ปลานิลที่ได้มาวันนี้เป็นตัวเล็กค่ะ เลยใช้ 2 ตัว
จริงๆกะนึ่งแค่ตัวเดียว แต่มีเสียงตามสายไล่หลังมาว่า..นึ่ง 2 ตัวนั่นแล่ะ เดี๋ยวไม่อิ่ม - - ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน เสียงของท่านแม่สุดที่รักนั่นเอง
ส่วนประกอบของเมนูนี้ได้แก่
- ปลานิล
- ผักนึ่ง/ลวก (วันนี้ใช้ บล็อคโคลี่ กับ เห็ด)
- ผักสด (ผักชี กับ คื่นฉ่าย ซื้อมา ส่วนใบโหระพากับสาระแหน่ แล้วก็คื่นฉ่ายบางส่วนเด็ดเอาในกระถางหน้าบ้าน)
- ตะไคร้/ขิง/ข่า (เอาไว้ดับกลิ่นคาวปลาเวลานึ่ง)
เมื่อเตรียมวัตถุดิบทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ทำการล้างปลาเลยค่ะ
ของเราเวลาล้างปลาใช้เกลือค่ะ การล้างปลาไม่ให้เหม็นคาว และไม่ให้มีเมือก มีอยู่มากมายหลายสูตรเลยนะคะ เช่น เกลือ+น้ำมะนาว บางคนก็ใช้สารส้ม หรือน้ำส้มสายชู อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลยค่ะ ส่วนของเราล้างแค่เกลือก็พอค่ะ เพราะเดี๋ยวเวลานำไปนึ่งเราจะใส่พวกตะไคร้ ข่า ขิง ช่วยดับกลิ่นอีกรอบอยู่แล้่ว
หลังจากที่ล้างคาวปลาเสร็จก็จัดการบั้งเนื้อปลาให้เป็นริ้วๆตามใจชอบเลยค่ะ แต่พยายามบั้งให้ลึกจนถึงก้างหน่อยนะคะ แต่อย่าให้ถึงกับก้างขาด การบั้งปลาถี่ๆจะช่วยให้ปลาสุกเร็วขึ้น และเครื่องปรุงจะซึมเข้าไปเนื้อปลาได้ดี (อันนี้ในกรณีที่ทำปลานึ่งซีอิ้วหรือปลานึ่งที่ต้องราดพวกเครื่องปรุงลงบนตัวปลา) แต่ถ้านำไปนึ่งไม่ควรบั้งเนื้อปลาให้ถี่มาก เพราะเนื้อปลาจะเละ ดูไม่น่ารับประทาน
เวลานึ่งปลานอกจากจะยัดพวกตะไคร้ ใบมะกรูด หรือข่าใส่ตรงพุงปลาแล้ว มีอย่างหนึ่งที่เราชอบมาก ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คือการหั่นขิงเป็นแว่นๆแล้วยัดใส่ตามรอยบั้งที่เนื้อปลา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรอืเปล่านะ มีความรู้สึกว่า กลิ่นของขิงมันกระจายซาบซ่านไปทั่วร่างของปลายังไงก็ไม่รู้ 5555
และเนื่องจากว่าวันนี้นึ่งพร้อมกัน 2 ตัว ก็เลยจัดคอนโดสำหรับนึ่งปลาไว้ 2 ชั้น
เราตั้งเวลาที่เครื่องไว้ 30 นาที ปกติเราจะใช้่เวลาแค่25นาที สำหรับ 1 ตัว แต่วันนี้ขอ 2 ก็เลยต้องเพิ่มเวลาอีกนิดนึง อิอิ
พอจัดแจงคอนโดให้ปลาเสร็จสรรพแล้วก็เริ่มนึ่งได้เลยค่า
ระหว่างรอก็ลวกผักกันค่ะ จริงๆแล้วการนึ่งผักจะช่วยคงคุณค่าของวิตามินได้มากกว่าการลวกผักในน้ำร้อน แต่ทว่า เราขี้เกียจเสียเวลารอนึ่งปลาต่อจากปลา ก็เลยขอลวกผักแทนไปก่อน ใช้เวลาลวกแป๊บเดียวเช่นเคย อย่าลวกนาน นอกจากผักจะไม่อร่อยแล้ว วิตามินที่อยู่ในผักก็จะละลายไปกับน้ำและความร้อนจนหมดด้วย
นอกจากผักลวกแล้ว ก็ยังมีผักสดทานแกล้มกับปลานึ่งด้วย
อย่างที่เคยเล่าไปในบล็อคที่แล้วว่าจขบ.นี้ไม่ชอบทานผัก พึ่งมาฝึกทานผักอย่างจริงก็ตอนที่เริ่มลดน้ำหนัก ก็เลยพยายามที่จะทานผักให้หลากหลาย จะได้ไม่เบื่อ ก็เลยเวลามีเมนูปลานึ่งทีไรก็ต้องมีทั้งผักนึ่งและผักสดทานคู่กันไปด้วย ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนอีกต่างหาก อิอิ
หลังจากนั้นก็นั่งรอนอนรอว่าเมื่อไหร่คอนโดปลาน้อยของเราจะร้องเรียกให้เราไปเปิดคอนโดซักทีน้า ติ๊กต่อกๆๆๆ ติ๊งงงงงงง!!!! (เสียงคอนโดซึ้งนึ่งไฟฟ้าของเรามันร้องแบบนี้จริงๆนะ เวลามันร้องติ๊งทีนึงนี่ ตกใจเลย เสียงดังมากกกกก -*-)
ได้เวลาเอาปลาน้อยลงจากคอนโดซักที
ตอนที่อุ้มปลาน้อยลงจาน แล้วไปหยิบกล้องมาถ่ายรูป ก็มีเสียงสวรรค์ลอยมาอีกแล้ว(เหมือนเมื่อตอนที่แล้วเปี๊ยบ) ว่า..."สงสัยจะไม่ได้กินแล้วซะล่ะม้างงงงง มัวแต่ถ่ายรูปอยู่เนี่ย" - - แม่ไม่เข้าใจตุ้ม งือ~*
ก็เลยจัดไปรับหน้าทัพก่อน 1 ตัว อีกตัวเก็บไว้เป็นทัพหลัง ถ้าทัพแรกแตกเมื่อไหร่ค่อยส่งทัพหลังตามไปช่วย
ส่้วนของน้ำจิ้มปลานึ่ง โดยปกติเราจะทำสลับๆกันไป โดยมีช้อยท์ให้เลือกดังนี้
1. น้ำจิ้มแจ่ว
2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
3. น้ำพริกปลาร้า
แต่วันนี้นึกอยากทานน้ำพริกปลาร้า เพราะเหตุว่าเมนูถัดไปจะทำแกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง ไหนๆก็จะทำอาหารออกแนวอีสานๆแล้วก็เอาให้มันเหมือนกันเลยดีกว่า อิอิ
ต้องรีวิวน้ำพริกด้วยป่ะเนี่ย คงไม่ต้องหรอกเน๊อะ เพราะน้ำพริกปลาของเราก็เหมือนน้ำพริกทั่วๆไปที่คนอื่นเค้าทำกัน จะต่างกันก็เพียงแค่น้ำปลาร้าของเรามันอิมพอตมาจากยโสธรแค่นั้นแล่ะ 55555 (ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าเป็นยโสนะ แหะๆ) พอดีญาติแบ่งน้ำปลาร้าใส่กระปุกมาให้ น้ำปลาร้านี้ได้มาจากญาติของญาติอีกที แอบส่งต่อมาหลายทอด เพราะเจ้าของเค้าไม่ให้สูตรใคร เจ้าของสูตรเค้าเป็นแชมป์ประกวดส้มตำระดับจังหวัดหลายสมัยซ้อน เค้าจะมีสูตรทำน้ำปลาร้าที่อร่อยมากๆ แล้าเค้าจะไม่บอกใคร ขนาดคนในครอบครัวเค้ายังไม่เปิดเผยเลย แต่เค้าขายสูตรอยู่นะ สูตรละ 1 แสนบ้าน ไม่ได้พิมพ์ผิดค่ะ เค้าขายสูตรน้ำปลาร้านี้ 1 แสนบาทจริงๆ คิดว่าเค้าบ้าแล้ว ยังมีคนบ้ากว่าค่ะ มีคนมาขอซื้อสูตรน้ำปลาร้านี้ 1 แสนบาทจริงๆ
ถ้าถามเรานะเรื่องรสชาติ มันอร่อยจริงๆ รสมันกลมกล่อมบอกไม่ถูก ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าของปลาร้า ออกหอมด้วยซ้ำ หวานนิดๆ นิดจริงๆ
เวลาจะไปทานส้มตำร้านแถวบ้านเราจะหิ้วกระปุกปลาร้านี้ไปด้วยแล้วให้เค้าใส่ให้ คนขายเค้าก็งงๆว่าหิ้วมาทำไม 5555 น้ำปลาร้าของเค้าก็มี เราก็เถียงว่าก็รสชาตมันไม่เหมือนกันนิคะ เค้าก็บอกเหมือนกันสิ เราก็เถียงว่าไม่เหมือน อันนี้ต้มมา อร่อย แม่ค้าก็บอกของเค้าก็ต้มสะอาดเหมือนกัน ว่าแล้วแม่ค้าก็เลยขอชิมน้ำปลานี้ ทีนี้ล่ะพยายามขอสูตรจากเรายิกๆ แต่อย่างที่บอกว่าเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้รับอานิสงค์ส่งต่อมาอีกที ซึ่งตอนนี้ก็หมดแล้วด้วย แอบเสียดายอยู่เหมือนกันค่ะ
หยุดเรื่องน้ำปลาร้าไว้ก่อนดีกว่า 5555+ เดี๋ยวคนที่ไม่ทานปลาร้าจะพลอยเหม็นกลิ่นปลาร้าจากบล็อคเราไปด้วย อิอิ
ว่าแล้วก็จัดสำรับออกมารับหน้าแขกเหรื่อเลยดีกว่า ฮี่ฮี่
ปลานึ่งแบบชัดๆอีกที
ต่อด้วยเมนูแกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง
ไม่มีรูปประกอบขั้นตอนการทำนะคะ
ขออธิบายเป็นตัวหนังสือเอา เพราะรีบทำมาก ก็เลยไม่ทันได้ถ่ายรูปเก็บไว้
- ผักหวานป่า (เราซื้อมาจากโลตัสค่ะ เดี๋ยวนี้โลตัสเค้าพัฒนาขึ้นมาก เอาผักแปลกๆบ้านๆมาขายด้วย ขนาดใบตอง กับใบเตยยังมีขายเลยค่ะ อย่าว่าแต่ผักเลย ขนาดดินปลูกต้นไม้ยังมีขายเลยค่ะ ยอดมากจริงๆ)
- ใบแมงลัก (ผักอิตู่)
- พริกสด , หอมแดง , ข่า , ตะไคร้ , กระเทียม
- ไข่มดแดง (ถ้าชอบตัวแม่เป้งจะใส่ไปด้วยก็ได้)
- เห็ด (แม๋..ถ้ามีเห็เผาะก็จะดีมาก อร่อยสุดๆ เวลากัดเห็ดหรือเคี้ยวเห็ดลงไปนี่ กรุบๆๆๆ ชอบมาก แต่บางที่ก็เรียกเห็ดถอบ เคยคุยกับเพื่อนคนเหนืออยู่เชียงใหม่ว่าเราชอบกินเห็ดเผาะนะ เค้างง เราก็เลยอธิบายลักษณะไป เค้าก็..อ๋อ..เห็ดถอบ - -" สรุปว่าเรียกไม่เหมือนกัน)
-เครื่องปรุงรส น้ำปลา , น้ำปลาร้า , เกลือ
วิธีการทำก็แสนจะง่ายมากเลยค่ะ
ขั้นแรกตำพริกแกง โดยใส่ข่า , กระเทียม , พริก , เกลือ , หอมแดง ลงไปโครกในครกเบาๆ ถ้าอยากได้สีของน้ำแกงแบบจัดจ้านก็เปลี่ยนจากพริกสดเป็นพริกแห้งได้นะคะ แต่ของเราอยากให้น้ำแกงใสๆเลยใส่เป็นพริกสด 1 เม็ดพอเป็นพิธี อิอิ (ก็หนูกลัวเผ็ดอ่ะ T-T)
หลังจากได้พริกแกงแล้ว ก็ตั้งหม้อใส่น้ำ ใส่ตะไคร้หั่นท่อนลงไปในน้ำ (พอดีตะไคร้มันตำยากก็เลยเอาใส่หม้อทั้งอย่างนั้นเลย แหะๆ)
พอน้ำเริ่มเดือดก็ใส่พริกแกงลงไป ปรุงรสด้วยน้ำน้ำปลาร้า และปลาเล็กน้อยค่ะ เพราะน้ำปลาร้าเค็มอยู่แล้ว อีกอย่างในเครื่องแงก็มีเกลือผสมอยู่ด้วยนิดนึงแล้ว แกงผักหวานของเราใส่เครื่องปรุงรสแค่นี้ค่ะ จะไม่ใส่พวกน้ำมะขามเปียกหรือน้ำตาลอะไรเพิ่มแล้ว
พอน้ำเดือดได้ที่ก้จัดการเอาเห็ดลงไปเลยค่ะ แต่เห็ดสุกเร็วอยู่แล้ว จากนั้นก็ตามด้วยไข่มดแดง (ลืมบอกไปว่าไข่มดแดงควรจะล้างน้ำให้สะอาดซะก่อนนะคะ แล้วค่อยนำมาลงหม้อ)
หลังจากที่ใส่ไข่มดแดงแล้วก็ปิดไฟเลยค่ะ แล้วค่อยใส่ผักหวานป่า แล้วรีบยกหม้อลงทันที มิฉะนั้น ผักหวานจะเหี่ยวจนเกินไป ถ้าจะทานผักหวานให้อร่อยต้องให้มันกรุบๆนิดๆ ที่สำคัญไข่มดแดงก็จะไม่แข็งจนเกินไปด้วยค่ะ
บอกข้อมูลโภชนาการของไข่มดแดงกันซักนิด เผื่อมีคนอยากทราบว่าทานไข่มดแดงมากๆแล้วจะเป็นอันตรายมั้ย
ตามตัวเลขของกรมอนามัย ไข่มดแดงนั้นมีโปรตีนสูง 8.2 กรัม/100 กรัมของไข่มด ซึ่งมีมากพอสมควร สำหรับไขมันในไข่มดแดงจะน้อยกว่าในไข่ไก่มากเพราะมีเพียง 2.6 กรัมเท่านั้น เมื่อเทียบกับในไข่ไก่ซึ่งมีมากถึง 11.7 กรัมสรุปคือ แคลอรีจากไข่มดแดงก็เลยมีน้อยกว่าไข่ไก่ เพราะฉะนั้นไข่มดแดงนี่แล่ะคือแหล่งโปรตีนที่สุดยอดที่สุด
และในปัจจุบันนี้ไข่มดแดงไม่ต้องไปสอยเอาตามป่าตามเขาแล้วนะคะ เค้าสามารถเลี้ยงได้ มีไข่มดแดงกระป๋อง(OTOP)ขายแล้วด้วย ส่งไปขายถึงเมืองนอกอีกต่างหาก แต่ถ้าเก็บตามฤดูกาลแบบชาวบ้านล่ะก็ ช่วงฤดูร้อนอย่างเดือนมีนาคม เมษายนและพฤษภาคมนี่แล่ะค่ะที่ไข่มดแดงจะอร่อยที่สุด เพราะจะได้ไข่ที่ใบใหญ่มากๆ
สรุปก็คือ ถ้าคนที่ทาน ไม่มีอาการแพ้ไข่มดแดงอยู่ก่อนแล้ว ก็ทานได้สบายใจหายห่วงค่ะ