และจงมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านอกเหนือจากตัวเอง โดยการเปลี่ยนมุมมองของการให้ใหม่ ว่า ยิ่งเราให้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งได้รับความสุขกลับมามากขึ้นเท่านั้น เช่น การนำเอาทักษะของเราที่มีไปใช้ในการช่วยเหลือสังคม เป็นต้น ( you have to live for the present. You have to be in the moment. Whatever has happened to you in your past has no power over this present moment, because life is now. … In order to be truly happy, you must live along with and you have to stand for something larger than yourself. Because life is a reciprocal exchange. To move forward you have to give back. And to me, that is the greatest lesson of life. To be happy, you have to give something back.

if you operate from the paradigm of service, I know your life will have more value and you will be happy. … if you choose to offer your skills and talent in service, when you choose the paradigm of service, looking at life through that paradigm, it turns everything you do from a job into a gift.)


“ I always believed that everything is better when you share “



ปล. ดูแบบเต็มๆได้ที่ใน youtube จะได้อารมณ์กว่ามาก ต้องขอโทษด้วยที่ผมแปะlink ไม่เป็น แต่คงหาได้ไม่ยาก...อีกอย่างผมสรุป(ไม่ได้แปล)เฉพาะประเด็นหลักๆมาเท่านั้น (อยากอ่านฉบับเต็มคงต้องรอพี่ยุ้ย fringerครับ)เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่มีแต่เรื่องเล่าของเธอ...




 

Create Date : 04 มีนาคม 2552
8 comments
Last Update : 4 มีนาคม 2552 23:09:12 น.
Counter : 2146 Pageviews.

 

เอาพลังชีวิตมาฝากงับ

พลังชีวิตรายวัน มะซ้ำมุข อิๆๆๆ
สดใสใหม่ทุกวัน จันทร์ถึง อาทิตย์

 

โดย: พลังชีวิต 4 มีนาคม 2552 22:35:26 น.  

 

แปะยูทูป ไม่ได้ยากเลยหนา
มันมีโค้ดให้แล้ว ก็อปปี้โค้ดมาแปะแค่นั้นเองเต้นท์

เต้นท์อ่านวรรณกรรมเยอะนะ ทำไมไม่ค่อยพูดถึง
เห็นเขียนถึงแต่พวก How to

 

โดย: grappa IP: 58.9.188.165 22 มีนาคม 2552 15:21:46 น.  

 

น่าสนใจ แต่คงไม่สามารถไปดูยูตุ๊บได้ เพราะทักษะการฟังยังไม่สามารถ

เดี๋ยวรออัพรายการหนังสือที่ได้มาเน้อ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 2 เมษายน 2552 19:17:11 น.  

 

ขอบคุณค่ะที่เอามาลงเดี๋ยวจะลองหาดู ได้ประโยชน์เยอะเลยค่ะ

 

โดย: กระจก IP: 124.120.187.62 9 เมษายน 2552 13:12:56 น.  

 

ผ่านมาเจอเวบนี้ ชอบสุนทรพจน์นี้จังเลยค่ะ

 

โดย: bay IP: 222.123.141.217 8 ตุลาคม 2552 0:35:05 น.  

 


คุณเป็นคนที่มีความรู้ดี

แต่การ หยิบภาษาอังกฤษ มาใส่ในบทความมากเกินไป
แถมเจือการเมืองเข้าไปด้วยอารมณ์ตัดสิน

ทำให้ บทความของคุณ ไร้เสน่ห์

 

โดย: ติเพื่อก่อนะครับ IP: 167.206.189.6 21 ธันวาคม 2552 16:34:04 น.  

 

เข้าใจที่คุณ ติเพื่อก่อนะครับ เสนอความคิดเห็น แต่ดิฉันเข้าใจว่า เจ้าของบล็อก Tentty น่าจะนำมาเปรีบยเปรยเฉยๆมากกว่า การยกเรื่องการเมืองเข้ามา
ของ Hilary กับ Obama เป็นเพียงตัวอย่างของการก้าวสู่ตำแหน่งทางการเมืองของสหรัฐ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ความฉลาด ความมีไหวพริบ หากทุกท่านได้ดูการDebateแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นผู้เข้าชิงในตำแหน่ง ประธานาธิบดีของประเทศหรือในตำแหน่งรองประธานาธิบดี จะคุณจะพบว่าคุณจะเลือกใครมาเป็นผู้นำของคุณคนต่อไป เรียกได้ว่าการได้มาซึ่งผู้นำสุดยอดระดับโลก ต้องสู้กันทางความคิดให้ได้มาซึ่งอำนาจอันชอบธรรม นานาจิตตังคะ... ในยุคทางความคิด หากเราได้ศึกษาข้อมูลในหลายด้านแล้วจะพบเหตุและผลหลายอย่างทีเดียวคะ

//www.youtube.com/watch?v=MD9F1t9GQzA
Obama and Clinton at SC Debate ของประธานาธิบดี

//www.youtube.com/watch?v=pXJ4Dk33cCQ
sarah palin joe biden debate ของรองประธานาธิบดี

ดูแล้วสนุกมาก ได้ความรู้เยอะ เห็นการตอบคำถาม การให้ข้อมูล เหตุผล ไหวพริบ...สุดยอดด
เช่นกับการโต้วาทีเป็นทักษะที่ต้องใช้ความสามารถหลายอย่าง เมื่อก่อนเห็นเด็กออกมาแสดงความสามารถทางทีวีกันเยอะแต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้มีแต่รายการอะไร..หรือจะมีแต่ท่านหม่ำโชวว์ อยากให้เป็นสังคมประเทืองปัญญา..ทางความรู้ ประเทศจะได้ก้าวหน้าาา ทันชาติอื่นๆซะที

-ติเื่พื่อก่อ แค่มองในมุมต่างๆ-

 

โดย: CC IP: 124.120.240.35 5 มกราคม 2554 2:45:37 น.  

 

คิดอีกที หรือคุณติเพื่อก่อนะครับ ไม่อยากให้พาดพิงถึงท่าน โอบามาร์ค ของ คุณติเพื่อก่อนะครับ มากกว่า...เหอะๆ

 

โดย: CC IP: 124.120.240.35 5 มกราคม 2554 2:50:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Petrus85
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




I am a fallible human creature.

Friends' blogs
[Add Petrus85's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.