Group Blog
 
 
ตุลาคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
29 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
บั้งไฟพญานาค (มหัศจรรย์แม่น้ำโขง เรื่องเก่าเล่าใหม่)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2002
ดูรูป---> 1 2 3 4



ว่าจะไม่เขียนเล่าอะไร ว่าจะแกล้งลืมๆ มันไปซะ ไม่อยากบอกใครๆ เลยว่าไปดูบั้งไฟพญานาคมา มันน่าอายอะไรนักหรือ ? หลายคนอาจสงสัย โอ...บอกให้ก็ได้ว่า ในชีวิตนี้ไม่เคยต้องตกระกำลำบากรถติดนานถึง 12 ชั่วโมง ด้วยระยะทางเพียง 45 กิโลเมตร ก่อนไปฉันได้ทำใจไว้แล้วว่ารถจะติด (แต่ไม่คิดว่ามันจะนานขนาดนี้) เพราะตั้งใจว่าไปครั้งเดียวในชีวิต แล้วคงไม่ไปอีก เรื่องของเรื่องที่ต้องไปปีนี้ ซึ่งกระแสบั้งไฟมาแรงมาก ทั้งการประชาสัมพันธ์ของทางจังหวัดเอง ทั้งภาพยนตร์เรื่อง ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ทำเอาใครๆ ก็อยากรู้ความเป็นมาเป็นไป ฉันเองก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งสนใจมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็นในปีนี้ อย่างที่บอกว่า การที่จะไปต้องเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ ในเรื่องที่พัก เผอิญว่า ฉันมีน้องสะใภ้ทำงานอยู่ที่หนองคาย คาดว่าจะทำเป็นปีสุดท้ายแล้ว จะย้ายเข้ากรุงเทพ ฯ ถ้าฉันไปปีนี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พัก แถมยังมีคนนำทางไปดูด้วย คิดได้ดังนี้จึงชวนเพื่อนฝูงที่สนิทกัน กะว่าจะไปไม่มากคน มิฉะนั้นจะมากความ สุดท้ายแล้วไม่สามารถเกณฑ์คนไปให้เต็มรถได้ มีเพียงสามคนวัยเดียวกัน รวมกันเกินร้อย ได้แก่ฉัน (รับหน้าที่คนขับ) อรเพื่อนผู้ว่างเสมอเมื่อชวนเที่ยว อีกคนเป็นหนุ่มโสด ที่ยังมองหาสาวคู่ใจอยู่คือ พี่ซือ วัยขนาดนี้แล้วจึงรีบเที่ยว ก่อนจะไม่มีเรี่ยวแรง

คืนวันเสาร์ ที่ 19 ตุลาคม ทุกคนพร้อมกันที่บ้านฉัน นอนที่นั่น เพื่อจะได้ออกแต่เช้าตรู่ แต่เอาเข้าจริงๆ มีคนมัวแต่เล่น net chat หาสาว แต่เผอิญไม่มีใครหลุดเข้ามา ก็เลยไปนอน แต่นั่นก็เกือบเที่ยงคืน ทำเอาฉันเองก็พลอยนอนดึกไปด้วย

อาทิตย์ 20 ตุลาคม นาฬิกาปลุกฉันตื่นตอน 6.30 น. ออกเดินทางออกจากบ้าน 7.30 น. ช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ พอถึงปากช่อง เรา (ฉันและอร) มีความเห็นตรงกันในการยูเทินร์ ไปซื้อข้าวโพดและน้ำข้าวโพดไร่สุวรรณ อันเป็นของโปรดของเรา ถึงขนาดที่จะขับรถมาซื้อกันที่ไร่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ แม้ว่าจะมีอีกหนึ่งเสียงนั่งเงียบเราก็ไม่สน ได้มาแล้วดื่มน้ำข้าวโพดอย่างเอร็ดอร่อยไป 1 ขวด ขับไปได้ไม่นาน เราก็บังเกิดอาการปวดฉี่กัน แวะปั๊ม แล้วก็เลยถือโอกาสกินอาหารเช้ากันที่นั่น ขับไปอย่างสบายๆ ถึงขอนแก่นบ่ายโมงกว่า (ระยะทาง 450 กิโลเมตร) แวะบ้านเพื่อรวมพลกับเล็ก น้องชายฉัน และปางค์ น้องสะใภ้ ที่อุตส่าห์ ขับรถจากหนองคายมารับ ทุกคนหิวโซ เลยเสียทีก๋วยเตี๋ยวน้องชายอากิ๋ม ไปคนละชาม สองชาม ลืมเรื่องที่จะกินส้มตำอร่อยๆ กันเสียสิ้น แต่อากิ๋มก็ใจดี บึ่งมอเตอร์ไซค์ไปซื้อมาให้คุณอรชิม ซึ่งเธอก็ติดใจรสชาดแบบลาวๆ ใส่มะกอกแต่ไม่ใส่ปลาร้า
เราออกเดินทางด้วยรถสองคัน โดยมีน้องชายขับนำ ฉันขับตามไป ถึงหนองคาย (ระยะทาง 170 กิโลเมตร) บ่ายสี่โมงกว่า แวะไปดูที่พักที่ปางค์เตรียมไว้ให้ แล้วก็ออกไปเที่ยวที่ศาลาแก้วกู่ เป็นสถานปฏิบัติธรรมที่มี รูปปั้นรูปทรงแปลกๆ ส่วนมากจะเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ ภายในร่มรื่น คนมาเที่ยวกันมากพอสมควร ออกจากศาลาแก้วกู่ เราไปท่าเสด็จเพื่อซื้อของฝาก ถนนหนทางวันนี้รถเยอะมาก คนก็มากมาย ได้ข่าวว่าโรงแรมเต็มไปถึงอุดร และบางคนก็พักกันที่ขอนแก่นในคืนนี้
ที่ท่าเสด็จ มีการแสดงแสง สี เสียง เดินไปจนถึงถนนอาหาร ก็ไม่พบของถูกใจให้ซื้อ นอกจากกล้วยปิ้ง 10 บาท แย่งกันกินประทังความหิว กะว่าจะหิ้วท้องรอมะลิ เพื่อนที่อยู่ท่าบ่อ สุดท้ายรอไม่ไหว สงสารคนหิว เดินวนเวียนเพื่อหาร้านสำหรับอาหารค่ำ ได้ร้านริมโขงแถวท่าเสด็จ แมลงเยอะมาก แต่ทุกคนก็ติดใจปลานิลเผาตัวโตหนักเกือบ 1.5 กิโลกรัม ราคาเพียง 150 บาท สดมากและไม่มีกลิ่นคาว กลิ่นดิน ถามเจ้าของร้าน บอกว่าเลี้ยงในกระชัง ตรงนี้เอง ข้างๆร้าน มีกระชังอยู่หกอัน มีปลาหมุนเวียนพอขายทั้งปี ช่างเป็นทรัพยากรอันมีค่าจริงๆ ผลิตตรงนี้ ขายตรงนี้ แนวคิดเช่นนี้แหละที่ฉันชอบ หากขยันทำกิน มีหรือจะอด แถมยังแบ่งปันความอร่อยมาให้แก่ นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ด้วยอิ่มท้องแล้วก็อยากนอน เลยเห็นพ้องกันว่ากลับไปพักผ่อนดีกว่า มะลิก็ไม่ติดต่อมาเลย อาจจะไม่มาแล้วก็ได้ ถึงบ้านฉันได้อภิสิทธิ์อาบน้ำก่อนใครๆ เพราะเหนื่อยมาทั้งวันกับการขับรถมือเดียว เพื่อนๆ ทั้งสองไม่บังอาจช่วยขับ เนื่องจาก เธอขับรถเกียร์ธรรมดาไม่เป็น อาบน้ำอยู่ก็ได้ยินแว่วๆ ว่ามะลิตามหาพวกเราอยู่ พอออกมาจากห้องน้ำ มะลิก็มาถึงที่พักของเราพอดี คุยกันพอออกรส ก็ต้องกลับเพราะดึกเกินไป เพื่อนคนนี้ไม่ได้เจอกันกว่าสิบปีเชียวนะ แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ทั้งที่เป็นคุณแม่ลูกสองแล้ว

จันทร์ 21 ตุลาคม หลับกันสนิททั้งคืน เช้านี้จึงตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ต้มน้ำดื่มกาแฟกันแล้ว ก็เตรียมตัวออกไปหาอาหารเช้ากินกันในเมือง ปางค์ต้องไปทำงาน จึงให้น้องชายเป็นสารถี พาไปร้านขายแหนมคลุก ที่ฉันเรียกร้องอยากกิน แต่เล็กไม่แม่น จำไม่ได้ ก็จอดรถเดินหาร้านกัน พอเจอ เค้าก็ยังไม่เปิดร้าน จึงเปลี่ยนใจไปกินไข่กระทะร้านตะวันไข่กระทะ พอไปถึงของหมด เลยต้องเดินกลับไปร้านแหนมคลุกอีก ทำเอาบางคนเซ็ง ทำไงได้ล่ะ ขนาดไม่กี่คนยังคิดไม่ตรงกัน คุณชายซือเองไม่พอใจอะไรลึกๆ แต่เธอไม่ค่อยพูด ฉันดูออกนะจะบอกให้ ฉันเป็นผู้หญิง ยังต้องอดทนเลย คุณเธอหิวเป็นไม่ได้ ต้องกินทันที ฉันเองไม่ค่อยบ่นหิวสักเท่าไหร่ คนหมู่มาก ฉันตามใจส่วนรวมอยู่แล้ว อาจเป็นเพราะฉันกินง่ายกระมัง เห็นหน้าเพื่อนแล้วนึกอยู่ในใจ ไม่น่าชวนเค้ามาลำบากเลย แล้วก็พลันดีใจว่า เพื่อนอีกสองคนที่ฉันชวน มาไม่ได้ มิฉะนั้นฉันอาจจะกลุ้มใจหนักไปกว่านี้ พออิ่มท้องจากอาหารเช้าซึ่งเป็นขนมจีนแล้ว ก็ขับรถกลับบ้านพักข้างๆ ศาลากลาง การจราจรที่ติดขัดก็เริ่มปรากฏ นี่เพิ่งจะ 9.30 น. เองเราเกิดอาการ panic รีบโทรหาปางค์ บอกให้เตรียมตัวออกเดินทางกันเถอะ เราแวะซื้อเสบียงที่ห้าง บิ๊กเจียง ไปรับปางค์ ที่ที่ทำงาน พอดี ที่ทำงานปางค์ จะต้องไปรับรองแขก รถตู้ที่ไปก็ว่าง เราทั้งหมดจึงไปรถตู้กัน ไม่ต้องเหนื่อยคนขับของเรา ซึ่งครั้งแรกว่าจะไปรถปางค์ และเล็กเป็นคนขับ นั่งกันสบายๆ เพราะรถไม่แน่น แถมคนขับก็ชำนาญทาง เราจะไปดูกันที่โพนพิสัย ที่วัดไทย หน่วยงานของปางค์เตรียมที่ไว้รับรองแขกจากต่างจังหวัด ทำให้เราได้อานิสงฆ์นี้ไปด้วย คือ ไม่ต้องไปเบียดกับใครเขา เรามีที่นั่งดูแน่นอน
รถติดกันเป็นขบวนรถไฟ จากอำเภอเมืองไปโพนพิสัย ระยะทาง 45 กิโลเมตร ออกเดินทาง 10.30 น. ถึงเวลาบ่ายสองโมง แค่เบาะๆ เองนะ อากาศร้อนมาก แดดก็จัด พอถึงวัดไท เราก็ไม่อยากกระดุกกระดิกตัวไปไหน จึง ขออาศัยข้างบ้านของชาวบ้านแถบนั้น นอนแผ่กันคนละสลึง สองสลึง

นั่งรอ นอนรอ กินรอ ก็แล้ว ไม่ค่ำเสียที สุดท้ายก็ได้เวลาเคลื่อนขบวนไปที่ท่าน้ำ ตอนนี้พี่ซือ หายไปไหนไม่มีใครรู้ ปางค์เป็นห่วงว่าจะเข้ามาในบริเวณที่เค้าเตรียมให้ไม่ได้ ก็เดินเข้าเดินออกไปดู จนเหนื่อยเลยนะพี่ซือ พอกลับมา เล่าให้ฟังว่าตามสาวๆ ในขบวนแห่เข้าไปในวัด นี่แหละนะผู้ชาย....
ที่ริมโขง ฉันได้เห็นภาพ ทั้งที่ประทับใจและไม่ประทับใจ ในความเห็นแก่ตัวของคนจำพวกหนึ่ง คนที่มีการศึกษา และหน้าที่การงานดี แต่ทำไม ไม่มีจิตสำนึกที่ดีตาม ก็ไม่รู้ ฉันเห็นคนบางคนหาที่นั่งไม่ได้ ในขณะที่อีกหลายๆ คนกินที่กินทาง กางเสื่อผืนเบ่อเริ่ม ตั้งสำรับอาหารปิกนิคกัน อย่างเอร็ดอร่อย ตะแรกฉันกับอร นั่งมองผู้คนที่ทะยอยกันเข้ามาในซุ้ม ของหน่วยงานที่ปางค์ทำงานอยู่ บรรดาเจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ต้อนรับเจ้านายจากต่างถิ่น ในขณะที่บุคคลเหล่านี้ เอาแต่ใจตัวเอง ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน ก็เลือกกิน สิ่งที่เค้าเตรียมให้ไม่ถูกใจเอาเสียเลย ฉันนึกในใจว่า ถ้าอยากสบายขนาดนี้ ไม่รู้ถ่อสังขารมาทำไมกัน มาทำให้คนอื่นเดือดร้อน นอกจากนั้น ที่ๆ เค้าจัดให้นั่งเป็นเก้าอี้ มีพนักพิงอย่างดี ก็ไม่นั่งกัน จะปูเสื่อปิคนิคกันตรงนั้น ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ต้องเก็บเก้าอี้เคลียร์พื้นที่ให้เจ้านายเหล่านั้น ซึ่งขนกันมาทั้งครอบครัว นั่นเป็นที่มาให้ฉันเริ่มไม่รู้สึกละอายใจ ที่แอบแฝงเข้ามานั่งรวมอยู่ในที่นั้น เพราะอย่างน้อยฉันก็สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เราสองคน (ฉันกับอร) นั่งนินทา พร้อมๆ กับสงสารคนที่เตรียมการต้อนรับ ซึ่งฉันมองเห็นว่าเค้าตั้งใจทำงานกันเต็มที่

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ขณะนี้บรรยากาศดีมาก สายตาทุกคู่จดจ่อ อยู่ที่แม่น้ำโขงข้างหน้า ฉันกดชัตเตอร์ถ่ายรูปไปหลายรูป ลมพัดวูบไหว เห็นเงาเมฆทะมึนมาแต่ไกล ได้ยินใครพูดแว่วๆ ว่าในอำเภอเมืองฝนตกหนักเมื่อตอนบ่าย ทำเอาหลายคนในที่นี้เกิดอาการหวาดหวั่นว่า จะไม่ทันได้เห็นบั้งไฟพญานาค ปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่นนี้ อยู่นอกเหนือการคาดเดาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เมื่อตอนกลางวัน แดดจัด อากาศร้อนมาก ฉันและเพื่อน ยังมองออกไปยังสายน้ำด้วยความหวังว่าจะได้เห็นลูกไฟลูกแรกโผล่ขึ้นมา ต่างก็เดาเอาเองว่า จะขึ้นที่ข้างซ้ายหรือขวา มีเรือลำหนึ่งแล่นผ่านไปทางซ้ายของแม่น้ำ สายตาทุกคู่จ้องจับไปที่เรือลำนั้น ด้วยความสงสัยว่า มาลอยลำอยู่ตอนนี้ทำไม? เราพูดกันเล่นๆ ว่าเดี๋ยวเถอะ พอเรือผ่านไป ลูกไฟก็จะขึ้น ฉันมองตามเรือ ซึ่งลอยห่างออกไปทุกขณะ ทันใดนั้นโดยไม่คาดฝัน ลูกไฟลูกแรก สีแดงเข้ม พุ่งขึ้นจากลำน้ำ ด้วยมุม 60 องศาจากซ้ายมาขวา ฉันและพี่ซือ ร้องขึ้นพร้อมๆ กันกับเสียงอื่นๆ ส่วนอร พลาดลูกแรกไป เพราะมัวแต่มองไปทางขวา พอหันมาตามเสียง ก็ไม่ทันได้เห็นเสียแล้ว ฉันต้องบรรยายด้วยความตื่นเต้นให้เธอฟังว่า "ลูกไฟพุ่งสูงขึ้นมาเหนือลำน้ำประมาณ 50 เมตร แล้วก็ดับมืดไปเฉยๆ ด้วยเวลาไม่นานนัก"
"เฮ....." เสียงดังขึ้นอีกครั้ง ลูกไฟลูกที่สองก็อยู่ในสายตาฉัน อรก็ทันเห็นด้วย ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ลูกไฟทะยอยพุ่งขึ้นมา นับได้ประมาณ 15 ลูก แล้วความโกลาหลก็บังเกิด เมื่อฝนเริ่มโปรยสาย ผู้คนระส่ำระสาย ไม่แน่ใจว่า ฝนจะตกหนักหรือแค่เพียงหยอกเล่น ต่อเมื่อฝนลงเม็ดหนักขึ้น ฝูงชนจึงเบียดเสียดกันหนีฝน แต่คณะของฉันยังปักหลัก เพราะยังเสียดายที่เห็นยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง
ก่อนที่เราจะเปียกปอนกันทั้งหมด ก็ได้อานิสงฆ์ของผ้าใบที่กลุ่มปิคนิคใช้ปูนั่งอยู่ใกล้ๆ แต่เราได้นินทาไว้มากมาย ผ้าใบผืนนี้ใหญ่มาก จนเราค้อนคนที่เอามาปู กินเนื้อที่คนที่ไม่มีที่จะยืนดู แต่ผ้าใบผืนเดียวกันนี้กลับทำให้เรารอดพ้นจากลมและฝน ที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่ยั้งมือ คนที่ยืนอยู่นอกผ้าใบ ยังส่งเสียงเฮ เป็นระยะ ฉันเองก็พยายามตะเกียกตะกายโผล่ออกไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียง ไม่นานฉันก็ปราศจาก อาการตอบสนองจากสรรพเสียงใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหนื่อยและหนาว จากเสื้อผ้าที่เปียกชื้น สุดท้ายเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าฝนจะหยุด เราก็พร้อมใจกัน เดินทางกลับ โดยการฝ่าสายฝนไปยังที่ ที่รถจอดอยู่ เราออกเดินทางเวลา 1 ทุ่มตรง ผ่านไป 4 ชั่วโมง รถขยับไปได้ 200 เมตร ติดอยู่ที่ถนนพิสัยสรเดชนี่เอง เสบียงต่างๆ ที่เราเตรียมมา ก็ถูกนำมากินจนหมด ชาวบ้านแถบนั้นน่ารักและมีน้ำใจมาก เปิดบ้านให้เราได้อาศัยเข้าห้องน้ำ และใจดีขนาดปูเสื่อให้นอนก็ได้ เราใช้บริการห้องน้ำที่บ้านหลังนี้คนละ 2-3 ครั้ง รถก็ยังไม่ไปไหน ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า ฉันพยายามนั่งหลับ เพื่อให้ลืมว่าเราติดอยู่กับที่ พอลืมตามาครั้งใด สถานที่ก็ยังเดิมๆ
รถเริ่มออกตัวได้อย่างช้าๆ ตอนเกือบเที่ยงคืน น้าหมูคนขับรถ พาเราซอกแซกไปตามซอย แล้วมาทะลุถนนหนองคาย-บึงกาฬ แต่เบี่ยงหัวรถไปคนละทางกับอำเภอเมือง เนื่องจากเป็นคนขับนิสัยดี จะไปต่อแถวที่ท้ายขบวน แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิด เกินกลับใจ เรามองไม่เห็นเลยว่าท้ายขบวนอยู่ที่ใด ขบวนรถยาวเหยียด ไม่ขยับในเลนตรงข้าม ทำให้น้าหมูไม่สามารถกลับรถไปอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ น้าหมูจึงมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ โดยใช้เส้นทางที่อ้อมไปไกลมาก ฉันหลับๆ ตื่นๆ ตามจังหวะที่รถกระเด้งกระดอนเพราะเส้นทางลูกรังที่น้าหมูบุกเข้าไป ฉันไม่รู้หรอกว่าเราอยู่ที่ไหนในตอนนั้น รู้แต่เพียงว่า ทำไมคืนนี้ช่างยาวนานนัก.....
บางครั้งน้าหมูเข้าเส้นทางผิด เพราะเห็นแกย้อนกลับทางเก่า ฉันเห็นแกขับเข้าไปในเส้นทางที่แคบๆ เหมือนๆ จะเป็นทางตัน เส้นทางจะเป็นอย่างนี้ไปนานแค่ไหนไม่รู้ เสียงพูดคุยในรถก็เงียบหายไป หลายคนหลับไหล ฉันก็หลับไปด้วย ตื่นมาอีกที ฟ้าเริ่มสาง มองเห็นป้ายบอกสถานที่ อ. เพ็ญ จ. อุดรธานี นี่เราขับรถข้ามจังหวัดกันเลยหรือ ดูนาฬิกา ตีสี่กว่าๆ ไม่กล้าเอ่ยปากถามน้าหมูหรอกนะว่า เราจะถึงหนองคายเมื่อไหร่ จำได้ว่าเมื่อบ่าย แกเคยบอกว่า กลับถึงหนองคายเจ็ดโมงเช้า ฉันคิดว่าแกแหย่เล่น แต่ตอนนี้ ฉันรู้แล้วว่าแกพยายาม ทำเวลาให้ได้ตามที่แกบอกพวกเรา...

เจ็ดโมงเช้าวันที่ 22 ตุลาคม เราถึงหน่วยงานของปางค์ มีโจ๊กร้อนๆ รออยู่...แต่ตอนนั้นฉันคิดถึงที่นอนเป็นที่สุด ก่อนเข้าบ้านได้พาอร ซึ่งไม่กินโจ๊ก ไปกินไข่กระทะ แต่วันนี้ก็ผิดหวังอีก เนื่องจากนักท่องเที่ยวมาก ร้านขายดีจน ขอหยุดขายครึ่งชั่วโมง เฮ้อ! มีเงินก็ไม่มีกินนะ.... ในเมืองรถยังมากอยู่ กลับเข้าที่พัก รีบอาบน้ำจนร่างกายสดชื่น พี่ซือนอนหลับที่โซฟา น้องชายฉัน เอาเสื้อผ้าไปซักที่ร้านซักรีด ปางค์พาอรไปร้านทำผม ส่วนฉันไม่รู้สึกง่วง นั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว เวลาไปเที่ยวฉันมักจะพกพาหนังสือไปอ่านด้วยเสมอ เวลาที่มีความสุขก็คือเวลาที่ ได้อ่านหนังสือ และดื่มกาแฟร้อนสักถ้วยไปด้วย
เดิมทีวันนี้ตั้งใจจะเข้าไปเที่ยวที่เวียงจันทร์ แต่ท่าทางแต่ละคนไม่มีอารมณ์ที่จะไปไหน เลยปล่อยให้พักผ่อนกันตามสบาย กลางวันออกไปกินอาหารที่ร้านดอกจาน ไก่ย่างส้มตำ คืออาหารหลัก ของร้านนี้ แล้วฉันก็มีไอเดียว่า ควรจะแวะไปเยี่ยมมะลิที่อำเภอท่าบ่อ พออิ่มท้องแล้วก็กลับที่พัก เก็บข้าวของ ออกเดินทางไปท่าบ่อ โดยไม่ชักช้า
แต่มีบางคนยังอาลัย ที่ไม่ได้เข้าไปเที่ยวที่เวียงจันทร์ พอขับรถออกจากอำเภอเมืองได้ไม่นาน ผ่านทางแยกเข้าสะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว ฉันจึงต้องเลี้ยวเข้าไปที่นั่น เพื่อเพื่อนฉันทำได้เสมอ ไปยืนเต๊ะท่าถ่ายรูป ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง คนละภาพ

เพื่อนๆ เดินไปหาข้อมูลที่บริษัททัวร์ บริเวณนั้น แล้วเราก็รีบไปท่าบ่อกัน ไปถึงที่นั่น หาบ้านมะลิไม่ยาก นั่งพักกันที่บ้านมะลิ ซึ่งเปิดเป็นร้านขายมอเตอร์ไซค์ ซ่อมและตบแต่ง พอบ่ายแก่ๆ พี่คม แฟนมะลิ พาเราไปนั่งกินยำอร่อยที่ร้านเพื่อน ริมโขง ที่อำเภอศรีเชียงใหม่ อร่อยมากเลย ขอยกนิ้วให้ เราหาที่พักที่นี่ไม่ได้ เลยนอนบ้านมะลิในคืนนี้ พอตะวันเริ่มโพล้เพล้ พี่คมพาเราไปที่วัดหินหมากเป้ง วัดชื่อดังที่หนองคาย วัดของหลวงปู่เทสก์ คนมาที่วัดเยอะมาก เลยรู้ว่าคืนนี้ เค้าพากันมาดูบั้งไฟพญานาค ที่นี่อีกหนึ่งคืน เราเลยอยากดูกันมั่ง เอาเสื่อไปปูริมโขง ในวัด แม่น้ำโขงที่นี่ แคบกว่าเมื่อวานที่อำเภอโพนพิสัย หวังกันว่าจะได้เห็นในคืนนี้ แต่นั่งรอกันเกือบสองชั่วโมง ค่าเวลาโดยการคุยกัน เกือบสามทุ่มไม่มีวี่แวว เราเลยหมดความอดทนกัน ก่อนกลับไปนอนที่บ้านมะลิ แวะบ้านพี่คมที่ศรีเชียงใหม่ กินมื้อดึกกันที่นั่น เป็นหมูกะทะ มีกุ้งอบตัวใหญ่มาก ถูกใจพี่ซือ แต่ฉันง่วงนอน กินได้ไม่มาก ระหว่างกำลังกินกันอยู่นี่ ได้ยินเสียงดังสนั่นมาจากถนน ออกไปดูก็เห็นมอเตอร์ไซค์ ล้มอยู่ข้างๆ รถสิบล้อ คนขับเมา ชนเข้ากับรถสิบล้อที่จอดเสียอยู่ข้างทาง หนังศีรษะเปิดเป็นแผลใหญ่ เลือดไหลเยอะ กลิ่นเหล้ากลบกลิ่นเลือดอีก อันนี้ฉันได้ยินคุณหมอ น้องเขยพี่คมพูดอีกที ตัวเองไม่กล้าไปดูหรอก ขวัญอ่อนเกินไปที่จะไปดูเลือด ฉันดูคุณหมอใจเย็นมาก บอกว่า ไม่ถึงตายหรอก แล้วก็ทิ้งเค้าไว้ที่ข้างทางเหมือนเดิม เจ้าของรถสิบล้อ เสียอีกสั่นไปหมด เพราะกลัวความผิด ตำรวจไม่มาเสียที เป็นหน้าที่พี่คม พลเมืองดี พาเอาคนเจ็บส่งโรงพยาบาล
ฉันไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมคนเราถึงได้ดำเนินชีวิตอยู่ในความประมาท ทำไมต้องเมามายไร้สติ นอกจากไม่รักชีวิตตัวเองแล้ว ยังทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่น คุณหมอคงเจอแบบนี้มาเยอะ จึงไม่ได้กระตือรือร้นที่จะช่วยอะไรมากนัก ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกสงสารหรอก คนเราลงไม่รักตัวเองแล้วจะไปรักใครได้ ....
กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นเที่ยงคืน มะลิยกห้องนอนส่วนตัวให้เรา 3 คน พอฉันอาบน้ำเสร็จ ก็เห็นพี่ซือ หลับไปแล้ว พี่ซือนอนกับพื้น ฉันกับอร นอนบนเตียง คืนนี้หลับสนิทที่สุด

วันที่ 23 ตุลาคม  เราเตรียมตัวออกเดินทางแต่เช้า เนื่องมาจากเมื่อคืนนี้ตอนอาหารมื้อดึก ได้คุยกันว่าอยากไปเวียงจันทร์ มีคนสนับสนุนเยอะ รวมได้ 10 คน จึงตกลงไปเวียงจันทร์กัน แม้ว่าเราจะกลับถึงกรุงเทพฯดึกในวันนี้ ฉันก็ไม่หวั่น เพื่อนๆ เป็นห่วงว่าฉันจะเหนื่อยเกินไป แต่ฉันยืนยันว่าไม่เหนื่อย เพราะอยากให้เพื่อนได้ไป ไหนๆ ก็มาจนถึงนี้แล้ว จะกลับไปโดยไม่ได้ไปเวียงจันทร์ได้อย่างไร น้องชายกับน้องสะใภ้เองก็ทำใบผ่านแดนรอไว้แล้ว พอเราไปถึงหนองคาย โทรถามทั้งคู่ ก็ขอร่วมแจมด้วย คณะเราทั้งหมดที่มาจากท่าบ่อ ต้องไปทำใบผ่านแดนก่อน ที่สำนักงานบัตรผ่านแดน บริเวณศาลากลางจังหวัดหนองคาย ซึ่งเปิดทำการทุกวัน ระหว่างเวลา 7.00-18.00 น. โดยมีเอกสารประกอบการทำบัตรผ่านแดนดังนี้ สำเนาบัตรประชาชน รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป เสียค่าใช้จ่าย 40 บาท สะดวกและถูกกว่าทำกับบริษัททัวร์ ซึ่งต้องเสีย 100 บาท
คณะทัวร์รวม 12 คน เหมารถตู้ 1 คันพอดี ต่อรองราคาได้ 1,200 บาท สถานที่ที่ รถตู้พาไปก็มี วัดต่างๆ ประตูชัย ตลาดเช้า ทั้งหมด 6 รายการ อากาศร้อนมาก ทำให้เราเฉากันเป็นแถว รถจอดให้ชมก็ไม่ค่อยอยากเดินกันเท่าไหร่ กลับเข้าฝั่งไทย ตอนบ่ายสามโมงกว่า แล้วเรา 3 คนก็แยกทางกลับกรุงเทพฯ
ฉันขับรถโดยไม่หยุดพักกันเลย ถึงขอนแก่น 18.30 น. พาเพื่อน แวะกินข้าวที่ร้าน Mr. Shine ใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เป็นร้านที่ฉันเล็งมานาน แต่ไม่เคยได้กิน เพราะพอกลับขอนแก่นทีไรก็ต้องกินข้าวบ้านทุกที แต่วันนี้ฉันเป็นคนเลือกร้านเอง จึงเป็นโอกาสเหมาะ ซึ่งอาหารและบรรยากาศไม่ทำให้เราผิดหวังเลย แถมฉันยังติดใจดีเจ ซึ่งเปิดเพลงได้ถูกใจมาก ไม่ได้แวะไปที่บ้านเลยเพราะเกรงจะถึงกรุงเทพฯ ดึกมาก
อิ่มกันแล้วก็เดินทางต่อ ฝนทำให้เราไปได้ไม่เร็วนัก ฉันต้องใช้สายตาอย่างมาก จึงทำให้ล้า เราแวะดื่มกาแฟที่ปั๊มน้ำมัน และเป็นการพักเพียงครั้งเดียวหลังอาหารค่ำ อาการเพลียก็มีบ้าง แต่เหลือระยะทางอีกกว่า 200 กม. ฉันหยุดนานไม่ได้ สุดท้ายของความอึด เรามาถึงบ้านฉันตอนตี 2 ทุกคนจึงนอนที่บ้านฉันอีก 1 คืน แล้วตื่นไปทำงานในตอนเช้า
มหัศจรรย์จริงๆ ที่ฉันได้พบก็คือ รถติดนานที่สุดในชีวิต (อาจจะนานที่สุดในโลกก็ได้ หากเทียบระยะทาง) ค่าใช้จ่ายก็แสนถูก ไม่ถึง 1,500 บาทเลย กับระยะทางที่ฉันขับรถทั้งไปและกลับ 1,444 กิโลเมตร เป็นบทพิสูจน์ว่า ฉันยังไม่แก่เลยสักนิด ใครบางคนที่เคยห่วงก็ไม่ต้องห่วงแล้วนะ เห็นหรือเปล่าว่าฉันทำได้
กลับมาไม่นาน ระหว่างที่ฉันยังเขียนเรื่องราวบั้งไฟอยู่นี้ เราก็มีแผนจะไปเที่ยวที่ภูเรือเร็วๆ นี้......

2-10-02




Create Date : 29 ตุลาคม 2550
Last Update : 29 ตุลาคม 2550 19:29:42 น. 7 comments
Counter : 430 Pageviews.

 
ในชีวิตอยากไปเห็นด้วยตาตัวเองซักครั้งเหมือนกันคะ


โดย: ann (a_mulika ) วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:14:28:49 น.  

 
ไปให้ได้นะคะ


โดย: ตะวันฉาย (TaWanShine ) วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:14:46:02 น.  

 
น่าสนุกดี นะ
เล่าละเอียดเลย

อยากไปดู บ้าง

คราวหน้าไปภูเรือจะมาอ่านอีกนะ


โดย: ดอกฝิ่นสีชมพู วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:14:47:39 น.  

 
ไม่เคยไปชมเลยสักครั้งค่ะ แต่อยากไปมากๆ ไม่ได้การต้องไปให้ได้สักปี


โดย: mam (mamminnie ) วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:16:23:58 น.  

 
อยากไปลองชมดูสักครั้งเหมือนกันค่ะ ขอบคุณที่เอาเรื่องมาแบ่งปัน


โดย: designbox108 วันที่: 29 ตุลาคม 2550 เวลา:21:54:33 น.  

 
อยากไปชมบ้างจัง


โดย: toom IP: 203.113.70.76 วันที่: 4 พฤศจิกายน 2550 เวลา:20:24:11 น.  

 
เล่าเรื่องได้ชวนติดตามเห็นภาพ เลยคะ
ว่างๆ เขียนอีกนะคะ


โดย: ตถตา IP: 202.156.10.235 วันที่: 9 ธันวาคม 2551 เวลา:21:09:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

TaWanShine
Location :
สุราษฏร์ธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากชีวิตมนุษย์เงินเดือน
กลายเป็นคนปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ อยู่ที่สมุย
Friends' blogs
[Add TaWanShine's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.