สาวไทยในเมืองผู้ดี
เป็นอีกหนึ่งวันที่ว่างเว้นจากการทำงานหนักอันนี้ไม่มีใครบังคับเป็นการสมัครใจของตัวดิฉันเอง สามีและเพื่อนสนิทบอกกว่าดิฉันเป็น Workaholic สงสัยจะจริงกระมังเพราะว่าชอบทำงานเยอะๆเพื่อให้เกิดความชำนาญและประสบการณ์และดิฉันถือว่างานคือความท้าทายในชีวิตอย่างหนึ่ง มีข้อแม้เพียงอย่างเดียวว่าต้องเป็นงานที่ต้องชอบด้วย
สามปีของการใช้ชีวิตในอังกฤษ จากสถานะคนแปลกหน้าของชุมชนแห่งนี้ ก็กลายเป็นใครคนหนึ่งในชุมชน ที่เวลาไปซื้อของก็จะเจอคนรู้จักมาทักทาย ขับรถสวนกันมีการโบกไม้โบกมือให้ มีคนยิ้มให้เวลาเข้าคิวเติมน้ำมัน หรือในวันที่เหน็ดเหนื่อยเดินเข้าไปเทสโก้ก็ยังมีคนมาขอบคุณที่ดูแลคุณย่าคุณยายของพวกเขาด้วยดี จากวันที่เหน็ดเหนื่อยก็เปลี่ยนเป็นวันที่ยิ้มได้และภูมิใจว่าพลังงานที่ทุ่มเทลงไปในการทำงานไม่ได้สูญเปล่าไปที่ไหนเลย
ปีแรกของชีวิตในอังกฤษเป็นเรื่องของการปรับตัว มีเรื่องต้องทำมากมาย การแต่งงาน การเปลี่ยนวีซ่า การขอ NI การสมัครงาน งานอะไรที่เหมาะกับตนเองในสังคมใหม่ที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน โรคคิดถึงบ้าน การปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ผู้คนและวัฒนธรรมใหม่ๆ ถึงแม้ว่าโดยส่วนตัวจะเป็นคนทำงานที่แวดล้อมด้วยชาวเทศที่เมืองไทย แต่ฝรั่งที่เมืองไทยและฝรั่งที่อยู่ในประเทศของเขาเองก็ประพฤติตัวต่างกันอันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะคะ แต่สิ่งที่สำคัญและเป็นงานยากที่สุดของตัวเองคือการต่อรองกับตนเองเรื่องงานที่จะทำในอังกฤษ เพราะว่าพกพาอัตตามาเยอะมากจากเมืองไทยไม่มีตกหล่นระหว่างการเดินทางจากกรุงเทพฯมาลอนดอนเลย อันนี้ใช้เวลาเป็นหลายเดือนสำหรับการละลายภูเขาแห่งความเชื่อ
อยู่ว่างๆก็เบื่อ เปิดๆหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นดู เออนะไปทำงานฆ่าเวลาดีกว่า ไปสมัครงานโรงงานขนมอบแล้วก็ได้งานเลย ชั่วโมงละ 5.50 ปอนด์เองเพราะว่าไม่มีประสบการณ์ ผู้จัดการบอกว่าลองดูก็แล้วกัน C.V. ของเธอและงานนี้คนละเรื่องเลยเกรงว่าเธอจะทำไม่ได้ ดิฉันก็รับปากมั่นเหมาะ คิดว่าเออนะทำๆไปเถอะรองานที่ชอบแล้วค่อยเปลี่ยนทีหลังแล้วกัน วันแรกไปทำงาน ชอบกลิ่นขนม บรรยากาศการทำงานก็ก้มๆเงยอยู่กับโต๊ะนวดแป้ง ปั้นขนม นำขนมใส่ถาดไปใส่ที่ชั้น เข็นช้้นขนมไปเข้าห้องอบ ขอบอกว่าชั้นขนมนะหนักชะมัดเลย ทำได้หนึ่งชั่วโมงจะเป็นลม ถามเพื่อนร่วมงานว่าห้องน้ำอยู่ที่ไหน ตรงรี่ไปห้องน้ำเปิดน้ำเย็นๆล้างหน้าควักยาดมมาดม งานนี้สงสัยขอบายละกัน เดินไปบอกหัวหน้างานว่า ฉันคิดว่างานนี้ไม่เหมาะกับฉัน ฉันขอลาออกแล้วกัน ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ฟังว่าอนุญาตหรือไม่ ดิฉันก็เดินออกจากโรงงานขนมอบแห่งนั้น และเดินกลับบ้าน
ก่อนที่ดิฉันจะไปสมัครงานโรงงานขนมอบ ก็มีคนรู้จ้กซึ่งเป็นเพื่อนของน้องสาว เธอคนนี้มาอยู่อังกฤษก่อน เคยเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัยที่อุดรฯ เธอบอกกับดิฉันว่า งานอะไรก็ทำๆไปเถอะจะมานั่งเลือกงานเหมือนอยู่เมืองไทยไม่ได้นะหล่อน ตัวเธอเองก่อนจะได้งานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่วิทยาลัยเทคนิคทางเหนือของอังกฤษ เธอก็ทำงานในโรงงานแถวๆบ้านมาก่อน
มาใหม่ๆก็มีปัญหาเรื่องภาษาอังกฤษ ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่เทสโก้จึงเรียกดิฉันว่า เลิฟ (Love) สามีหรือแม่สามีเรียก ดาร์ลิง เลิฟ เราก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่เข้าใจว่า อ้าว คนอื่นที่เราไม่รู้จักเรียกเราอย่างนี้ได้ด้วยหรือไม่ได้สนิทกันซักหน่อยทำไมไม่ถามแค่ว่าสบายดีไหม ทำไมต้องมีเลิฟต่อท้ายด้วย สามีก็อธิบายว่าการมีเลิฟต่อท้ายทำให้ดูเป็นมิตรขึ้น ถึงตอนนี้ลูกค้าเรียกดิฉันว่าเลิฟ ดิฉันก็ไม่รู้สึกแปลกอะไรกลับคิดว่าน่ารักดี
คำว่า ดินเนอร์ (Dinner) ก็เหมือนกัน เราเข้าใจมาเป็นหลายปีคิดว่าคำนี้แปลได้แค่คำว่าอาหารเย็น จนมาอยู่ที่อังกฤษจึงได้รู้ว่ามันสามารถแปลได้ว่าอาหารมื้อหลักหรือมื้อสำคัญ จริงๆพจนานุกรมก็แปลไว้สองความหมาย แต่ทำไมเราจึงทราบแค่ความหมายเดียว เฮ้อ กลุ้มใจตัวเอง
อีกคำหนึ่งก็แล้วกันนะคะ Garage คำนี้คลาสสิคมาก เนื่องจากเข้าใจผิดที่มันแปลว่าโรงจอดรถ อู่ซ่อมรถ แต่ที่นี่มันหมายความถึงปั๊มน้ำมันได้ด้วย มีวันหนึ่งที่ต้องติดตามเพื่อนสาวจากสาธารณรัฐเชคไปดูงาน เธอก็โทรมานัดหมายว่าจะเจอกันที่ไหน เมื่อเธอบอกว่าเจอกันที่ Garage แล้วกัน ใจดิฉันยังคิดเลยว่า ประหลาดดีแท้ๆมีที่ตั้งหลายที่ให้นัดพบทำไหมจะต้องไปเจอกันทีอู่ซ่อมรถ ถามไถ่หลายนาที เพื่อนคนนี้คงคิดว่ามันมาจากไหนเฟ้ยแต่เจ้าหล่อนไม่ได้แค่คิดกลับถามออกมาดังๆว่าเธอมาจากประเทศอะไร เฮ้อ ! อีกครั้งเสียชื่อประเทศไทยเลย อันนี้เป็นเรื่องเปิ่นๆตอนมาอยู่ใหม่ ตอนนี้ไม่(ค่อยจะ)ปล่อยไก่แล้วคะ
ไก่ตัวที่สี่เป็นเรื่องของความหวังดีต่อลูกค้าผู้สูงอายุที่ดิฉันทำงานด้วย เป็นชายวัย 75 ปี ตอนนี้เสียชีวิตแล้ว ชีวิตน่าสงสารมากเคยเป็นทหาร ตอนแรกๆที่ดิฉันไปดูแลเขา เขาอยู่บ้านหลังใหญ่มีสวนสวยมาก แต่ลูกสาวสองคนซึ่งไม่เคยดูแลพ่อเลย ได้หลอกให้พ่อซึ่งความจำไม่ดีแล้วขายบ้าน และพาพ่อไปอยู่ในแฟลตเล็กๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสังคมสงเคราะห์และผู้ดูแลอย่างเราคอยเตือนให้ทานยา ทำอาหารให้ ที่นี่เรามีนโยบายไม่บังคับให้ลูกค้าทานยานะคะต้องเป็นความสมัครใจของลูกค้าเอง ถ้าเขาไม่ทานยา หรืออาหาร นั่นก็เป็นทางเลือกของเขาเอง เราเองก็คงทำได้แค่เตือนให้ทานยา ถ้าไม่ทำเราก็แค่เขียนรายงานว่าลูกค้าไม่สมัครใจที่จะทานเอง ลูกค้าคนนี้นอกจากจะมีดิฉันดูแลก็จะมีองค์การการกุศลที่ทำงานกับผู้สูงอายุชือ Age Concern (www.ageconcern.org.uk) ส่งอาสาสมัครมาทำงานบ้าน และพาไปซื้อของ อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง และมีวันหนี่งเขาไม่มีอะไรจะทานเป็นอาหารเช้าเลย ดิฉันเลยอาสาไปส่งเขาที่เทสโก้ จริงๆแล้วด้วยนโยบายของที่ทำงานดิฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยและการประกันภัยค่ะ รถยนต์ดิฉันที่ทำงานทำประกันภัยในกรณีที่ดิฉันขับรถไปพบลูกค้าเท่านั้นห้ามใครโดยสารด้วย หรือแม้แต่ไปรับยาให้ลูกค้าก็ไม่ได้
Create Date : 05 เมษายน 2552 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2552 15:11:02 น. |
|
8 comments
|
Counter : 569 Pageviews. |
|
|