ช่วงนี้กำลังเขียน Thesis หลังจากที่ตรากตรำทำแลบมาเป็นเวลาสามปีในระดับดุษฎีบัณฑิต (ฟังดูดี๊ ดูดี) จริงๆเริ่มเขียนอย่างจริงจังมาตั้งแต่เดือนตุลาคม ปีที่แล้ว จนป่านนี้ยังไม่เสร็จ เอิ๊กๆๆ ด้วยความที่เป็นคนทักษะการเขียนอ่อนด้อย ช้า ยิ่งกว่าเต่าคลาน แถมยังเจอปัญหา Supervisor ไม่ยอมตรวจงาน ดองแล้วดองอีก
จริงๆแล้ว นักเรียนปริญญาเอกที่อยู่ในสถานะ writing up จะไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแลบใดๆ (may vary, depends on the university's policy) แต่ตอนนี้รู้สึกคิดถึงการทำแลบมาก งานเขียนน่าเบื่อที่สุด ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมบางคนสามารถดึงเชง เขียนกันเป็นปีได้ เจอกับตัวเองถึงรู้ อิอิ แต่เราสู้ตายอยู่แล้ว เงินที่ใช้อยู่นี่ก็ภาษีประชาชน ใช้เงินเขามานานปี ตอนนี้ถึงเวลากลับไปรับใช้ชาติแล้วจ้าาา แต่เดี๋ยวก่อน ได้ข่าวว่าหล่อนไม่ค่อยมีสมาธิเลย มัวแต่เอาเวลามาหมกมุ่น อ่านพันทิพ (หยวนๆเนอะ มันเครียดนี่นา ผ่อนคลายๆ)
ที่มาเขียนในวันนี้ก็ไม่ใช่อะไร อยากบันทึกอะไรเป็นตัวอักษร เอาไว้เป็นหลักฐาน ว่าวันนี้เราคิดแบบนี้ รู้สึกแบบนี้ เผื่อแก่ตัวแล้วเลอะเลือน ตอนนี้เริ่มเพี้ยนนิดๆแล้ว อิอิ
พักหลังๆอ่านเรื่องคนอื่นเยอะๆ เริ่มรู้สึกว่าทำไมชีวิตชั้นน่าเบื่อจัง แต่เราชอบชีวิตแบบนี้นะ ว่าแล้วก็เขียนเรื่องตัวเองให้เว่อร์ๆดีกว่า ชีวิตจะได้มีสีสัน ว่าแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เกิดในครอบครัวชาวนา พื้นเพเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด บ้านห่างจากตัวอำเภอ 20km สุดๆอ่ะ ตอนเด็กถ้าได้ไปเที่ยวตลาดนี่ถือว่าฟินสุดๆ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างมากปีละครั้ง เอิ๊กๆๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองขาดอะไร เพราะเพื่นอๆแถวบ้านก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
เข้าโรงเรียนตอนเจ็ดขวบ ป.หนึ่ง เพราะโรงเรียนไม่มีชั้นอนุบาล ทั้งชั้นเรียนมี 14 คน ทั้งโรงเรียนมี 72 คน เริ่ดไหมล่ะ (ฟังเพลงโรงเรียนของหนู ประกอบการอ่าน จะได้อารมณ์มาก) ไม่อยากจะโม้ (นี่แน่ะๆๆ ได้ข่าวว่ากำลังโม้อยู่ ฮ่าๆๆ) สอบได้ที่หนึ่งตลอด รู้สึกว่าทำไมครูสอนง่ายจัง ท็อปฟอร์มสุดๆ ช่วงประถมฯ อิิอิ ไปสอบแข่งขัน ได้ที่หนึ่งของอำเภอ เก็บมาโม้ต่อได้ชั่วลูกชั่วหลาน
เรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนประจำอำเภอ ทีนี้เริ่มรู้สึกว่าทำไมพวกเด็กตลาดเก่งกันจัง ไม่เคยได้ที่หนึ่งอีกเลย ท็อปบ้างประปราย เทอมไหนที่ได้ 4.00 มันก็ต้องมีคนได้พร้อมเรา ไรว้า อยากได้ที่หนึ่งบ้าง ไรบ้าง อิอิ
ม.ปลาย ย้ายโรงเรียนดีกว่า ไปเรียนโรงเรียนประจำที่จังหวัดใกล้เคียง อันนี้ที่บ้านสนับสนุน เพราะว่าเค้าทำนา บอกว่าลำบาก อยากให้ลูกเรียนดีๆ จะได้ไปทำอย่างอื่น ก็เรียนไปเรื่อยๆ ไม่ได้ที่หนึ่ง แต่ยังเกาะกลุ่มตัวท็อป เรียนไปเรื่อยๆ จนจบม.ปลาย
เรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ขอนแก่น เนื่องจากสอบได้ทุนทางวิทยาศาสตร์ (พสวท.) เรียนไปเรื่อยๆอีกแล้วครับท่าน ไม่เก่งมากเหมือนตอนประถมแล้ว อิอิ บอกแล้วว่าเรื่องสอบได้ที่หนึ่งในหมู่บ้าน หกปีซ้อนนี่ โม้ได้ตลอด แต่ว่าในใบปริญญาก็มีคำว่าเกียรตินิยมพ่วงท้าย อันนี้แม่ไม่แคร์ แม่บอกว่าเลิกเรียน ไปทำงานได้แล้ว แต่เดี๋ยวก่อนค่ะคุณแม่ พสวท.ไม่ให้ทำงาน จนกว่าจะจบป.โทคร่าาา
งานนี้เลยเข้าบางกอก ไปเรียนต่อ ตอนกำลังจะขึ้นป.โทปีสอง เพื่อนชวนไปสอบทุนเรียนต่อต่างประเทศ ก็ไปตามเพื่อน สอบได้ซะงั้น แม่เครียด เพราะหวังว่าลูกสาวจะทำการทำงานเสียที ดันจะเรียนต่อซะงั้น จบโทสองปี รับปริญญาเดือนกรกฎาคม มาเรียนต่อป.เอกเดือนตุลา 2008
ผ่านมาเกือบสี่ปี ใกล้จบแล้ว เย้ๆๆ ชีวิตนี้ช่างเรียบง่าย (เรื่องตัวเองเท่านั้นนะ เรื่องที่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นเรื่องครอบครัว ดราม่าสุดๆ)
ย้อนกลับไปอ่านที่ตัวเองเขียน นี่มันมากกว่า Thesis ที่เขียนมาตลอดทั้งสัปดาห์อีกนะเนี่ย ฮ่าๆๆ เดี๋ยววันหลังมาเขียนอีกดีกว่า สนุกกว่าเขียนงานวิชาการมากมาย
สวัสดีจ้ะ ตามมาทักทายกันนะคะ
ว้าวว เรียนเก่งจังเลย แล้วนักเรียนโข่งอย่างอิฉัน ได้หน้าลืมหลัง ต้องกินอาหารเสริมอะไรคะเนี่ย ฮี่ๆๆๆ
พูดเรื่องทริปเมืองบรู้ค ตอนที่ไปปี 2008 ก็ปลายเดือนมี.ค. เพิ่งเข้าสปริง แถมฟ้าไม่ค่อยโปร่งเท่าไหร่ แต่ก็ถ่ายมาเต็มที่เท่านั้นค่ะ ถ้าไปเมืองบรู้ค ตอนซัมเมอร์น่าจะมีสีสัน แดดดีกว่านั้นเนอะ
ว่างๆ ก็เข้าไปคุยกันนะคะ