Bloggang.com : weblog for you and your gang
Literature is a luxury. Fiction is a necessity.
Group Blog
คุย คุย และคุย
เที่ยว เที่ยว และเที่ยว
แปล แปล และแปล
อ่าน อ่าน และอ่าน
อ่าน อ่าน และอ่าน (ภาคการ์ตูน)
ห้องสมุดส่วนตัว
When in leeds...
คุย คุย และคุย 2553
อ่านแล้วก็อ่านอีก
คุย คุย และคุย 2554
<<
กุมภาพันธ์ 2554
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
10 กุมภาพันธ์ 2554
ความงาม (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Beauty: A Crown and Court Duel Short Story
All Blogs
ความงาม (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Beauty: A Crown and Court Duel Short Story (จบ)
ความงาม (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Beauty: A Crown and Court Duel Short Story (2)
ความงาม (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Beauty: A Crown and Court Duel Short Story
เรื่องประหลาดใจในวันเกิดวิแดนริก (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Court&Crown Duel Mini-story (2)
เรื่องประหลาดใจในวันเกิดวิแดนริก (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Court&Crown Duel Mini-story
แหวนปริศนา (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Court&Crown Duel One shot
บางฉากบางตอนจาก A Conspiracy of Kings (เรื่องชุดยูเจนิดิส)
(ทดลองอ่าน) A Great and Terrible Beauty : Gemma Doyle บทที่ 1
Elephant : Slawomir Mrozek
Street sweeping show - Feng ji shai
Like one of the family - Alice Childress
Witch hunt by Vivian Vande Velde
ความงาม (มงกุฎจันทราตอนพิเศษ) Beauty: A Crown and Court Duel Short Story
ไม่ได้เข้ามาดูบล็อกตั้งนาน เพิ่งเห็นว่ามีคนตามมาอ่านเรื่องสั้นที่ลงไว้และขอตอนต่อด้วย ^^
จัดให้ตามนั้นค่ะ จะ(พยายาม)ทยอยลงให้จบภายในสัปดาห์นี้นะคะ
ความงาม
เชอร์วูด สมิธ เขียน
ลมตะวัน แปล
โลกนี้ควรจะมีกฎว่าเจ้าหญิงทุกองค์ต้องงดงาม
ที่ข้าจะพูดก็คือว่า ผู้วิเศษและมนตราจะมีประโยชน์อันใด หากไม่สามารถร่ายคาถาแก้ไขความผิดพลาดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นได้
นั่นใช่คำสุดท้ายที่ข้าเขียนลงในบันทึกนี้จริงหรือ
มีอะไรเกิดขึ้นมากมายเหลือเกินนับจากวันนั้น ข้าไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือวิ่งกรีดร้องหนีขึ้นไปบนภูเขา
แต่ข้าก็ไม่ได้มันทิ้งไว้นานเสียจนลืมความรู้สึกเจ็บแปลบในเวลานั้น
ลองดูเราสามคนสิ อลาเรกพี่ชายข้าและโอเรียน้องสาวข้าต่างก็รูปงามด้วยกันทั้งคู่ สูงโปร่ง มีนัยน์ตาสีเทา และผมสีทองอ่อนยาวเหยียดตรงอย่างท่านพ่อ ใช่ว่าพวกเขาสนใจเรื่องพรรค์นี้หรอกนะ ต่อให้สองคนนั่นเกิดมาเตี้ยม่อต้อ มีจมูกเหมือนหัวมันฝรั่งที่บูดเบี้ยว และตาหยีเล็กอย่างข้าที่ทำให้ดูเหมือนว่าหัวเราะอยู่แม้ยามที่ไม่ได้รู้สึกขบขัน ก็คงจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะพี่ชายข้ามัวแต่วุ่นอยู่กับการเรียนรู้หน้าที่ของกษัตริย์ ส่วนน้องข้าก็ปรารถนาอยู่สิ่งเดียวคือการได้เข้าเรียนเวทมนตร์ในสถาบันดีรานาร์ย่าบนที่ราบสูงในซาร์เทอร์ตะวันตก ทันทีที่อายุสิบสี่
ที่เหลือก็คือข้า คนที่กังวลกับการมีใบหน้ากลมๆ เหมือนดวงจันทร์และรูปร่างเหมือนแหลนที่ใช้ซ้อมกันในลานหน้าวัง
เรื่องผมน่ะรึ ไม่เลย ข้าไม่ได้มีผมสีทอง หรือผมสีน้ำตาลแดงแสนสวยอย่างท่านแม่ ซึ่งข้าชอบมากกว่าผมสีเปลือกมะนาวนัก ข้าเป็นคนเดียวในตระกูลที่มีผมสีเข้มและหม่นเกินกว่าจะเรียกว่าผมทอง แต่ก็หม่นและซีดเกินกว่าจะเรียกว่าผมน้ำตาล
แต่มีใครเห็นใจข้าบ้างไหม
ก็อย่าเข้าใกล้กระจกสิ พี่ชายข้าพูดอย่างหงุดหงิด
หยิบหนังสือเล่มนั้นให้หน่อย แล้วขวดหมึกอยู่ไหนเนี่ย น้องสาวข้าว่า ว่าแต่พี่จะอยากสวยไปทำไม พวกเด็กผู้ชายน่าขยะแขยงจะตาย
ท่านพ่อ: ในสายตาของพ่อ ลูกๆ ทุกคนน่ารักเสมอ
ส่วนท่านแม่น่ะเหรอ ท่านน้ำตาคลอพร้อมพยายามยิ้ม โอ เอเลสตรา ลูกทำให้แม่คิดถึงท่านยายเหลือเกิน แม่ว่าท่านเป็นคนที่สวยที่สุดในโลกเลยจ้ะ
คำพูดนั้นทำให้ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองสมควรแล้วที่จะมีจมูกเหมือนหัวมันฝรั่งถูกทุบ
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ใครๆ ก็จริงจังกับสิ่งที่ทาร่า ซาโวน่าผู้แบบบางและงดงามพูด กับญาติฝั่งทลานธ์หุ่นดีและหน้าหวานของข้า ที่ใครๆ ก็เรียกว่า คิทเท่น ก็เหมือนกัน เพราะทุกสิ่งที่นางทำนั้นช่างน่ารักนัก แม้กระทั่งการนอน ส่วนข้าน่ะรึ คนหน้ากลมหุ่นแบนราบเหมือนไม้กระดานอย่างเอเลสตราจะเป็นอะไรได้นอกจากตลกดี
งานฉลองปีใหม่เมื่อปีกลายเป็นตัวอย่างที่ดี ในเช้าวันหิมะโปรยวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังฝึกการเต้นรำจังหวะใหม่จากซาร์เทอร์กันอยู่ ทาร่าก็เดินเข้ามา ทาร่าผู้ซึ่งดูงดงามยิ่งกว่าปกติในยามที่ดวงตากลมโตสีเดียวกับท้องฟ้าปริ่มน้ำตา และริมฝีปากอวบอิ่มไร้ที่ติสั่นระริก ทุกคนหยุดเต้นรำแล้วปรี่เข้าไปหานางอย่างเคย และพากันถามไถ่ด้วยความห่วงใย ซึ่งทำให้นางร้องออกมาอย่างที่เคยทำหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่สมัยเรายังเด็กว่า ท่านแม่ช่างโหดร้ายเหลือเกิน!
ทุกคนรู้ดีว่าดัชเชสแห่งซาโวน่า แม่ของทาร่านั้นอารมณ์ฉุนเฉียวราวกับพายุ และทาร่ากับท่านหญิงทามาร่าก็ทะเลาะกันเป็นประจำ แถมทาร่าก็ดูงามจับตายามร้องไห้!
พวกเด็กสาวพากันโอ๋ปลอบ โอบไหล่นาง ลูบผมสีทองสลวย ส่วนเด็กหนุ่มสามคนที่หน้าตาดีที่สุดในอาณาจักรก็วิ่งขัดขากันมาเสนอตัวไปหาพัด หาไวน์ หรืออะไรก็ตามที่ทาร่าต้องการมาให้
มะ... มะ... ไม่เป็นไรหรอก นางสะอึกสะอื้นพร้อมทิ้งตัวลงบนหมอนอย่างงดงาม ข้าทนไหว
แน่นอนว่าเราต่างเลิกทำอะไรก็ตามที่ทำอยู่ตอนนั้น และอุทิศเวลาที่เหลือทั้งหมดปลอบใจนาง
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน คิทเท่น ญาติข้าก็เดินหน้ามุ่ยเข้ามา มือน้อยๆ ของนางบิดไปมา ปากเล็กๆ ราวกุหลาบตูมเบ้ลง และนางก็พูดว่า เราต้องกลับทลานธ์แล้ว น่าเบื่อจะตาย ไม่มีใครคิดจะมาเยี่ยมข้าเลยเหรอ
เด็กหนุ่มทุกคน กับเด็กสาวอีกครึ่งรีบลุกขึ้นสัญญาว่าจะขออนุญาตขึ้นเขาตามไปในทันที
แต่เกิดอะไรขึ้นกันตอนที่ข้าพลัดตกจากหลังม้าลงไปบนยังเนินหิมะจนคอเกือบหักไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ข้ารู้ว่าตัวเองไม่น่าดูเอาเสียเลย ข้ายืนหนาวสั่นอยู่ตรงนั้น ผมยุ่งเหยิงปรกหน้าเหมือนรังนกเปียกน้ำ จมูกเป็นสีม่วงด้วยความเย็น
ทุกคนหัวเราะ หัวเราะ! ข้าเห็นภาพตัวเองเลย และรู้ว่าถ้าคิดจะร้องไห้หรือบิดมือไปมา พวกเขาก็จะยิ่งหัวเราะหนักขึ้น เพราะมันรังมีแต่จะทำให้ข้าดูน่าขันกว่าเดิม ข้าจึงพูดไปว่า มีใครอยากจะเต้นรำไหม
จากนั้นเด็กผู้ชายทุกคนก็เข้ามาตบหลังข้าอย่างแรงเสียจนตาข้าเกือบจะถลน และพูดทำนองว่า ต้องอย่างนี้สิ เอเลสตรา! กลับขึ้นหลังม้าแล้วสอนให้มันรู้ว่าใครเป็นเจ้าหญิง! ส่วนเด็กผู้หญิงก็พูดกันว่า สมกับเป็นเจ้าหญิงเอเลสตราจริงๆ! ถึงจะตลกแต่ก็กล้าดี!
กล้า
ทาร่ากับคิทเท่นนั้นงามสง่า ส่วนข้ามีแค่ความกล้า
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2554 22:24:04 น.
4 comments
Counter : 1031 Pageviews.
Share
Tweet
เหตุการณ์ที่ทำให้ข้าหมดความอดทนเกิดขึ้นหลังจากที่ข้าเขียนเรื่องกฎที่ว่าเจ้าหญิงต้องงดงามได้ไม่นาน มันเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่งหลังเทศกาลก่อนวันกลางฤดูร้อนไม่กี่วัน (ซึ่งหมดสนุกเพราะพายุฝนสี่วันรวดซึ่งไม่ทำให้ใครดีใจนอกจากชาวนา) ทาร่าประกาศขึ้นในเช้าวันหนึ่งว่าในเมื่ออากาศทำให้ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งไม่ได้ นางก็จะจัดละครขึ้นแทน วันนั้นนางเลือกบทละครได้แล้วและจะจัดการแจกจ่ายบทในตอนเย็น
พอตกเย็นนางก็เอ่ยว่า เราจะเล่นเรื่องจาจาราชินีโจรสลัดกัน เรื่องนี้มีฉากต่อสู้เยอะ พวกผู้ชายจะได้มาดู แล้วก็มีบทดีๆ ให้พวกเราสาวๆ ด้วย
ข้ารู้จักบทละครเรื่องนั้นดี ข้าร้องอย่างดีใจ อันที่จริง ท่านครูเคยให้ข้าแปลบทพูดของจาจาเป็นบทกวีอย่างซาร์เทอร์ด้วย และข้าก็ยังจำได้ขึ้นใจ ข้านึกภาพตัวเองเล่นเป็นจาจาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เอาชนะกองเรือโจรสลัดของภราดาแห่งเลือดผู้ชั่วร้ายอยู่แวบหนึ่ง จนกระทั่งทาร่าหันไปสบตากับคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างอ่อนหวานว่า แต่เอเลสตราจ๊ะ นี่ไม่ใช่ละครตลกนะ
ละครตลก ทุกคนหัวเราะลั่น มันไม่ใช่เสียงหัวเราะร้ายกาจ ข้าจะได้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อด้วยซ้ำ อันเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะรู้สึกสงสารตัวเอง (อย่างน้อยก็ในสายตาของเหยื่อ)
ไม่ใช่เลย หากแต่เป็นเสียงหัวเราะครื้นเครงเพราะว่า เอเลสตร้าคนกล้าผู้แสนดี นางตลกออก! จะพูดว่า หน้าตาตลก ใช่ไหมล่ะ ข้าคิดเช่นนั้น พลางกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ
ข้าจึงแสร้งทำเป็นนั่งฉีกยิ้มอยู่ตรงนั้นจนทาร่าแจกจ่ายบทครบ แล้วข้าได้บทอะไรน่ะรึ เด็กผู้ชายไม่ค่อยจะยอมท่องบทกันเลย และเจ้าก็แต่งตัวเป็นผู้ชายได้สง่างามมากนะ เอเลสตรา!
สง่างาม นัยของนาง ซึ่งทุกคนรู้ดี คือข้าไม่มีทรวดทรงองค์เอวใดๆ จึงสวมเสื้อกั๊กเข้ารูปอย่างที่ผู้ชายนิยมใส่กันได้ต่างหาก
ข้าวิ่งหนีออกไปจากห้อง พลางกลั้นน้ำตาไว้อยู่จนเกือบวิ่งชนท่านแม่ ซึ่งเพิ่งหอบตำราเวทมนตร์ออกมาจากห้องของโอเรีย ท่านแม่ขมวดคิ้ว มองหน้าข้าอย่างเป็นห่วง แล้วถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ลูกรัก
ข้าจะตอบอย่างไรได้ล่ะ อารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ" ข้าตอบไปเท่านั้น
ท่านแม่เข้าใจในทันที ไปขี่ม้าหรือซ้อมดาบสิจ๊ะ ท่านพูดอย่างเห็นใจ ดูท่าลูกจะได้อารมณ์แบบนี้มาจากแม่ และไม่มีอะไรทำให้หายได้นอกจากการออกกำลัง
ข้าไม่ได้ตอบไปว่าซ้อมกับท่านครูดาบมายกหนึ่งแล้ว แถมยังขี่ม้าไปไกลอีกด้วย เพียงเพื่อจะได้สงบสติอารมณ์ตัวเองได้ตอนที่ทาร่าเลือกตัวแสดงในงานเลี้ยงยามเย็นของนาง ข้าพยักหน้า ฝืนยิ้ม แล้วเดินโซซัดโซเซเข้าไปยังที่เดียวในพระราชวังอธานาเรลที่ไม่มีใครเหยียบย่างเข้าไปเว้นแต่เวลาออกว่าราชการ ซึ่งก็คือท้องพระโรงนั่นเอง
เอาล่ะ ข้าคงจะต้องหยุดเพื่อบรรยายสภาพท้องพระโรงเสียก่อน ไม่เช่นนั้นใครสักคนที่อ่านบันทึกของข้าในอนาคตอาจจะคิดว่ามันเป็นห้องที่น่ากลัว แต่ไม่ใช่เลย ในห้องมีหน้าต่างบานสูงโดยรอบเพื่อให้แสงผ่านเข้ามาได้โดยตรงในฤดูหนาว และสาดเฉียงเข้ามาในฤดูร้อน พื้นปูด้วยกระเบื้องใหม่ที่มีลวดลายเถาวัลย์ ดอกไม้แรกผลิ และนกน้อย อยู่บนพื้นหลังสีชมพูอ่อนจางอย่างตะวันยามเช้า เพราะประตูบานนอกที่เปิดรับแสงจากทางทิสตะวันออก
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือฐานบัลลังก์ซึ่งไม่มีบัลลังก์ แต่มีไม้เนื้อทองต้นใหญ่สูงเท่าอาคารสามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ ใบไม้สีเหลือบเงินแตะโดมกระจกที่ท่านพ่อท่านแม่สร้างขึ้นเมื่อต้นไม้ต้นนั้นงอกรากอย่างฉับพลัน
ข้าใช้คำว่า ฉับพลัน เพราะที่จริงแล้วมันไม่ใช่ต้นไม้ หากแต่เป็นชายผู้หนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านฟลอวิก เมรินดาร์ ผู้ที่พยายามฆ่าพ่อแม่ของข้าเพื่อครอบครองอาณาจักร ท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่ผู้ที่หยุดยั้งเขาไว้ได้ แต่เป็นคนภูเขาผู้ลึกลับซึ่งดูเกือบจะเหมือนต้นไม้ในสายตาข้าตอนเหลือบไปเห็นพวกเขาเข้าครั้งหนึ่งบนเทือกเขาสูงหลังปราสาทของท่านลุงแบรนในทลานธ์
ไม่มีใครรู้ว่าฟลอวิกสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเมื่อกลายเป็นต้นไม้หรือไม่ ท่านแม่ยืนกรานว่าเขาได้ยินเสียงรอบตัว และเคยสารภาพกับข้าครั้งหนึ่งว่าในช่วงปีสองปีแรกที่ขึ้นครองราชย์ ท่านจะเข้าไปสาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรให้ไม้งามตระหง่านต้นนั้นฟังในยามที่หงุดหงิด ให้รู้ว่ากลการเมืองอันมุ่งร้ายและนักเวทผู้โฉดชั่วไม่เคยมีชัย แต่หลังจากสงครามอันโหดร้ายลุกลามไปทั่วโลกหลังโอเรียเกิดได้ไม่นาน ท่านแม่ก็บอกว่านางไม่มีอารมณ์ไปอบรมเขาอีกแล้ว
ต้นไม้ต้นนั้นจึงยืนตระหง่านอยู่ปีแล้วปีเล่า ฟังคำร้องและคำตัดสินต่างๆ อย่างเงียบสงบ และอยู่ตามลำพังในยามอื่น
จนกระทั่งคืนนั้น
ทันทีที่ข้าเดินเปะปะเข้าไปในห้องอันมืดมิดเพื่ออยู่ตามลำพัง มือหนึ่งก็กดปิดปากข้า ส่วนอีกข้างนั้นคว้าเอวข้าไว้ มือของคนผู้นี้แข็งแรงมากเสียด้วย
เสียงอันนุ่มนวลกระซิบข้างหูข้า ข้าหวังว่าจะเป็นแม่เจ้า แต่เจ้าก็ใช้ได้
ท่านเคยถูกหนามกุหลาบตำนิ้วไหม ความรู้สึกแปลบปลาบที่แล่นไปตามนิ้วนั้นคล้ายคลึงกับสิ่งที่แล่นปลาบไปทั่วกายข้า ข้าร้องออกมาเฮือกหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็พยายามจะร้อง มือที่กดใบหน้าอยู่นั้นแน่นเสียจนข้าหายใจแทบไม่ออก
แขนที่โอบรอบลำตัวรัดแขนทั้งสองของข้าไว้ ทำให้ข้าได้แต่กระดิกมือไปมาอย่างไร้ประโยชน์ ข้าจึงเหลือบตามองไปทั้งสองด้านและพบว่ากิ่งก้านอันซีดสลัวของต้นไม้ฟลอวิกนั้นไม่ได้แผ่อยู่เบื้องบนอีกต่อไปแล้ว
ท่านฟลอวิก เมรินดาร์กลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง
และข้าก็เป็นนักโทษของเขา
(มีต่อค่ะ)
โดย:
ทินา
วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:22:24:46 น.
(ต่อ)
ข้าไม่อยากจำใจต้องฆ่าเจ้า เขาพึมพำ อย่าขัดขืน
เรื่องราวของวันสุดท้ายอันแสนน่ากลัวที่ท่านแม่เคยเล่าให้ฟัง ทำให้ข้ารู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ข้าหยุดดิ้นและเขาก็ยกมือที่ปิดปากข้าออก
ตามมา
อะไรนะ
เขายังกำแขนข้าแน่น ความมืดทำให้ข้ามองไม่เห็นอะไรมากนัก เว้นแต่เค้าร่างของศีรษะและไหล่ของเขา กับเงาวาววับของโลหะ ซึ่งคือมีดเล่มหนึ่ง
เขายังอายุยี่สิบอย่างตอนที่พยายามชิงอาณาจักร หรือเกือบจะสี่สิบกันแน่นะ จะอย่างไรก็ตาม การกลายเป็นต้นไม่ได้ทำให้เขาอ่อนแอลงแม้แต่น้อย
ตามมา เขาย้ำก่อนจะพึมพำคาถาบางอย่างที่ทำให้คอข้าขนลุกชัน มีดไม่อาจทำให้ข้ากลัวได้เท่ากับเวทมนตร์ เพราะก่อนที่เขาจะถูกเสกให้เป็นต้นไม้ เขาได้เสกคนทั้งอธานาเรล ยกเว้นท่านพ่อท่านแม่ ให้กลายเป็นรูปปั้นหิน และผลักรูปปั้นตนหนึ่งจนล้มลงแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อยด้วย รูปปั้นนั้นไม่ได้กลับคืนเป็นมนุษย์อีก
ตอนนี้ดูเหมือนว่าอากาศรอบตัวเต้นเป็นประกายราวกับตัวข้ากำลังลอยอยู่ใต้ผิวน้ำ แล้วมองผ่านผิวน้ำวาวระยับขึ้นไปยังโลกเบื้องบน
เราเดินออกไปนอกอาคาร ท่าทีอันมาดมั่นของฟลอวิกเตือนข้าว่าเขารู้จักเส้นทางในอธานาเรลเป็นอย่างดี ซึ่งคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากในช่วงเวลายี่สิบปี สายฝนโปรยปรายอย่างแผ่วเบา ทิ้งเงาสีเงินไว้บนบานหน้าต่าง หมอกสีเทาปกคลุมอยู่ทุกหนแห่ง หัวใจข้าเต้นแรงด้วยความหวังเมื่อเห็นทหารยามยืนประจำอยู่ในเวิ้งตลอดแนวหลังคา พวกเขาต้องเห็นเราสิ
ไม่เลย พวกเขามองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้หลับ และก็ไม่ได้ถูกสะกดด้วย ทหารนายหนึ่งกวาดสายตาผ่านเราไป ข้าเห็นดวงตาของเขาเพราะแสงจากคบเพลิง แต่เห็นได้ชัดว่าเขามองไม่เห็นข้า ราวกับว่าเรากำลังล่องหน ตอนนั้นเองที่ข้าตระหนักว่าฟลอวิกร่ายคาถาใดไป มันเป็นคาถาที่ทำให้คนอื่นมองผ่านเราไปนั่นเอง และทั้งยังได้ฝนยังช่วยด้วยอีกแรงหนึ่ง
เราเดินต่อไป ผ่านคอกม้า เข้าไปในสวน และทะลุสวนออกไป ตอนนี้เราทั้งคู่เปียกชุ่ม แต่อากาศก็ไม่ได้หนาวนัก
ฟลอวิกไม่พูดอะไรเลย และข้าก็นึกถึงสิ่งที่น้องสาวเคยพูดขึ้นมาได้ ข้ารู้แล้วว่าเขากำลังเพ่งสมาธิประคองคาถา ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าเองก็ไม่เข้าใจมากนัก รู้แต่ว่าคล้ายกับการรั้งบังเหียนม้าพยศที่อาจเหวี่ยงเราตกได้ทุกเมื่อ เพียงแต่บังเหียนนั้นล่องหน และเราก็รั้งมันไว้ด้วยจิต
ข้าจะหนีได้ไหมนะ อีกนานแค่ไหนกันกว่าเขาจะร่ายอาคมหินอันร้ายกาจนั่นใส่ข้า พอข้ารู้ตัวว่าใกล้จะถึงชายสวนและป่าที่อยู่ถัดออกไป ซึ่งมีทหารเดินยามเฉพาะช่วงรุ่งสางและย่ำค่ำเท่านั้น ข้าก็ตัดสินใจว่าต้องลงมือแล้ว
แต่พอข้าตั้งท่าจะเอื้อมมือไปจับมีดเล่มนั้น รองเท้าแตะของข้าก็เกี่ยวเข้ากับรากไม้จนล้มคะมำลงไปในโคลนเลน พอข้าพยายามจะชันตัวขึ้น มีดเล่มนั้นก็เข้ามาจ่ออยู่ที่ต้นคอ
ข้าคิดว่าคงได้เวลาเจรจาแล้ว ฟลอวิกว่า เสียงของเขายังคงนุ่มนวลแต่ข้าได้ยินแววหัวเราะในนั้น
ถ้าเจ้ายอมแพ้เสียแต่ตอนนี้ ข้าจะยั้งมือให้ ข้าเค้นเสียง แอบหวังว่าเขาจะคิดว่าเจ้าหญิงเอเลสตราผู้น่าขันนั้นน่าขันเสียจนน่ารังเกียจ แล้วทิ้งข้าไว้เบื้องหลัง
เขาหัวเราะออกมานิดหนึ่งก่อนจะกลับเข้าเรื่อง ที่ข้าคิดไว้คือเจ้าตามข้ามาโดยดี และข้าจะพยายามทำให้การเดินทางของเราสะดวกสบายที่สุด
ไม่ ข้าร้อง ข้าไม่อยากไปไหนทั้งนั้น มันยากที่จะพูดเสียงแข็งตอนที่หน้าข้างหนึ่งแนบอยู่กับต้นมอสส์ตะไคร่น้ำเปรอะโคลนอย่างนี้
ข้าเองก็เสียใจที่ต้องทำเช่นนั้น เขาตอบ แต่ข้าต้องใช้ตัวประกันจนกว่าจะไปถึงชายแดน และเจ้าก็คือตัวประกันที่ว่า
ชายแดนงั้นรึ
ตกลงเจ้าจะเลือกทางไหน สบายหรือลำบาก เขาถามก่อนจะเสริมด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียใจอย่างสุภาพว่า แต่ข้าจำต้องย้ำอีกครั้งว่าไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าก็ต้องไปอยู่ดี
ข้าถอนใจ แมลงตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งเกือบจะกระโดดเข้าไปข้า อี๋ยย์! แหวะ! แหยะ! ข้ารีบถ่มมันออก นี่เจ้าจะขอให้ข้าทำตัวดีๆ จนถึงชายแดน แล้วจะปล่อยข้าไปงั้นรึ
ถูกต้อง ตอนนี้เขาหัวเราะออกมาเต็มเสียง
ข้าถอนใจอีกครั้ง แต่คราวนี้หุบปาก จะทำอย่างไรดีล่ะ เห็นๆ อยู่ว่าไม่มีใครเห็นเราเดินออกมา ตอนนี้ก็ดึกแล้ว และจะไม่มีใครรู้ว่าข้าหายตัวไปจนกว่าจะเช้าเพราะข้าไม่เคยสั่งให้สาวใช้อยู่เป็นเพื่อน ที่จริงตอนเช้าก็อาจจะยังไม่มีใครรู้ก็ได้ เพราะข้ามักจะทานมื้อเช้าตามลำพังไปพลางอ่านหนังสือไปด้วย แต่ว่า... ก็มีสาเหตุที่ข้ามาอยู่ตามลำพังตั้งแต่แรก... สมมุติว่าข้าพลิกสถานการณ์ได้แล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายจับกุมตัวฟลอวิกผู้ชั่วร้ายได้ล่ะ ทุกคนจะต้องสนใจข้าแน่ แล้วก็ไม่ใช่เพราะข้าดูตลกด้วย!
ข้าพยักหน้าครั้งหนึ่ง ตกลง
เจ้ารับปากแล้วนะ
ใช่! คิดดูสิ! ในที่สุดก็มีคนจริงจังกับสิ่งที่ข้าพูดพอที่จะขอให้ข้ารับปาก แต่ใครคนนั้นกลับเป็นผู้ร้ายเสียนี่
ฟลอวิกเก็บมีด (ข้ากำลังกะพริบตาให้ตะไคร่น้ำหลุดอยู่พอดี จึงไม่เห็นว่าเขาเก็บมันไว้ที่ไหน) และเอื้อมมือมาพยุงข้าขึ้น แต่ข้าปัดมือเขาออกแล้วลุกขึ้นเอง ขณะที่ออกเดินข้าพยายามเช็ดโคลนออกจากกระโปรงซึ่งเคยเป็นสีชมพูกุหลาบ แต่กลายเป็นสีน้ำตาลหม่นอย่างผมของข้าไปเสียแล้ว
โดย: ทินา IP: 61.47.101.118 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:9:12:37 น.
มันเป็นการเดินทางที่น่าหดหู่มาก เราต้องฝ่าป่าทึบไปท่ามกลางสายฝน แม้จะพยายามเดินอย่างระมัดระวัง ข้าก็ยังสะดุดรากไม้และก้อนกรวดที่มองไม่เห็นอยู่ดี เสียงลมหายใจของฟลอวิก (ข้ามองไม่เห็นเขา) บอกให้รู้ว่าเขาก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันกับข้า แต่เราก็ยังคงเดินต่อไป
ไม่นานหลังจากระฆังเที่ยงคืนส่งเสียงกังวานใสไปตามแนวหุบเขาที่มีแม่น้ำทอดตัวตามไป ข้าก็ตระหนักว่าฟลอวิกไม่ได้เดินเรื่อยเปื่อย เขามีจุดหมายอยู่ในใจ ข้าไม่รู้ว่าเขาใช้สิ่งใดเป็นเครื่องบอกทางในความมืด แต่เขาหยุดเท้าเป็นพักๆ และเดินกลับไปกลับมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ข้าโซเซตามไป ปากหาวไม่หยุด และแอบภาวนาว่าตัวเองไม่น่าตื่นเต้นเรื่องละครงี่เง่าของทาร่าจนพลาดมื้อค่ำงี่เง่าของของตัวเองไป ตอนนี้ละครที่ว่ากับปัญหาพวกนั้นดูห่างไกลอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ท้องที่ร้องครวญครางยังอยู่ติดตัวข้า
จู่ๆ เราก็หยุดเดิน
มันไม่อยู่แล้ว ข้าคิดว่าเขาคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา
เรายืนอยู่หน้าซากปรักหักพังของบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งซึ่งส่วนที่เป็นไม้ไหม้หายไปนานแล้ว เหลือเพียงกำแพงหินและปล่องไฟ ข้าจำมันได้เพราะตอนข้ายังเล็ก เรามาขี่ม้าแถวนี้บ่อยๆ
พวกศัตรูใช้บ้านหลังนั้นเป็นป้อมทหารในช่วงสงคราม ข้าบอก ท่านพ่อนำคนมาบุกที่นี่แล้วเผามันจนราบ ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยมีใครมาที่นี่อีกเลย เว้นแต่พวกเด็กๆ ที่มาเล่นผจญภัยกัน แล้วคำถามหนึ่งก็หลุดปากข้าไป เจ้าหวังจะเจออะไรรึ
ไม่ใช่ซากอย่างนี้ เขาตอบ และไม่ได้หัวเราะด้วย
เราเดินต่อไป หัวใจข้าเต้นเร็วขึ้นเพราะรู้แล้วว่าเราอยู่ที่ไหน ปัญหาก็คือข้าจะทำอะไรได้
ก็ต้องทิ้งร่องรอยไว้น่ะสิ
ระหว่างที่เดิน ข้าใช้มือข้างหนึ่งแกะริบบิ้นสีขาวจากตะเข็บปลายแขนเสื้อ พอหลุดแล้ว ข้าก็ปล่อยให้มันร่วงลงไปตามชายกระโปรงจนตกลงบนพื้น ให้ปลายชี้ไปยังทิศที่เราเดินไป ดูเหมือนฟลอวิกจะไม่ทันสังเกตเห็น
ความรู้สึกมีชัยนั้นทำให้ข้าตาสว่าง อย่างน้อยก็จนเราเดินไปถึงสันเขาเหนือปากน้ำที่เปิดออกไปยังทะเล เบื้องล่างเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านหนึ่งที่เราเคยเห็นบ่อยๆ เวลาขี่ม้าผ่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวประมง แต่บ้างก็เลี้ยงแกะตามแนวเขาซึ่งขนาบธารกว้างที่มีน้ำไหลเอื่อย
ตาของเราชินกับความมืดใต้ร่มไม้ครึ้มใบเสียจนรู้สึกเหมือนว่าฟ้าสว่างแล้ว ข้าเห็นเงาของหมู่บ้านและแม่น้ำที่สะท้อนท้องฟ้าอันมืดมิด ฝูงแกะสองฟากฝั่งแม่น้ำเกาะกลุ่มกันเป็นก้อนสีขาวราวกับหิมะ
รอยแยกในหมู่เมฆเปิดให้แสงดาวสีฟ้าอ่อนทอดลงมาอาบทั่วหุบเขา ฟลอวิกใช้แสงนั้นนำเราไปยังหมู่ต้นหลิวหนาทึบและเราก็นั่งลงบนพงหญ้าสูงชื้นๆ ใต้แนวต้นหลิวนั้น แม้จะยังเป็นหน้าร้อนอยู่ข้าก็รู้สึกหนาวจนต้องพันกระโปรงผ้าไหมรอบตัวให้แน่นที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาจะหลับไหมนะ
หนังตาของข้าคล้อยลง ข้าหลุดเข้าไปในห้วงฝัน... ซึ่งถูกทำลายด้วยเสียงของฟลอวิก
ไปต่อได้แล้ว
ข้ายังหนาว หิว และอารมณ์เสียมากอยู่ตอนที่เดินตามฟลอวิกลงไปตามทางเดินแกะซึ่งทอดไปยังหมู่บ้าน ฟ้าใกล้สางแล้ว ความมืดที่คลายตัวลงเล็กน้อยทำให้เราพอเห็นสภาพรอบตัว
แสงสีฟ้าอ่อนสลัวเริ่มแผ่ไปยังทิศตะวันตกเมื่อเราไปถึงชายหมู่บ้าน แสงสว่างลอดออกมาจากหน้าต่าง ชาวบ้านบางคนตื่นขึ้นมาทำกิจวัตรประจำวัน เลี้ยงสัตว์ เตรียมเรือตกปลาและเรือขนของแล้ว ฟลอวิกเดินไปยังโรงเตี๊ยมริมน้ำซึ่งเป็นอาคารเตี้ยๆ รูปตัวแอล
ตอนนี้แสงอาทิตย์สว่างพอให้ข้าเห็นรูปร่างของฟลอวิกแล้ว ความหวังทำให้หัวใจข้าเต้นรัวเมื่อเราก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม เราจะไม่ดูน่าสงสัยบ้างเลยรึ ในเมื่อข้าสวมกระโปรงผ้าไหมกรุยกรายสีกุหลาบเปรอะโคลน ขณะที่เขาสวมเสื้อตัวยาวเข้ารูปและกางเกงขาแคบที่ตกยุคไปแล้วยี่สิบปี
รอตรงนี้ เขาสั่งแล้วทิ้งข้าให้ยืนอยู่ข้างคอกม้า
ข้าคิดจะวิ่งหนีก่อนจะนึกได้ว่าเขาจะจับข้าได้เร็วเพียงใด เรื่องก็คือข้าทั้งหิวและเหนื่อยเกินกว่าจะสร้างวีรกรรมอะไรในตอนนี้ ท่านพ่อออกจากเมืองไปตรวจราชการได้ร่วมเดือนแล้ว นำหน่วยลาดตระเวนไปตามแนวชายแดนทิศตะวันออกที่ได้รับรายงานว่ามีนักรบชาวนอร์ซันเดอร์กลายเป็นโจรป่ามากขึ้น ท่านแม่จึงต้องว่าราชการแทน ถ้าท่านแม่ไม่พบริบบิ้นของข้า และไม่พบเรา ข้าก็ว่าไว้กินอิ่มก่อนแล้วค่อยก่อวีรกรรมจับตัวคนร้ายอย่างน่าทึ่งก็ได้
พอตัดสินใจได้ดังนั้นข้าก็นั่งลงบนกรอบประตูรั้วไม้เก่าๆ กลิ่นฟางฉุนจัดลอยอยู่ในอากาศเย็นเยียบ เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงเหล่าสัตว์ที่ค่อยๆ ตื่นขึ้น
ดวงตะวันขึ้นถึงยอดเขาที่เราเพิ่งลงมา และสาดแสงสีทองสว่างไสวไปทั่วตอนที่ฟลอวิกกับสาวใช้ผู้หนึ่งเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมพอดี
ข้าจ้องมองฟลอวิกท่ามกลางลำแสงสีทองนั้นแล้วถึงกับต้องตะลึง เขายืนอยู่ตรงนั้นในชุดกำมะหยี่สีดำ ชุดกำมะหยี่สีดำที่ล้าสมัยซึ่งควรจะเปียกโชกและเปรอะโคลนพอๆ กับชุดของข้า แต่กลับดูไม่เป็นเช่นนั้นเลย แต่จะว่าไปคนที่เห็นเขาก็คงไม่ได้สังเกตเห็นเสื้อผ้าของเขาเหมือนกัน สิ่งที่สาวใช้นางนั้น (และข้าด้วย) จ้องตาค้างก็คือใบหน้าอันงดงามกับดวงตาคู่โต รอยยิ้มอ่อนโยน และผมสีทองยาวสยาย เขาไว้ผมยาวกว่าใครๆ ที่ข้ารู้จัก แต่แทนที่จะดูตลกหรือพิลึก กลับดูงามจับตาราวกับเพิ่งก้าวออกมาจากภาพวาด
เขาก้มลงจุมพิตมือของสาวใช้ตามธรรมเนียมชนชั้นสูงในสมัยท่านพ่อท่านแม่ ทำให้ใบหน้าของนางแดงก่ำ และนางก็หัวเราะคิกคัก
ขอบคุณมาก แม่หญิง เขาว่า
สาวใช้นางนั้นพึมพำอะไรบางอย่าง ยัดตะกร้าใส่มือเขาโดยไม่สนใจข้าแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ผลุบหายกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ฟลอวิกปรายตามาทางข้าหนหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังคอกม้า ข้าได้ยินเสียงเขาพูดกับเด็กดูแลม้าที่เฝ้าเวรอยู่ว่า ทอร์น่าส่งข้ามารับม้ากับเจ้าสองตัว เราต้องไปมาร์ดการ์วันนี้ แล้วเราจะส่งม้าคืนให้ในภายหลัง
จากนั้นไม่นานเราก็ขึ้นม้าลากเกวียนตัวโตสองตัวที่มีอานม้าเก่าคร่ำคร่ารัดอยู่ ขณะที่เราควบออกไป ข้าเหลือบเห็นสาวใช้สามนางยืนอยู่ที่หน้าต่าง ศีรษะของทั้งสามหันตามฟลอวิกไปตลอดทาง
ที่เจ้าทำเมื่อกี้ ข้าว่า น่ารังเกียจมาก
ฟลอวิกยิ้ม
เจ้า ข้าเน้นคำ น่ารังเกียจมาก
เขาแค่หัวเราะ
เราควบม้าลงใต้ซึ่งเป็นทางไปสู่เมืองท่ามาร์ดการ์อันคึกคัก แต่พอออกจากหมู่บ้าน ฟลอวิกก็บังคับม้าตัวโตขนรุงรังของเขาไปทางตะวันออก เลยเนินเขาที่มีพุ่มกุหลาบป่าและดอกสตาร์ลิสขึ้นเป็นระยะๆ แล้วเราก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือ
ขึ้นเหนือ
ภาพอันชวนอุ่นใจที่ท่านแม่นำทัพใหญ่ออกจากเมือง พบริบบิ้นของข้า พบหมู่บ้านนั้น ได้ยินว่าเรามุ่งลงใต้ และโอบล้อมเราไว้ (ซึ่งจะทำให้ฟลอวิกคับแค้นเป็นที่สุด) หายวับไปจากใจข้าราวกับกลุ่มควัน
ขณะที่ฟลอวิกกับข้าควบม้าเข้าไปยังดินแดนที่รกร้างขึ้นเรื่อยๆ ข้าก็ตระหนักว่าข้าเหลือตัวคนเดียวแล้ว
(มีต่อค่ะ)
โดย: ทินา IP: 61.47.101.118 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:9:13:04 น.
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ตามอ่านด้วยใจจดจ่อยิ่ง
โดย: กิ่งฉัตร (
สาวน้อยเกวลิน
) วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:53:40 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
ทินา
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [
?
]
หลังไมค์เชิญทางนี้จ้า
Friends' blogs
ป้ามด
ลวิตร์
ยาคูลท์
the grinning cheshire cat
Il Maze
grappa
มณฑารัตน์
แพนด้ามหาภัย
apple_cinnamon
ฝนตกแดดออก
Clear Ice
อั๊งอังอา
สาวไกด์ใจซื่อ
หมูย้อมสี
Kai-Au
ThE BooK@HoLiC
rebel
hunjang
หวานเย็นผสมโซดา
~:พุดน้ำบุศย์:~
DoRaePEET
Masaomi
Froggie
@Dakki_Chan@
jackfruit_k
Webmaster - BlogGang
[Add ทินา's blog to your web]
Links
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
พอตกเย็นนางก็เอ่ยว่า เราจะเล่นเรื่องจาจาราชินีโจรสลัดกัน เรื่องนี้มีฉากต่อสู้เยอะ พวกผู้ชายจะได้มาดู แล้วก็มีบทดีๆ ให้พวกเราสาวๆ ด้วย
ข้ารู้จักบทละครเรื่องนั้นดี ข้าร้องอย่างดีใจ อันที่จริง ท่านครูเคยให้ข้าแปลบทพูดของจาจาเป็นบทกวีอย่างซาร์เทอร์ด้วย และข้าก็ยังจำได้ขึ้นใจ ข้านึกภาพตัวเองเล่นเป็นจาจาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เอาชนะกองเรือโจรสลัดของภราดาแห่งเลือดผู้ชั่วร้ายอยู่แวบหนึ่ง จนกระทั่งทาร่าหันไปสบตากับคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างอ่อนหวานว่า แต่เอเลสตราจ๊ะ นี่ไม่ใช่ละครตลกนะ
ละครตลก ทุกคนหัวเราะลั่น มันไม่ใช่เสียงหัวเราะร้ายกาจ ข้าจะได้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหยื่อด้วยซ้ำ อันเป็นข้ออ้างที่ดีที่จะรู้สึกสงสารตัวเอง (อย่างน้อยก็ในสายตาของเหยื่อ)
ไม่ใช่เลย หากแต่เป็นเสียงหัวเราะครื้นเครงเพราะว่า เอเลสตร้าคนกล้าผู้แสนดี นางตลกออก! จะพูดว่า หน้าตาตลก ใช่ไหมล่ะ ข้าคิดเช่นนั้น พลางกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ
ข้าจึงแสร้งทำเป็นนั่งฉีกยิ้มอยู่ตรงนั้นจนทาร่าแจกจ่ายบทครบ แล้วข้าได้บทอะไรน่ะรึ เด็กผู้ชายไม่ค่อยจะยอมท่องบทกันเลย และเจ้าก็แต่งตัวเป็นผู้ชายได้สง่างามมากนะ เอเลสตรา!
สง่างาม นัยของนาง ซึ่งทุกคนรู้ดี คือข้าไม่มีทรวดทรงองค์เอวใดๆ จึงสวมเสื้อกั๊กเข้ารูปอย่างที่ผู้ชายนิยมใส่กันได้ต่างหาก
ข้าวิ่งหนีออกไปจากห้อง พลางกลั้นน้ำตาไว้อยู่จนเกือบวิ่งชนท่านแม่ ซึ่งเพิ่งหอบตำราเวทมนตร์ออกมาจากห้องของโอเรีย ท่านแม่ขมวดคิ้ว มองหน้าข้าอย่างเป็นห่วง แล้วถามว่า เป็นอะไรหรือเปล่า ลูกรัก
ข้าจะตอบอย่างไรได้ล่ะ อารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะค่ะ" ข้าตอบไปเท่านั้น
ท่านแม่เข้าใจในทันที ไปขี่ม้าหรือซ้อมดาบสิจ๊ะ ท่านพูดอย่างเห็นใจ ดูท่าลูกจะได้อารมณ์แบบนี้มาจากแม่ และไม่มีอะไรทำให้หายได้นอกจากการออกกำลัง
ข้าไม่ได้ตอบไปว่าซ้อมกับท่านครูดาบมายกหนึ่งแล้ว แถมยังขี่ม้าไปไกลอีกด้วย เพียงเพื่อจะได้สงบสติอารมณ์ตัวเองได้ตอนที่ทาร่าเลือกตัวแสดงในงานเลี้ยงยามเย็นของนาง ข้าพยักหน้า ฝืนยิ้ม แล้วเดินโซซัดโซเซเข้าไปยังที่เดียวในพระราชวังอธานาเรลที่ไม่มีใครเหยียบย่างเข้าไปเว้นแต่เวลาออกว่าราชการ ซึ่งก็คือท้องพระโรงนั่นเอง
เอาล่ะ ข้าคงจะต้องหยุดเพื่อบรรยายสภาพท้องพระโรงเสียก่อน ไม่เช่นนั้นใครสักคนที่อ่านบันทึกของข้าในอนาคตอาจจะคิดว่ามันเป็นห้องที่น่ากลัว แต่ไม่ใช่เลย ในห้องมีหน้าต่างบานสูงโดยรอบเพื่อให้แสงผ่านเข้ามาได้โดยตรงในฤดูหนาว และสาดเฉียงเข้ามาในฤดูร้อน พื้นปูด้วยกระเบื้องใหม่ที่มีลวดลายเถาวัลย์ ดอกไม้แรกผลิ และนกน้อย อยู่บนพื้นหลังสีชมพูอ่อนจางอย่างตะวันยามเช้า เพราะประตูบานนอกที่เปิดรับแสงจากทางทิสตะวันออก
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือฐานบัลลังก์ซึ่งไม่มีบัลลังก์ แต่มีไม้เนื้อทองต้นใหญ่สูงเท่าอาคารสามชั้นตั้งตระหง่านอยู่ ใบไม้สีเหลือบเงินแตะโดมกระจกที่ท่านพ่อท่านแม่สร้างขึ้นเมื่อต้นไม้ต้นนั้นงอกรากอย่างฉับพลัน
ข้าใช้คำว่า ฉับพลัน เพราะที่จริงแล้วมันไม่ใช่ต้นไม้ หากแต่เป็นชายผู้หนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ท่านฟลอวิก เมรินดาร์ ผู้ที่พยายามฆ่าพ่อแม่ของข้าเพื่อครอบครองอาณาจักร ท่านพ่อท่านแม่ไม่ใช่ผู้ที่หยุดยั้งเขาไว้ได้ แต่เป็นคนภูเขาผู้ลึกลับซึ่งดูเกือบจะเหมือนต้นไม้ในสายตาข้าตอนเหลือบไปเห็นพวกเขาเข้าครั้งหนึ่งบนเทือกเขาสูงหลังปราสาทของท่านลุงแบรนในทลานธ์
ไม่มีใครรู้ว่าฟลอวิกสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเมื่อกลายเป็นต้นไม้หรือไม่ ท่านแม่ยืนกรานว่าเขาได้ยินเสียงรอบตัว และเคยสารภาพกับข้าครั้งหนึ่งว่าในช่วงปีสองปีแรกที่ขึ้นครองราชย์ ท่านจะเข้าไปสาธยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรให้ไม้งามตระหง่านต้นนั้นฟังในยามที่หงุดหงิด ให้รู้ว่ากลการเมืองอันมุ่งร้ายและนักเวทผู้โฉดชั่วไม่เคยมีชัย แต่หลังจากสงครามอันโหดร้ายลุกลามไปทั่วโลกหลังโอเรียเกิดได้ไม่นาน ท่านแม่ก็บอกว่านางไม่มีอารมณ์ไปอบรมเขาอีกแล้ว
ต้นไม้ต้นนั้นจึงยืนตระหง่านอยู่ปีแล้วปีเล่า ฟังคำร้องและคำตัดสินต่างๆ อย่างเงียบสงบ และอยู่ตามลำพังในยามอื่น
จนกระทั่งคืนนั้น
ทันทีที่ข้าเดินเปะปะเข้าไปในห้องอันมืดมิดเพื่ออยู่ตามลำพัง มือหนึ่งก็กดปิดปากข้า ส่วนอีกข้างนั้นคว้าเอวข้าไว้ มือของคนผู้นี้แข็งแรงมากเสียด้วย
เสียงอันนุ่มนวลกระซิบข้างหูข้า ข้าหวังว่าจะเป็นแม่เจ้า แต่เจ้าก็ใช้ได้
ท่านเคยถูกหนามกุหลาบตำนิ้วไหม ความรู้สึกแปลบปลาบที่แล่นไปตามนิ้วนั้นคล้ายคลึงกับสิ่งที่แล่นปลาบไปทั่วกายข้า ข้าร้องออกมาเฮือกหนึ่ง หรืออย่างน้อยก็พยายามจะร้อง มือที่กดใบหน้าอยู่นั้นแน่นเสียจนข้าหายใจแทบไม่ออก
แขนที่โอบรอบลำตัวรัดแขนทั้งสองของข้าไว้ ทำให้ข้าได้แต่กระดิกมือไปมาอย่างไร้ประโยชน์ ข้าจึงเหลือบตามองไปทั้งสองด้านและพบว่ากิ่งก้านอันซีดสลัวของต้นไม้ฟลอวิกนั้นไม่ได้แผ่อยู่เบื้องบนอีกต่อไปแล้ว
ท่านฟลอวิก เมรินดาร์กลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง
และข้าก็เป็นนักโทษของเขา
(มีต่อค่ะ)