Welcome to blogGang Tanasak
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 

บทความรศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

The more I read บทความรศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์, the more I clearly understand many facts that

0.) การเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ฉีกรัฐธรรมนูญ และก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นผลงานของแนวร่วมอำนาจนิยมขวา

จัด ที่มีกลุ่มจารีตนิยมเป็นผู้บงการตั้งแต่ต้นจนจบ มีกลไกราชการ-ทหารเป็นแขนขา และมีปัญญาชนในเมือง ประกอบด้วยนักวิชาการ ครู อาจารย์ ผู้

บริหารมหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโส นักเคลื่อนไหวองค์กรพัฒนาเอกชน สื่อมวลชนหนังสือพิมพ์ ทำตัวเป็น “คนงานหามเสลี่ยงให้เผด็จการนั่ง” ช่วย

สร้างวิกฤตปั่นป่วนให้เป็นเงื่อนไขรัฐประหาร

1.) ประชาชนชั้นล่างรู้สึกต่อต้านรัฐประหารอย่างชัดเจนและเข้าใจว่า ได้ถูกปล้นชิงสิทธิ เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยไป พวกเขาโกรธเคืองเมื่อคณะ

รัฐประหารใช้กำลังอาวุธเข้าควบคุมพื้นที่และการสัญจรของประชาชน และยิ่งโกรธเคืองเมื่อรัฐบาลจากรัฐประหารตั้งหน้าบั่นทอนและทำลาย

นโยบายประชานิยมอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขายิ่งตระหนักชัดว่า รัฐประหารครั้งนี้ก็เพื่อแย่งชิงเอาผลประโยชน์ที่พวกตนเพิ่งได้มาตลอด 5 ปีนี้คืนไป

2.) การผูกขาดอำนาจรัฐโดยกลุ่มจารีตนิยม-ราชการที่รวมศูนย์โภคทรัพย์ความร่ำรวยและความสะดวกสบายทุกชนิดเอาไว้ที่พวกตนกลุ่มเล็ก ๆ ใน

เมืองหลวง โดยมีชนชั้นกลางในเมืองได้รับเศษผลประโยชน์ ไม่แบ่งปันทรัพยากรความมั่งคั่งไปสู่ประชาชนชั้นล่าง ไม่พัฒนาบริการของรัฐให้ทั่วถึง

เป็นธรรม ทั้งระบบราชการที่ทุจริต ข้าราชการสมคบกับกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มทุนภูธร ทั้งหมดนี้กดทับอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชนชั้นล่างทั่ว

ประเทศตลอดมา

3.) ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทจึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากระบอบประชาธิปไตยรัฐธรรมนูญ 2540 และจากนโยบายประชานิยมของ

รัฐบาล ที่สำคัญที่สุดคือ โครงการสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาทรักษาทุกโรค) ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากการพึ่งพาคลินิกแพทย์และระบบคนไข้อนาถา

ของโรงพยาบาลรัฐ ได้เข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพเป็นครั้งแรก ได้รับการรักษาเอาใจใส่เยี่ยงเพื่อนมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี

4.) แต่โครงการประชานิยมกลับเป็นที่เกลียดชังโดยชนชั้นปกครองและชนชั้นกลางในเมือง โดยเฉพาะพวกนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎร

อาวุโส และองค์กรพัฒนาเอกชน พวกเขาด่าทอโครงการประชานิยมว่า “กระตุ้นลัทธิทุนนิยม-บริโภคนิยม” ในหมู่ประชาชน “มอมเมาซื้อเสียงจาก

ชาวบ้าน” “ก่อหนี้ให้ชาวบ้านตกเป็นทาสที่พึ่งพารัฐบาลตลอดไป” คนพวกนี้ดูถูกดูแคลนคนชั้นล่าง ด้วยการวาดภาพว่า ชาวบ้านกู้เงินไปใช้จ่าย

บริโภคฟุ่มเฟือย กินใช้ตะกรุมตะกรามจนหมดตัว ส่วนคนที่เอาเงินไปลงทุนประกอบอาชีพ ก็โง่เง่าไร้ความสามารถจนขาดทุนสิ้นเนื้อประดาตัว สุด

ท้ายมีแต่หนี้สินท่วมหัว ในสายตาของผู้ปกครองและปัญญาชนชั้นกลางในเมืองกลุ่มนี้ ประชาชนชั้นล่างถึงอย่างไรก็เป็นพวกโง่ อ่อนแอและไร้ความ

สามารถอยู่วันยังค่ำ สิ่งที่คนชั้นล่างควรทำไม่ใช่การดิ้นรนต่อสู้ด้วยตนเอง แต่เป็นชะเง้อ “รอคอยหยาดฝนชุ่มฉ่ำอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัย” เท่านั้น

พอ

5.) ชนชั้นปกครองอาจได้กระทำความผิดพลาดครั้งสำคัญที่สุดไปแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน โดยประเมินพลังอำนาจทางจิตวิญญาณของพวกตนสูง

เกินไป ประชาชนชั้นล่างและชั้นกลางจำนวนหนึ่งได้ “ตื่นจากฝันในเทพนิยาย” รู้แจ้งว่า แท้จริงแล้ว อะไรคือปัจจัยขัดขวางประชาธิปไตยและเป็น

รากเหง้าของรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดหลายสิบปีมานี้ ผู้ปกครองกำลังบีบให้ประชาชนชั้นล่างและชั้นกลางต้องตัดสินใจเลือกที่เจ็บปวดและ

อันตรายที่สุดคือ การเลือกระหว่างระบอบอำนาจนิยมที่เป็นอำนาจรัฐผูกขาดของกลุ่มจารีตนิยม-ราชการและมีเปลือกนอกหุ้มห่อเป็น “ประชาธิปไตย

แบบไทย” ในด้านหนึ่ง กับระบอบประชาธิปไตยมหาชนที่ปวงชนชาวไทยเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นด้วยตนเองในอีกด้าน

หนึ่ง เป็นการตัดสินใจเลือกระหว่างการยอมเป็น “ราษฎร” ที่อยู่ “ข้างใต้ผงฝุ่นใต้ฝ่าเท้า” ของผู้ปกครอง กับการลุกขึ้นยืนหยัด ประกาศตนเป็น “

พลเมือง” ที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อันเท่าเทียม มีสิทธิ เสรีภาพ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและใช้อำนาจนั้นด้วยตนเอง

6.) ปัญญาชน อาจารย์ นักวิชาการ ข้าราชการ ไปถึงราษฎรอาวุโสและองค์กรพัฒนาเอกชนที่อ้างตัวเสมอมาว่า “เข้าใจชาวบ้าน” และสมอ้างเป็น “ตัว

แทนชาวบ้าน” คนพวกนี้ใช้ชีวิตพรั่งพร้อมไปด้วยความสุขสบาย การศึกษาถึงมหาวิทยาลัยและต่างประเทศ อาศัยทุนการศึกษาและเงินภาษีของ

ประชาชน มีอาชีพตำแหน่งงานมั่นคง เจ็บป่วยมีเงินรักษา มีสวัสดิการในหน่วยงาน มีเงินซื้อบ้าน รถยนต์ สิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิง

ทุกชนิด มีแหล่งเงินกู้ในระบบมากมายให้เลือก ไม่มีปัญหายาเสพติดใกล้บ้าน ไม่ต้องกลัวอิทธิพลอำนาจเถื่อน เจ้าหน้าที่รัฐไม่มายุ่งเกี่ยวรังแก ไม่

ต้องพึ่งพานักการเมือง ผลก็คือ ชนชั้นกลางในเมืองนั่นแหละที่มักไม่สนใจการเลือกตั้งและประชาธิปไตย กระทั่งรังเกียจการเลือกตั้งและนักการ

เมืองว่า “ทุจริต”

7.) ประชาชนชั้นล่างในเมืองและชนบทกำลังครุกรุ่นไปด้วยความโกรธ พวกเขามีจำนวนนับสิบล้านคนทั่วประเทศ มีการจัดตั้งผ่านเครือข่าย

ธรรมชาติในชุมชนและองค์กรท้องถิ่นต่าง ๆ เป็นกองทัพหลวงแห่งประชาธิปไตยที่รอวันยาตราทัพ มีเป้าหมายชัดเจนคือ เรียกร้องประชาธิปไตย

ทวงอำนาจอธิปไตย เอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา ให้มีการเลือกตั้งโดยทันที วันนี้ ประชาชนชั้นล่างในเมืองและชนบทเปรียบเสมือนฟางแห้ง

กองสุมกระจายอยู่ทั่วประเทศ รอเพียงเกิดประกายไฟและลมพายุ โหมกระพือให้เป็นไฟป่าไหม้ลามทุ่งเท่านั้น!




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2550
0 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2550 1:46:52 น.
Counter : 375 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ธนศักดิ์
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

พ่อของแผ่นดิน ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

Friends' blogs
[Add ธนศักดิ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.