ลาก่อน...คอนแทคเลนส์ เล่ายาวนะ (1/2)
จำได้ว่าเราเริ่มใส่แว่นตั้งแต่ ม. 2 ตอนนั้นก็คือสายตาสั้นไม่ถึงร้อย ก็จะใส่เฉพาะตอนอยู่ในห้องเรียนเท่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะทำแบบนี้รึเปล่าสายตาก็เลยสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงเรียนปีหนึ่งปีสองซื้อคอนแทคเลนส์คู่แรกเนี่ยก็สั้นสามร้อยกว่าอ้ะค่ะ
หลายปีผ่านไปไวเหมือนโกหก เราก็ไปเรียนที่ญี่ปุ่น ช่วงนี้แหละที่เรารู้สึกว่าเรามีปัญหากับตามากๆ เปล่า เราไม่ได้ขยันอ่านหนังสือมากจนปวดตาหรอก แต่เป็นเพราะอากาศที่นั่นมันแห้งมั้ง เราออกจากบ้านแต่เช้า พอตกเย็นเราจะมีอาการตาแห้ง เคืองตา มองอะไรก็ฝ้าๆ น่ะค่ะ (คนใส่เลนส์คงพอเข้าใจ) บางวันเราไปทำงานพิเศษ กว่าจะกลับถึงบ้านได้ถอดคอนแทคเลนส์ก็เกือบเที่ยงคืน ระหว่างวันก็กระหน่ำยาหยอดตาเยอะมาก มันดูเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคตามากเลย (โรคอะไรไม่รู้ แต่กลัวไว้ก่อน)
อีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ปัญหาแต่เป็นความไม่สะดวก ก็คือตอนว่ายน้ำ เราต้องใส่แว่นตากันน้ำอยู่ตลอดเพราะกลัวเลนส์หลุด ตอนเข้าซาวน่าก็แหยงๆ เรารู้ว่ามันไม่ได้ร้อนขนาดที่จะทำให้เลนส์ละลาย แต่เลนส์อาจจะเปลี่ยนลักษณะเพราะความร้อนได้นี่ (รึเปล่านะ) เราก็เลยต้องเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาโปะตาไม่ให้ร้อนตอนอยู่ในห้องซาวน่า ก็ช่วยได้บ้าง (ทางจิตใจ)
ตอนนั้นเราก็ทนๆ กับปัญหาตาแห้ง (ซึ่งเราคิดว่าเป็นเพราะอากาศ) เนื่องจากไม่แน่ใจถึงผลกระทบจากการทำเลสิค อีกอย่างค่าทำมันก็แพงด้วยอ้ะค่ะ เสียดายเงินตั้งหลายหมื่น
จนกระทั่งย้ายมาสิงคโปร์ เราก็ยังมีอาการตาแห้งอยู่ ก็คิดว่าไม่ใช่ตาแห้งเพราะอากาศแล้วล่ะ มันคงเป็นที่ตาของเราเอง เวลาตาแห้งเราก็จะขยี้ตาบ่อยๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อีกห้าปีข้างหน้า ต้องได้เสียเงินให้หมอแก้ไขริ้วรอยใต้ตาแน่นอน ยอมควักกระเป๋าไปทำเลสิคดีก่าา
เราเล็ง TRSC ไว้เนื่องจากเพื่อนหลายคนทำที่นี่ ถึงแม้จะราคาสูงเมื่อเทียบกับที่อื่น แต่ก็คิดว่าครั้งเดียวในชีวิตน่ะ เราจะไม่เอาราคามาเป็นปัจจัยหลัก (ซึ่งปกติเราเป็นคนงกมากๆ) พอได้จังหวะเราตกงาน ก็เลยโทรไปยิงคำถามเป็นชุดๆ แต่เจ้าหน้าที่ก็ให้ข้อมูลดีมาก ก็เลยตัดสินใจนัดตรวจแล้วก็ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไทย
สำหรับคนที่ใส่คอนแทคเลนส์แบบซอฟท์ ต้องถอดเลนส์ออกอย่างน้อยสามวันก่อนตรวจ (เพื่อให้รูปตากลับสู่สภาพปกตินะคะ) พอถอดเลนส์แล้ว เราเอาชุดน้ำยาล้างเลนส์ทิ้งถังขยะไปเลย (เลียนแบบกลยุทธ์ทำสงครามของพระเจ้าตากสิน ที่ให้ชาวบ้านทุบหม้อข้าวทิ้ง ถ้าแพ้ก็ไม่มีข้าวกินต้องสู้ให้ชนะเท่านั้น) เราทิ้งมันแล้วเราจะไม่ต้องกลับมาใช้มันอีก มั่นใจมั่กๆ
ถึงวันตรวจ เจ้าหน้าที่ก็จะวัดสายตา (เหมือนไปวัดสายตาตามร้านแว่น) แต่จะมีตรวจม่านตา วัดความดันลูกตาและอื่นๆ ด้วยค่ะ หลังจากนั้นก็จะให้เราดู presentation เกี่ยวกับการรักษาความผิดปกติทางสายตาโดยใช้เลเซอร์ เราตั้งใจดูมาก แอบจดเลคเชอร์เรื่องความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหลังการรักษาด้วย อืม ถึงตอนนี้ก็เริ่มคิดว่า ไม่น่าเอาน้ำยาล้างเลนส์ทิ้งเลยว่ะ หรือเราจะไม่ทำดีเนี่ย
พอดูจบ เจ้าหน้าที่ก็จะพาเราไปหยอดยาขยายม่านตาเพื่อจะตรวจตาแบบละเอียดยิบอีกที เรานอนรอให้น้ำยาออกฤทธิ์บนเก้าอี้นวดประมาณครึ่งชั่วโมง สบายมากๆ จนเราหลับไปเลย
หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนการตรวจตาทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง เดินเข้าออกหลายห้องจนงงไปหมด เมื่อได้ผลการตรวจครบ เจ้าหน้าที่ก็มาจะอธิบายให้ฟังถึงสภาพดวงตาของเราค่ะ ตอนนั้นเราก็แบบเบลอๆ ไม่ค่อยเข้าใจที่เค้าอธิบาย คงเพราะยาขยายม่านตาที่ทำให้เราลืมตาไม่ค่อยขึ้น แต่ทำไมมันส่งผลถึงสมองด้วยก็ไม่รู้ง่า (เราก็ไม่ได้โง่น๊า มันเป็นเพราะยาขยายม่านตาต่างหาก)
เท่าที่เราจำได้ก็คือ ความดันลูกตาปกติ กระจกตาเราก็หนาดี แต่ว่ากระจกตาไม่เรียบแล้วก็อะไรซักอย่างในตาเรายาวผิดปกติ แถมม่านตายังขยายมากกว่าคนทั่วไปมากๆ บลา บลา บลา (พอฟังถึงตรงนี้อยากจะร้องไห้ นี่ชั้นพิการซ้ำซ้อนหรือนี่) สรุปว่าคุณหมอไม่อยากให้เราทำเลสิค (ภาพตัวเอง โยนน้ำยาล้างเลนส์ลงถังขยะ ย้อนกลับเข้ามาในหัว ขวดละสามร้อยน่ะ)
แต่เดี๋ยวก่อน ยังมีทางเลือกเหลือสำหรับเรา นั่นคือการทำ PRK ซึ่งจะให้ผลดีกับคนที่สายตาสั้นและเอียงไม่เกินแปดร้อย และหลังการรักษาจะมีความเสี่ยงกับอาการแสงกระจาย น้อยกว่าคนที่ทำเลสิค ซึ่งเหมาะกับสภาพตาของเรา
ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด การทำ PRK เนี่ย เมื่อหายแล้วจะไม่เห็นร่องรอยการทำ เหมาะสำหรับบางอาชีพที่ต้องผ่านการตรวจสายตาก่อน เช่น นักบิน ประมาณนี้
หลักการในการทำ PRK คร่าวๆ เท่าที่เราเข้าใจ ก็จะประมาณลอกกระจกตาออกนิดเดียวแล้วยิงเลเซอร์ ในขณะที่การทำเลสิค คุณหมอจะเฉือนกระจกตา เปิดออกแล้วก็ยิงเลเซอร์ จากนั้นก็ปิดกระจกตาลงมาตามเดิม (ฟังดูน่ากลัวแต่แผลจะประสานกันเองนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วง)
ข้อด้อยของการทำ PRK ที่เจ้าหน้าที่อธิบายให้เราฟังก็คือ หลังจากทำเสร็จจะต้องพักฟื้นนานกว่าทำเลสิค และจะมีอาการเคืองตา น้ำตาไหล เจ็บปวดทรมานมากกว่าพวกเลสิคเค้า แล้วก็จะเสี่ยงกับการติดเชื้อมากกว่าด้วย
พอฟังแล้วเราก็ไม่มั่นใจน่ะ ก่อนมาเราก็หาแต่ข้อมูลเรื่องเลสิค เจ้า PRK ไรเนี่ย ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน ไม่เคยรู้จักใครที่ทำ PRK เลยด้วย เจ้าหน้าที่ก็ให้เราเข้าไปคุยกับคุณหมอพักนึง คุณหมอยังสาวและสวยเลยเขินไม่รู้จะถามอะไรหมอดี คริ คริ
การตัดสินใจจะทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับคนไข้นะคะ คนไข้มีเวลาคิดสามเดือนโดยที่ไม่ต้องมาตรวจประเมินสภาพตาใหม่ หรือถ้าเปลี่ยนใจไม่ทำก็ไม่เป็นไร ตอนนั้นเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำดีมั้ย แต่ก็ขอนัดคิวคุณหมอทำ PRK วันรุ่งขึ้นไว้ก่อน เพื่อให้เวลาตัวเองคิดหนึ่งคืน ถ้าไม่ทำค่อยแคนเซิล (อาจจะดูว่าเรากั๊ก แต่เรามีเวลาอยู่ไทยน้อย กลัวคุณหมอไม่ว่างแล้วว)
และแล้ววันต่อมา เราก็มาถึงศูนย์ตามเวลานัดเป๊ะๆ เลย ตัดสินใจทำแล้ว เป็นไงเป็นกันเฟ้ย
(พรุ่งนี้มาเขียนต่อ)
Create Date : 29 พฤษภาคม 2552 |
|
3 comments |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2552 16:45:16 น. |
Counter : 859 Pageviews. |
|
|
|