The Name of the Wind: จุดเริ่มต้นของตำนาน
วันหยุดหลายวันที่ผ่านมาหมดไปกับหนังสือเล่มนี้เพียงเล่มเดียวเลยค่ะ สนุกอะ ช้อบชอบ
Name of the Wind: Patrick Rothfuss
เรื่องย่อแบบไม่สปอยล์
ณ โรงเตี๊ยมห่างไกลความเจริญแห่งหนึ่งมีเจ้าของที่ชื่อว่า Kote กับลูกจ้างหนุ่มนาม Bast อาศัยอยู่ ทั้งสองเพิ่งย้ายมาอยู่เมืองนี้ได้ปีกว่าๆ และก็ไม่ได้ดูจะมีอะไรพิเศษไปกว่าใคร
แต่เมื่อชายผู้มีฉายาว่า The Chronicler เดินทางมาถึงด้วยความบังเอิญ เขาก็ต้องตะลึงว่าแท้จริงแล้ว Kote ผู้นี้คือ Kvothe จอมเวทผู้เก่งกาจที่สุดในหลายชั่วอายุคน ผู้ก่อวีรกรรมยาวเป็นหางว่าว ทั้งเคยชิงตัวเจ้าหญิง ทำสัญญากับปีศาจ สู้กับเทวดา และฆ่ากษัตริย์ หลายคนว่าเขาเป็นวีรบุรุษ แต่บ้างก็ว่าเขาเป็นปีศาจร้าย
The Chronicler จึงเกลี้ยกล่อมให้ Kvothe เล่าเรื่องจริงหลังตำนาน ซึ่ง Kvothe ก็ตกลงโดยขอเวลาสามวัน และเรื่องที่เขาเล่าในวันแรก ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงช่วงเวลาที่เขาเริ่มเข้าใกล้ความเป็นตำนาน ก็คือเนื้อหาใน Name of the Wind หนังสือเล่มแรกของชุด Kingkiller Chronicle
พล่ามๆแบบไม่สปอยล์
แม้จขบ.จะอ่านแฟนตาซีเป็นหลัก แต่กลับไม่ถูกโลกกับ Epic fantasy ที่เป็นหนังสือผู้ใหญ่อย่างแรง จนเรียกได้ว่าแทบจะไม่อ่านเลยเพราะตัวละครมักจะรันทดกันวายวอด (ปรายตามอง Thomas Covenant อ้อ อีตา Logen กับ Glockta ด้วย) แถมยังมีตัวประกอบอีกประมาณสามร้อยตัวในชื่อภาษาต่างๆนานา (เหลือบตามอง Wheel of Time) แค่เล่มหนาปึ้กยังไม่พอใจ ยังอุตส่าห์ยาวยืดไปหลายต่อหลายต่อหลายต่อหลายสิบเล่ม (จิกตามอง Shannara) *ขอโทษทุกท่านที่ชอบแนวนี้ไว้ ณ ที่นี้*
ที่สำคัญก็คือตัวละครเอกทั้งหลายมักไม่ดึงดูดใจมากพอที่จะทำให้คนบ้าตัวละครมากกว่าพล็อตอย่างจขบ.ทนอ่านหนังสือที่หนา 600 หน้าหลายสิบเล่มได้
แต่สิ่งที่ชักนำให้จขบ.มาเจอเฮีย Kvothe ก็เพราะสาวก Queen's Thief ทั้งหลาย ซึ่งเป็นแฟน Bujold กันแทบทุกคน ปลื้มป๋า Pratchett กันแทบทุกราย และอ่านงานของ Diana Wynne Jones กันครบทุกเรื่องดันเชียร์เรื่องนี้ ก็เลยลองเสี่ยงกันสักตั้ง
และก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ
Kvothe เป็นตัวละครที่น่าสนใจตั้งแต่เปิดตัว เฮียดูเป็นคนน่าสนุกน่าติดตาม แต่ก็เจ้าเล่ห์ใช้ได้ และมีอารมณ์ขันแบบร้ายๆ ประวัติวัยเด็กก็น่าสนใจ ไม่ได้รันทดเว่อร์เป็นกำพร้าแต่เกิดเหมือนพระเอกแนวนี้อีกหลายคน ต่อให้ในยามลำบาก ก็ยังพอจะเจอคนดีๆบ้าง แถมการก้าวเข้าสู่เส้นทางฮีโร่ก็มีเหตุผลในระดับหนึ่ง
ตัวละครสมทบในเรื่องก็น่าคบหากันทุกคน (ยกเว้นเจ้าตัวร้าย) ส่วนสาวตัวเอกก็เป็นสาวชาวบ้าน เปลี่ยนบรรยากาศดี
ฉากโลกโดยทั่วไปแน่นหนาใช้ได้ มีประเทศต่างๆพอประมาณ มีเรื่องเล่าตำนานในโลก แล้วก็มีการเรียนการสอนศาสตร์อื่นๆนอกจากเวทมนตร์หลักด้วย
ตัวเวทมนตร์ก็มีที่มาที่ไปในระดับหนึ่ง โดยระดับพื้นฐานจะออกแนวเคมีผสมฟิสิกส์ มีการถ่ายเทพลังงาน เชื่อมโยงสสารอะไรทำนองนั้น แม้เวทมนตร์ขั้นสูงจะใช้มุขเรียกชื่อจริงของสิ่งต่างๆ ซึ่งซ้ำไปหน่อยแต่ก็โอเค
ชอบรูปแบบการเล่าที่ใช้ด้วย พล็อตที่ย้อนกลับโดยการให้พระเอกเป็นฮีโร่ตั้งแต่ต้นเรื่องและเล่าย้อนกลับไป แทนที่จะไต่เต้ากันไปจนโต แถมยังมีการให้ Kvothe พักไปทำกับข้าว เข้าห้องน้ำเป็นระยะ (ฮา) แต่เจ้าฉากคั่นสั้นๆ ก็มีเนื้อหาสำคัญแทรกอยู่ ว่าด้วยเหตุการณ์ปัจจุบันในโลก รวมถึงความลับของใครบางคน มุกที่ใช้ในบทส่งท้ายก็ชวนให้รู้สึกขลัง รู้สึกอยากติดตามต่อ แต่ไม่ได้ห้อยต่องแต่งจนชวนให้ลงแดงเพราะเล่มสองยังไม่ออก
ที่สำคัญก็คือภาษาของคนเขียนค่ะ คุณ Rothfuss ไม่ได้ใช้ศัพท์ยาวเว่อร์ๆ แต่บรรยายได้อารมณ์อย่างประหลาด ดังบทเกริ่นที่จะแปะไว้ข้างล่าง
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลยนะคะ ตา Kvothe ออกจะเก่งเว่อร์สารพัดนึกไปอยู่หลายส่วน แต่คนเขียนก็ทำให้มันไม่น่าหมั่นไส้ได้ และเรื่องราวช่วงที่เรียนเวทก็ออกจะแฮร์รี่ พอตเตอร์ไปสักเล็กน้อย แต่ชีวิตในโรงเรียนมันก็คงต้องมีเรื่องราวแบบนั้นน่ะนะ
ว่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงปีหน้า เมื่อเรื่องเล่าในวันที่สองของเฮีย Kvothe จะวางแผนในชื่อ The Wise man's Fear
(แถมบทเกริ่นที่ไปจิ๊กเขามา ชอบจริงๆน่อ)
Prologue
A Silence of Three Parts
It was night again. The Waystone Inn lay in silence, and it was a silence of three parts.
The most obvious part was a hollow, echoing quiet, made by things that were lacking. If there had been a wind it would have sighed through the trees, set the inns sign creaking on its hooks, and brushed the silence down the road like trailing autumns leaves. If there had been a crowd, even a handful of men inside the inn, they would have filled the silence with conversation and laughter, the clatter and clamour one expects from a drinking house during the dark hours of night. If there had been music
.but no, of course there was no music. In fact there were none of these things, and so the silence remained.
Inside the Waystone a pair of men huddled at one corner of the bar. They drank with quiet determination, avoiding serious discussions of troubling news. In doing this they added a small, sullen silence to the larger, hollow one. It made an alloy of sorts, a counterpoint.
The third silence was not an easy thing to notice. If you listened for an hour, you might begin to feel it in the wooden floor underfoot and in the rough, splintering barrels behind the bar. It was in the weight of the black stone hearth that held the heat of a long-dead fire. It was in the slow back and forth of a white linen cloth rubbing along the grain of the bar. And it was in the hands of the man who stood there, polishing a stretch of mahogany that already gleamed in the lamplight.
The man had true-red hair, red as flame. His eyes were dark and distant, and he moved with the subtle certainty that comes from knowing many things.
The Waystone was his, just as the third silence was his. This was appropriate as it was the greatest silence of the three, wrapping the others inside itself. It was deep and wide as autumns ending. It was heavy as a great river-smooth stone. It was the patient, cut-flower sound of a man who is waiting to die.
Create Date : 31 พฤษภาคม 2553 |
|
10 comments |
Last Update : 31 พฤษภาคม 2553 23:03:28 น. |
Counter : 6216 Pageviews. |
|
|
|