ชาผู่เอ๋อร์ "ยิ่งเก่ายิ่งดี...ยิ่งเก็บยิ่งแพง"
[บทความด้านล่างนี้ ได้ยกมาจาก กระทู้ที่ผู้เขียนเคยตอบ ในห้องจีนศึกษา]
ภูมิประเทศที่เป็นถิ่นฐานของชาวไทลื้อในสิบสองปันนา จะคล้ายคลึงกับภาคเหนือของไทย กล่าวคือ เป็นพื้นที่ราบระหว่างหุบเขา สลับซับซ้อน การคมนาคมขนส่งค่อนข้างจะลำบากเอาการ จะไปไหนมาไหนแต่ละทีก็ต้องขึ้นเขา ลงน้ำ ข้ามห้วย กันเป็นว่าเล่น
ผลิตผลทางการเกษตรประจำถิ่นของสิบสองปันนา ในสมัยโบราณได้แก่ ใบชาป่า
เมื่อเก็บใบชาป่าได้แล้ว จะนำใส่ตะกร้า ต่างบนหลัง ม้า หรือ ลา เพื่อนำใบชานั้น ไปขายยังต่างเมือง
ก่อนหน้านี้ ยอมรับว่า เป็นช่วงแรกๆที่ได้ลิ้มรสชาผู่เอ๋อร์ และเป็นช่วงที่กำลัง หาข้อมูลเรื่องชาตัวนี้ เนื่องจากว่า มันเป็นชาที่แปลกกว่าชาตัวอื่นที่ผมรู้จัก ก็มีอย่างที่ไหนครับ ชาอะไร อัดเป็นก้อนแข็งโป๊กยังกับอิฐ ผิดกับชาตัวอื่นที่เป็นใบแห้งๆ
ตอนผมเปลี่ยนจากการดื่มกาแฟ แล้วหันมาดื่มชาใหม่ๆ ก็ซื้อชาห่อละ 10 กว่าบาท ตามท้องตลาดทั่วไปมาดื่ม ต่อมาเจอ ชาอู่หลง ที่ผลิตม้วนเป็นเม็ดเล็กๆ เมื่อชงออกมาแล้ว ใบคลี่ออกเต็มป้านชา ก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจ (ก็คนมันไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่ใบชาที่เป็นใบแห้งๆ แฮ่ะๆๆ) ใส่ใบชาไปแค่นิดเดียวคลี่บานออกเต็มป้านเลย , และพอมาเห็นรูปร่างของผู่เอ๋อร์เป็นครั้งแรกนี่ โอ้!! นี่มันชาหรือนี่ รูปร่างแปลกดีพิลึก ไฉนชาผู่เอ๋อร์ถึงได้ทำเป็นก้อนนะ น่าสงสัยชะมัด??
ก็อย่างที่เกริ่นเอาไว้เบื้องต้นครับว่า การนำใบชาป่า ออกไปขายยังต่างเมือง ของคนสิบสองปันนา สมัยก่อนนั้น ก็จะต่างบน หลังม้า หลังลา เดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา....และแล้ว ตำนานก็มาถึง....กล่าวคือ มีอาเฮียคนหนึ่ง มีอาชีพเป็นพ่อค้าใบชา กิจวัตรของแก ก็จะนำใบชาป่าที่เก็บได้จากพื้นที่ ออกไปขายยังต่างเมือง โดยวิธีการที่กล่าวเอาไว้แล้วเบื้องต้น
มีอยู่วันหนึ่งครับ แกก็พาม้าตัวน้อย ที่ต่างใบชาอยู่บนหลัง เดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆ บนไหล่เขา และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น (แล้วผมจะเล่าให้มันตื่นเต้นทำไมนี่??) ม้าตัวน้อยของแก ที่ต่างใบชามาเต็มหลัง เกิดเดินสะดุด ทำให้ตะกร้า ที่บรรจุใบชานั้น หล่นลงไปยังลำห้วย ที่อยู่ด้านล่าง แต่เข้าใจว่า ลำห้วย นั้นคงจะเป็นลำห้วยเล็กๆ ที่น้ำไหลไม่เชี่ยวมากนัก เฮียแก ก็เลยปีนลงไปเก็บตะกร้า หมายใจลึกๆ ว่าใบชาที่บรรจุอยู่ภายใน จะไม่เสียหาย
แต่พอแกปีนลงไปถึง เห็นตะกร้าใบชาแช่น้ำอยู่แล้วก็เซ็ง อุตสาห์เดินมาตั้งไกล ทำตะกร้า ตกน้ำใบชาเปียกเสียหาย แบบนี้คงขายไม่ได้เป็นแน่แท้ แต่ครั้นจะทิ้งใบชาที่เปียกน้ำนั้นไป ก็เกิดความเสียดาย ทิ้งไม่ลง เพราะเป็นใบชาป่าคุณภาพดี จึงเก็บตะกร้าพร้อมทั้งใบชาที่เปียกน้ำ กลับบ้านด้วยความหงุดหงิดอยู่ในใจ (หรือภาษาวัยรุ่นเรียกว่า "เซ็งจิต" อิอิ)
พอกลับถึงบ้าน ตะกร้าพร้อมกับใบชานั้น อาเฮียแกก็โยนโครมเข้ามุมบ้าน และวันต่อๆมา แกก็ไปเก็บใบชาของแกใหม่ และก็นำไปขายยังต่างเมืองเหมือนเดิม , เข้าใจว่าที่บ้านของอาเฮียคงมีตะกร้าหลายใบ แกจึงได้ลืมไปว่า ได้เคยโยนตะกร้าบรรจุชาเปียกๆนั้นเข้ามุมบ้าน จนเวลาผ่านล่วงเลยไปเป็นเดือน เป็นปี และเป็นหลายปี
อยู่มาวันหนึ่งก็คงจะถึงเวลา ทำความสะอาด ชำระสะสางบ้านเรือน ก็เลยไปเจอตะกร้าชา ที่เคยโยนเข้ามุมเมื่อหลายปีก่อน อาเฮียเปิดดูตะกร้าด้านใน ปรากฎว่า ใบชาที่ตกน้ำเมื่อหลายปีก่อนนั้น กลับจับตัวกันเป็นก้อนแข็งโป๊ก ราวกับอิฐและใบชาสีเขียวที่เคยเห็นกลับกลายเป็นน้ำตาลแก่ ด้วยความนึกสนุกหรืออย่างไรไม่อาจทราบได้ อาเฮียนำใบชาที่แข็งโป๊กนั้น มาชงดื่ม รสชาติน้ำชาผ่านลำคอ กลับมีรสชาตินุ่มนวลอย่างน่าประหลาดใจ
อาเฮียเลยปิ๊งไอเดีย ลองเอาใบชามาอัดเป็นแท่ง แล้วบ่มเก็บไว้ นานวันเข้าก็เอาออกมาชงดื่ม ปรากฎว่า ได้รสชาติดีเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน จึงได้เริ่มผลิตออกจำหน่าย และเป็นที่มาของชาผู่เอ๋อร์ในปัจจุบัน
ชาผู่เอ๋อร์ เป็นชาที่แตกต่างจากชาชนิดอื่น กล่าวคือ ชาชนิดอื่น ยิ่งเก็บนานเข้า นับวันจะยิ่งเสียรสชาติ แต่ชาผู่เอ๋อร์ หาเป็นเช่นนั้นไม่ , ชาผู่เอ๋อร์ เป็นชาที่ไม่มีวันหมดอายุ ยิ่งเก็บไว้นานวันเท่าไหร่ รสชาติจะยิ่งดีวันดีคืน ใบชาที่อัดแท่ง จากสีเขียว จะเริ่มมีสีแก่ขึ้น จนกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้ เมื่อชงแล้วจะได้น้ำสีเข้มเหมือนกาแฟ แต่รสชาตินั้น อ่อนละมุน บางเบา ผิดคาดหมายที่ใจนึกคิด
และหากยิ่งเก็บชาไว้นานเท่าไหร่ คาเฟอีน ในชาก็จะยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น และรสชาตินั้น ว่ากันว่า แต่ละก้อนก็ไม่เหมือนกัน แล้วแต่ว่าจะเก็บใบชานั้นไว้ที่ไหน บ้างว่าหากนำชาผู่เอ๋อร์ไปให้เพื่อน 10 คนในหมู่บ้าน ให้หลังอีก 10 ปีเดินไปขอดื่มชาผู่เอ๋อร์ที่เคยให้ไว้เมื่อ 10 ปีก่อน รสชาติน้ำชาที่ได้จากบ้านเพื่อน 10 คนนั้น จะไม่เหมือนกันแม้แต่บ้านเดียว
สมัยก่อน เวลาทำแล้วก็จะห่อกระดาษฟาง เป็นก้อนๆ แพ็คขึ้นหลังม้า แล้วเดินทางออกไปขาย ลักษณะ packaging แบบดั้งเดิมก็จะเป็นแบบในรูป
หลังจากรัฐบาลจีน ประชาสัมพันธ์ นำชาตัวนี้มาทำตลาด จากที่แต่ก่อน ชาผู่เอ๋อร์ ออกจะเป็นชา ที่ผู้สูงอายุดื่มกัน แต่หลังๆ คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ก็หันมานิยม ดื่มชาตัวนี้กันมาก จึงทำให้มีการพัฒนา packaging กันขนานใหญ่ โดยเฉพาะ บริษัท ชาที่เกิดใหม่ๆ จะเน้นเรื่อง packaging มาก เพราะ บริษัทเก่าแก่ ครองส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ อยู่
สมัยนี้เราจึงได้เห็น ชาผู่เอ๋อร์ มี packaging ที่รูปลักษณ์สวยงาม น่าซื้อ (แต่รสชาติจะสู้แบบดั้งเดิมได้หรือเปล่านั้นไม่รู้่) บางบริษัท ก็พยายามเพิ่มมูลค่าของชา โดยการทำใบรับรอง ใส่ไปพร้อมกับ packaging ด้วย ประมาณว่า ของเฮียแกนี่ เป็นผู่เอ๋อร์ แท้ๆนะ ไม่ได้ ไก่กา เอาชาคุณภาพต่ำย้อมแมว มาขายให้
ชาผู่เอ๋อร์ สำหรับผมแล้วไม่ใช่รักแรกพบ เหมือนชาอู่หลง แต่เป็นเหมือน สามี ภรรยา ที่ถูกคลุมถุงชน (กำลังนั่งขำตัวเอง แฮ่ะๆๆ ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพ) กล่าวคือ เมื่อผมได้ลิ้มรส น้ำชาสีเข้มของชาผู่เอ๋อร์ ผมแทบจะบ้วนทิ้ง ไม่เห็นมันอร่อยตรงไหน ไม่ขม ไม่หอม รสชาติออกพิลึกๆ ไม่ค่อยประทับใจเลย ดื่มหมดป้านแล้วคิดอยากจะโยนทิ้งถังขยะจริงๆ (แต่อย่าดีกว่า น่าเสียดาย ก้อนหนึ่งตั้งหลายตังค์)
ผ่านไปหลายวัน เจอห่อชาผู่เอ๋อร์อีกที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่า อะไรมาดลใจ ให้ผมชงผู่เอ๋อร์ดื่มอีกครั้ง และครั้งนี้ ก็มีความรู้สึกแบบเดิม คือรสชาติมันไม่เป็นสับปะรดเลย (อ้าว...ก็ชาผู่เอ๋อร์มันจะเป็นสับปะรดได้ไง พูดแปลก อิอิ) แต่ผมรู้สึกว่า เริ่มดื่มง่ายขึ้นกว่าครั้งแรก และแล้วในที่สุดผมก็เริ่มชินกับกลิ่น และรสชาติของมัน ตอนนี้ก็บอกได้เลยว่า ผู่เอ๋อร์ เป็นชาที่รสชาติลึกลับ แต่นุ่มนวล ชวนหลงใหล เหมือนดั่งเช่น ค้นพบว่า ภรรยา ที่ถูกคลุมถุงชนมานั้น กลับน่ารัก นิสัยดี เป็นแม่ศรีเรือน เอาใจเก่ง หญิงอื่นใดในปฐพีก็มิอาจเทียบเทียมได้ (โอ้วว.....ว่ากันเข้าไป...อิอิ)
นอกจากรสชาติที่ละมุนลิ้น คล่องคอแล้ว ยังเชื่อกันว่า ชาผู่เอ๋อร์ นี้ช่วยบรรเทาอาการเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร หรือระบบลำไส้ หากดื่มเป็นประจำจะทำให้ อาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร หรืออาการท้องผูก ท้องเสีย กรดในลำไส้ ทุเลาเบาบางลง อันนี้ไม่รู้ข้อเท็จจริงเป็นประการใด จะเป็นอุปทานของผู้ดื่มหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
การผลิตชาผู่เอ๋อร์ในเชิงพาณิชย์ นั้นแรกเริ่มก็คือการนำใบชาป่า ดิบมาอัดแท่งอย่างที่รู้ๆกัน รสชาติของชาอัดแท่งนี้ ล่วงรู้ไปถึงราชสำนัก จนราชสำนักมีบัญชาให้ส่งชาเข้าถวายอยู่เป็นเนืองๆ เมื่อชื่อเสียงของชาผู่เอ๋อร์ เริ่มเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากขึ้น และผู้คนก็นิยมดื่มกันแพร่หลายขึ้น ด้วยความที่ว่าชาชนิดนี้ต้องเก็บไว้นานวัน จึงจะมีรสชาติที่ดี , แต่ชาผู่เอ๋อร์ที่ผลิตและส่งขายอยู่นั้น เป็นชาดิบ (สีชายังไม่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลไหม้) จึงสวนทางกับความต้องการของตลาด ที่ผู้คนต้องการลิ้มลองรสชาติ ชาผู่เอ๋อร์ที่สุกแล้ว กล่าวคือ ใบชาอัดแท่งนั้น ผ่านการเก็บบ่ม จนใบชาสุก สีของใบชาเปลี่ยนจากสีเขียว กลายเป็นสีน้ำตาลไหม้
ดังนั้นผู้ผลิต จึงได้คิดหากรรมวิธีที่จะเร่งให้ชานั้นสุกโดยไม่ต้องเก็บ และแล้วก็หาวิธิเร่งให้ชาสุก โดยห้องควบคุมอุณหภูมิ เมื่อบ่มใบชาในห้องควบคุมอุณหภูมิจนได้ที่ ใบชาสุกที่ได้ จะมีรสชาติเหมือนใบชาเก่าเก็บไม่ผิดเพี้ยน ชาผู่เอ๋อร์ที่ผ่านการบ่มนี้ ก็สามารถตอบโจทย์ ของผู้บริโภคได้ ดังนั้นสมัยนี้ เราจึงเห็นชาผู่เอ๋อร์ ผลิตออกมาเป็นสองชนิด คือ แบบดิบ (แบบดั้งเดิม ซื้อไปบ่มเก็บเอง หรือ จะชงดื่มเลยอย่างชาเขียวก็ได้) และ แบบสุก (ผ่านกรรมวิธีในห้องควบคุมอุณหภูมิ เร่งให้จุลินทรีย์ต่างๆ ทำปฏิกิริยากับใบชา จนใบชาสุก เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลไหม้)
สองชนิดนี้มีให้ซื้อหาตามอัธยาศัย ใจร้อนก็ซื้อแบบสุก หรือหากอยากเก็บไว้ เป็นความภาคภูมิใจของตัวเอง ว่า "ชาจอกนี้ ข้าพเจ้าเก็บบ่มเอาไว้เอง เป็นแรมปี" ก็ซื้อหาแบบดิบมาเก็บเอง แต่หากซื้อชามาเก็บเอง ควรนำชาออกมาจากภาชนะที่เก็บ อย่างน้อยปีละครั้ง ให้ใบชาได้หายใจบ้าง เพื่อลดกลิ่นอับเนื่องจากการเก็บไว้แรมปี
ส่วนเรื่องชาปลอมนั้น เข้าใจว่าสมัยนี้รัฐบาลจีน ควบคุมเรื่องคุณภาพพอสมควรครับ บนห่อชาหากมีสัญลักษณ์ QS การันตี ก็น่าจะสะบายใจไปเปราะหนึ่ง ว่ามีคุณภาพและได้มาตรฐาน , เครื่องมายนี้บางทีก็อยู่ด้านหน้า บางทีก็อยู่ด้านหลังห่อชาครับ
อีกนิดหนึ่งครับ อันนี้เป็นข้อสังเกตุส่วนตัวนะครับ ชาผู่เอ๋อร์แบบสุก ส่วนมากสีสรรตัวหนังสือบนห่อ โทนสีจะหนักไปทางสีน้ำตาลครับ , ส่วนชาผู่เอ๋อร์ แบบดิบ โทนสีก็จะหนักไปทางสีเขียว อันนี้เป็นข้อสังเกตุเล็กๆน้อยๆ ครับ
"น้ำค้างหยกเก้าบุปผา"
--เอวัง--
*หมายเหตุ - ชื่อเรียกต่างๆ เช่น ผู่เอ๋อร์ , ผู่เอ๋อ , Puerh , Pu-erh tea cakes , กวางตุ้ง: โผวเหล่ / โป้วเหลย (BoLei) , 普洱茶 (Pinyin: pu3 er3 cha2)*
ข้อมูลส่วนหนึ่งจาก-...
ชาในมูลนิธิโครงการหลวง ,
wikipedia ,
รวยริน-กลิ่นชา ,
Tuocha , และ
มิตรสหายในห้อง จีนศึกษา
//www.pantip.com
เอามาฝากค่ะ "มาม่าผัดขี้เมากุ้ง-ปลาหมึก" :))