การเลือกเก้าอี้และการรักษาโรคปวดหลัง
การเลือกเก้าอี้ที่ดีจะช่วยให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันโรคปวดหลังจะพิจารณาแบ่งเป็นส่วนๆ
1. ควรเลือกเก้าอี้ที่มีฐานเป็นลูกล้อ 5 จุด ลูกล้ออาจจะทำจากพลาสติกหรือวัสดุอื่นก็ได้ 2. เบาะนั่งควรจะนุ่มพอควรเพราะเมื่อเรานั่งน้ำหนักจะกดลงบนกระดูกหลัง เบาะนั่งควรจะเอียงลงไปทางหลังเพื่อให้เมื่อนั่งหลังได้พิงกับพนักพิง ควรมีที่ปรับเบาะให้เหมาะกับงาน ที่นั่งควรสามารถปรับสูงต่ำได้ตามความต้องการ 3. พนักพิงหลังเป็นพื้นที่มีความสำคัญ ควรไว้พิงบริเวณเอว พนักพิงไม่ควรมีขนาดใหญ่เกินไป หรืออาจจะมีความโค้งเหมือนหลังของคนปกติเพื่อให้หลังได้พักผ่อน พนักพิงควรสามารถปรับมุม ความสูง และสามารถเลื่อนเข้าออกเพื่อปรับให้เข้ากับหลัง 4. ที่วางแขน ควรที่จะปรับระดับสูงต่ำได้ ควรจะมีขนาดความกว้างอย่างน้อย 2 นิ้ว 5. ความสูงของเบาะนั่ง เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเป็นการปรับความสูงเพื่อให้เท้าได้พักบนพื้น และลำตัวตั้งได้ฉากกับส่วนขา 6. การปรับมุมของเก้าอี้ เป็นการปรับเบาะให้ทำมุมกับพื้นได้หลายๆรูปแบบ
การรักษาโรคปวดหลัง
ผู้ป่วยโรคปวดหลังมักจะหายปวดภาวะใน 2 สัปดาห์แต่บางรายอาจจะต้องใช้เวลา 3 เดือนหากอาการปวดไม่หายก็จัดเป็นโรคปวดหลังเรื้อรังการรักษาโรคปวดหลังมีจุดประสงค์คือ
* ลดอาการปวดและอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ * จัดท่าให้ถูกต้องรวมทั้งการป้องกันโรคปวดหลัง * รักษาภาวะอื่นที่พบร่วมกับอาการปวดหลัง
การรักษา
การรักษาโรคปวดหลังแบ่งได้เป็นสองชนิดคือ
1. การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นการรักษาที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังหรือปวดต้นคอที่ไม่สามารถระบุตำแหน่งชัดเจน โดยมากหากมีอาการปวดหลังเฉียบพลันมักจะให้นอนพัก 2 วันเพื่อลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ และให้กล้ามเนื้อหลังได้พัก การรักษาโดยไม่ต้องใช้ยาประกอบไปด้วย 2. การรักษาโดยวิธีผ่าตัด โดยจะพิจารณาผ่าตัดในราย
* กลั้นปัสสาวะ กลั้นอุจาระไม่อยู่ * มีอาการอ่อนแรงหรือชาเท้า
การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด
การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัดสามารถแบ่งออกเป็น
โรคปวดหลังที่เกิดจากโรคทางอายุรกรรมเช่นข้ออักเสบ กระดูกพรุน หรือการตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องรักษาโดยการผ่าตัดและส่วนใหญ่จะหายได้เองการรักษาเมื่อเกิดอาการปวดหลังใหม่ๆ
1. การพักโดยมากแนะนำไม่ให้เกิน 2-3 วันหากอาการปวดไม่รบกวนการทำงานก็ไม่จำเป็นต้องพัก การพักนานๆจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจะเป็นผลเสียต่ออาการปวดหลัง จะต้องนอนพักให้อย่างเพียงพอ ท่าที่นอนที่ดีคือนอนตะแคงและมีหมอนข้างอยู่ระหว่างเข่า หรือนอนหงายเอาหมอนข้างรองเข่า 2. การทำกายภาพบำบัด โดยเฉพาะการลดอาการปวดหลังที่เกิดอย่างเฉียบพลันแบ่งออกเป็น
* การประคบร้อนหรือประคบเย็น (Heat/ice packs) การประคบร้อนหรือประคบเย็นจะช่วยลดอาการปวดบางคนใช้ความร้อนแล้วได้ผล บางคนใช้ความเย็นแล้วได้ผล บางคนอาจจะใช้สลับกัน โดยทั่วไปแนะนำให้ประคบครั้งละ 10-20 นาทีทุก 2 ชั่วโมงมักใช้ได้ผลในกรณีปวดแบบปัจจุบันส่วนใหญ่หลังอุบัติเหตุใหม่ๆให้ประคบเย็นครั้งละไม่เกิน 20 นาที(เอาน้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกแล้วใช้ผ้าคลุม)ก่อนหลังจากนั้นจึงประคบร้อนครั้งละไม่เกิน 20 นาที * TENS unit(transcutaneous electrical nerve stimulator (TENS))คือการฝังเข็มแล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้า * Iontophoresis คือการทายา steroid ที่ผิวหนังแล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้าเพื่อให้ยาถูกดูดซึม สามารถลดอาการปวดแบบเฉียบพลันได้ผลดี * ultrasound เป็นการใช้ความร้อนผ่านทางคลื่นเสียงใช้ได้ผลดีสำหรับปวดแบบเฉียบพลัน
2. การบริหารและการออกกำลังกาย การออกกำลังและการบริหารจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง และลดอาการปวดหลังการออกกำลังกายเป็นประจำจะป้องกันโรคปวดหลัง ลดความรุนแรงและระยะเวลาที่ปวดเป็นการทำด้วยตัวเองประกอบไปด้วย
* Stretching การบริหารชนิดนี้จะช่วยทำให้เนื้อเยื่อ เอ็น กล้ามเนื้อ รอบกระดูกสันหลังมีการเคลื่อนไหวและยืดหยุ่น หากมีการเกร็งของกล้ามเนื้อหรือเอ็นจะทำให้มีอาการปวดหลัง ผู้ที่มีโรคปวดหลังควรจะมีการยืดกล้ามเนื้อ hamstring ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลัง ควรจะทำวันละ 2 ครั้งครั้งละ 30-45 วินาทีโดยทำทุกเช้าหลังตื่นนอน * Strengthening/pain relief exercises * Low-impact aerobic conditioning เป็นการออกกำลังที่สำคัญในการลดอาการปวดหลังและป้องกันอาการปวดหลัง ผู้ที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะไม่ค่อยมีอาการปวดหลัง สามารถทำงานได้ใกล้เคียงคนปกติ หากมีอาการปวดหลังก็จะปวดไม่มากและหายเร็วควรจะออกวันละ 30-40 นาทีให้ได้ aerobic หัวใจเต้นได้ตามเกณฑ์ มีการออกกำลังได้หลายวิธี เช่นการเดิน การขี่จักรยาน การออกกำลังกายในน้ำ การออกกำลังในน้ำจะลดอาการปวดหลังควรจะทำในช่วงเริ่มต้น เมื่ออาการปวดดีขึ้นจึงไปออกบนดินทำเป็นประจำวันเว้นวัน
3. Chiropractic/osteopathic 4. การใช้ยายาลดการอักเสบ NSAID ยาที่นิยมใช้ได้แก่
* ยากลุ่ม NSAID ตัวอย่างของยาเช่น aspirin ibuprofen naproxyn ยากลุ่มนี้ควรจะรับประทานพร้อมอาหารเพื่อลดอาการปวดท้อง หรือเลือดออกทางเดินอาหาร และอาจจะมีความเสี่ยงต่อเลือดออกหลังหยุดยานี้แล้วหนึ่งปี ยากลุ่มนี้ไม่ควรใช้ติดต่อกันระยะยาวโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ aspirin และ ibuprofen จะมีผลทางกระเพาะน้อยกว่า naproxyn และ ketoprofen สำหรับผู้ที่มีโรคไต ตับ ความดันโลหิตสูง รับประทานยาขับปัสสาวะ และโรคเบาหวานควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา ควรจะหยุดยานี้ก่อนผ่าตัดหนึ่งสัปดาห์ * COX2-inhibitor เป้นยาแก้ปวดกลุ่มใหม่ที่ไม่มีผลต่อกระเพาะเช่น cerecoxib * paracetamol ใช้เป็นยาแก้ปวดแต่ได้ผลน้อยกว่ากลุ่ม NSAID * แพทย์บางท่านอาจจะจ่ายยาคลายกล้ามเนื้อให้ผู้ป่วย แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านไม่แนะนำ
Create Date : 20 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 20 ตุลาคม 2551 21:23:28 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1017 Pageviews. |
|
|
|
โดย: vallass IP: 114.128.111.116 วันที่: 17 มิถุนายน 2553 เวลา:8:32:44 น. |
|
|
|
โดย: คนแอบอ่าน IP: 122.154.22.34 วันที่: 7 สิงหาคม 2554 เวลา:17:07:34 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|