|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
สงครามเย็น...ไว้โยม
บรรยากาศการบ้านการเมืองของประเทศเราในยามนี้ ผมว่ามันอึมครึม ตะคุ่มๆทะมึนๆยังไงก็ไม่รู้สิ
มีความพยายามแยกฝักฝ่าย แยกขาวแยกดำ แยกธรรมะvsอธรรม และเราจะอยู่เฉยๆบอกใครว่า"ขอกูอยู่เป็นสุขๆ อยู่ตรงกลางๆจะได้มั๊ย?" ก็ยังมีคนดันทะลึ่งตอบสวนมาว่า "ไม่ได้โว้ย! มึงต้องเลือกซักข้าง ไม่อยู่ข้างสนติ๊ ก็ต้องอยู่ข้างทักกี้"...นั่นให้มันได้ยังงั้น!?
ผมเลยหวนนึกไปถึงสมัยอยู่บ้านนอกนุ่งกางเกงขาสั้น ตูดปะตูดขาดไปเรียนหนังสือชั้นประถม ในราวๆปีพ.ศ.2516 ถ้าเทียบเหตุการณ์บ้านเมืองไทย ก็เป็นช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เทียบสถานการณ์สากลเวลานั้น โลกก็กำลังแบ่งเป็น 2 ขั้วค่าย คือค่ายเสรีนิยมที่นำโดยพี่ใหญ่อเมริกา ส่วนค่ายคอมมิวนิสต์ก็นำโดยโซเวียต กับจีน
เวลานั้นมีแต่ข่าวเวียดนามใต้แตก ชาวญวณอพยพโกลาหล ,ข่าวกัมพูชาแตก เขมรแดงเข้ายึดพนมเปญ กวาดต้อนคนออกไปทำนารวม ,ข่าวลาวแตก เจ้ามหาชีวิตและพระราชวงศ์ลาวถูกกระทำทารุณ คนลาวถูกจับไปสัมมนานอนรวม....อีกไม่นานเมืองไทยก็จะแตก!
รายการวิทยุของรัฐบาลกรอกหูทุกวันตั้งแต่เช้ายันดึกให้ตระหนักถึงภยันตรายของคอมมิวนิสต์ ห่างจากหมู่บ้านของผมไปไม่ถึง 10 กิโลฯเป็นภูเขา นัยว่า เป็นเขตจรยุทธฺของ ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์)
มีข่าวลือว่า พวกคอมมิวนิสต์ขึ้นรถตู้ติดฟิล์มทึบเที่ยวแอบไปจับเด็กนำไปสูบเลือดกิน หรือเอาเลือดไปรักษาพยาบาลพวกคอมมิวนิสต์ด้วยกันที่ถูกฝ่ายรัฐบาลยิงเสียเลือดเสียเนื้อขนาดหนัก
ที่โรงเรียนของเรามีรูปโปสเตอร์คอมมิวนิสต์หน้าตาประมาณซาตาน คือมีหางงอกออกมาแหลมๆ ปากฟูมไปด้วยเลือดกำลังหลุดโซ่ล่ามออกมา น่ากลัวมาก
ที่ขาดไม่ได้ก็โปสเตอร์เชิดชูอเมริกา แล้วก็ประนามโซเวียตกับจีนว่าเป็นพวกชอบ"แทรกแซงกิจการประเทศอื่น" เราด่าคนที่ชอบไปแส่ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านว่า"ไอ้พวกปักกิ่ง"
ครูใหญ่โรงเรียนผมตอนนั้น แกชื่อครูประจักษ์ แกเป็นนักต่อต้านคอมมิวนิสต์ชนิดเข้าไส้ เพราะแกยังมีบทบาทเป็นวิทยากรลูกเสือชาวบ้านอีกด้วย แกจะอบรมหน้าเสาธงทุกเช้าให้เห็นภยันตรายคอมมิวนิสต์ และโซเวียตกับจีน
เรากลัวสิ่งที่เรียกว่า"สงครามปรมาณูล้างโลก"กันมากในเวลานั้น เพราะกลัวว่าโซเวียตกับจีนจะล้างโลก...กลัวจนเอาไปนอนฝันสะดุ้งทีเดียวแหละครับ
แต่ในโรงเรียนผมนั้นมีครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่งชื่อครูทรงเดช แกจะไปอีกแนว คือแกชอบจีนคอมมิวนิสต์ ชื่นชมอุดมการณ์สังคมนิยม
ก่อนที่ครูทรงเดชแกจะสอนหนังสือนั้น แกจะเริ่มด้วย"คติพจน์ท่านประธานเหมา"ซะก่อน พร้อมกับเกริ่นกล่าวโจมตีอเมริกาว่าเป็นตัวการมาแทรกแซงประเทศไทย มีฐานทัพฝรั่งมาตั้งไว้มากมาย
ประเทศเราก็ปกครองด้วยศักดินา นายทุน ขุนศึก เผด็จการ อย่างพวกเราเด็กนักเรียนก็ถือได้ว่าเป็น"ชนชั้นนายทุนน้อย"เพราะพ่อแม่ของเรามีที่นาที่ไร่ทำกิน จึงต้องมีการปฏิวัติไปสู่ระบอบสังคมนิยมให้ทุกคนเสมอภาคกันแบบเมืองจีน เพื่อที่ท้องฟ้าจะได้สีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เอาไปเอามาแกก็ให้เราเรียกแกว่า"สหายครูทรงเดช"เพื่อปฏิวัติวัฒนธรรมซะก่อนจะไปปฏิวัติอย่างอื่น พรรคพวกในชั้นเรียนก็เลยพลอยเรียกกันว่าสหายไปด้วย
แต่เรียกได้เฉพาะชั่วโมงเรียนของสหายครูทรงเดชเท่านั้นนะ ถ้าไปเข้าแถวหน้าเสาธง ฟังคำปราศรัยของสหายครูใหญ่...เอ๊ย!ท่านครูใหญ่ เราก็ต้องเกลียดโซเวียต เกลียดจีน เกลียดแกว เขมรแดง ลาวแดง แล้วขอบคุณอเมริกามหามิตรที่ช่วยเราต่อสู้กับพวกคอมมิวนิสต์
ชีวิตเราก็อยู่กันแบบงงๆกันพอสมควรหละครับท่าน คือไม่รู้ว่าตกลงแล้วฝ่ายไหนมันดีกว่าฝ่ายไหน ทั้ง2 ฝ่ายก็อยากให้เราไปเป็นพวกทั้งนั้น
พ่อผมเองก็งงๆเหมือนกัน เพราะสังเกตว่าแกไปอบรมลูกเสือชาวบ้านกับเขาด้วย ได้ผ้าผูกคอลส.ชบ.พระราชทานมาก็น้ำหูน้ำตาไหล เอาขึ้นไปแขวนหิ้งพระซะดิบดี ถือได้ว่าแกเชิดชู"ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ รัฐธรรมนูญ"
แต่พอช่วงวันหยุดแกก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์ฮ่างของสหายครูทรงเดชขึ้นภูเขาไป อ้างว่าไปยิงเก้งยิงกระต่าย แต่ขากลับลงมาก็มีหนังสือคติพจน์ท่านประธานเหมา แล้วก็หนังสือหนังหาพ้อคเก็ตบุ๊คของพวกคอมมิวนิสต์ หน้าปกแดงแจ๋มากองไว้เต็มบ้าน...ผมก็พลอยได้อ่านไปซะทุกเล่ม
วันดีคืนดีญาติโยมของผมที่เป็น"ทหารป่า"ก็ลงมานอนค้างคืนด้วย ก่อนจะกินแต่ละมื้อ"สหายน้าพรหมมา"เป็นต้องมีรายการ"ปรับทุกข์ผูกมิตร"ให้แต่ละคน(รวมทั้งเด็กๆอย่างพวกผม)เล่าความทุกข์ยากความคับแค้นที่อำนาจรัฐกระทำกับเราด้วย
ผมก็นึกไม่ออกว่าใครคือ"อำนาจรัฐ"เพราะนานๆปีทีหนจะมีรถตู้ของนายอำเภอ หรือปลัดอำเภอผ่านมาซักทีหนึ่ง มีจ่าขี้เหล้ามาจับวงโบกวงไฮโลยามเทศกาลงานเนาว์สงกรานต์ หรือจับเหล้าสาโทหน้านวดข้าว
สหายน้าพรหมมาก็บอกว่า "ผู้ใหญ่บ้านก็ได้หวะ มันกดขี่ขูดรีดมึงยังไงมั่ง?" ผมก็ว่า"แกเป็นลุงผม ผู้ใหญ่บ้านหนะ ไม่ได้กดขี่อะไร ยกเว้นว่าแกแอบมาสอยมะม่วงข้างรั้วไปหน้าตาเฉย ไม่บอกกล่าว"...
สหายน้าพรหมมา ทหารป่าก็เลยนึกเบื่อ แล้วเล่าบรรยากาศของทหารป่าให้ฟังเป็นคุ้งเป็นแควบอกว่า อีกไม่นานประเทศไทยก็จะ"ปลดปล่อย"แล้ว และเขาจะตั้งให้แกเป็นกำนัน.....ผมได้ทีรีบแซวว่า อ้าว!สหายไปปฏิวัติเพื่อเป็นกำนันหละสิเนี่ย
แกก็ฉุนครับบอกว่า เปล่าหรอกเว๊ยสหาย(ชื่อผม) กูถูกกดขี่เลยต้องขึ้นเขาไปปฏิวัติ แต่ถ้าปลดปล่อยแล้วมันก็ธรรมดา เขายึดอำนาจรัฐแล้วก็ต้องตั้งกู ซึ่งเป็นพวกเขาให้เป็นกำนันบ้านเราซีวะ...
ในภายหลังอย่างที่รู้กันครับว่า การปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นล้มเหลว สหายน้าพรหมมาทุกวันนี้มายึดอาชีพกัลบก หรือช่างตัดผมอยู่แถวฝั่งธนฯ
พ่อผมก็ยังเป็นชาวนา (เป็นนายทุนน้อย )มาจนเกษียณอายุ
ครูประจักษ์กับครูทรงเดชก็เกษียณอายุมานานหลายปีแล้ว ทั้งคู่ยังเป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพกันในเวลาต่อมา
เพียงแต่คนหนึ่งอยู่ข้างสนติ๊ อีกคนอยู่ข้างทักกี้...!!
ส่วนผมเติบโตมา แล้วก็กลายมาเป็นนายทุนใหญ่ หรือนายทุนชาติ
แล้วก็กำลังงงๆเหมือนที่เคยงงสมัยเป็นเด็กนักเรียนชั้นประถมว่า ตกลงผมจะเข้าข้างฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวาดี จะเข้าข้างฟากสนติ๊ หรือทักกี้? เพราะมันตีกันนัวไปหมดแล้ว
นี่หละครับบรรยากาศ"ยุคสงครามเย็น"ที่คนอายุรุ่นราวไล่เลี่ยกับผมคงจะจำกันได้แม่นว่า มันเป็นสงครามประสาทขนาดไหน... ผมเลยว่ามันชักจะเย็นไว้โยมไม่ได้แล้วหละครับท่าน
ต่างฝ่ายก็ต่างสุมฟืนโหมไฟให้เร่าร้อน อยากฆ่าอยากแกงกันเหลือเกิน
ราวกับว่าเราไม่เคยซึมซับเอาบทเรียนในอดีตเอามาไตร่ตรองสมองคิดกันซะมั่งเลย
เย็นไหวมั้ยหละโยมเอ๋ย...??!
Create Date : 01 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 6 กันยายน 2549 12:24:10 น. |
|
0 comments
|
Counter : 483 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เคยเป็นมาหลายอย่างทั้งนักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักปฏิวัติ NGO พิธีกรโทรทัศน์ ผู้เชี่ยวชาญบรรยายให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ
แต่อยากเป็นนักอ่านมากที่สุด อยากนอนลงเอกเขนกทำตัวขี้เกียจ ไม่ต้องทำงานการอะไร แล้วอ่านหนังสือวรรณกรรมที่ติดค้างตัวเองไว้นานหลายสิบปี จนตอนนี้แน่นตู้หลายตู้ ปลวกกินพังไปหลายเล่มแล้ว
|
|
|
|
|
|
|
|