|
ผมได้ยินเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของสองสามีภรรยาซึ่งเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ใครๆก็ชอบ แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไร ลูกชายคนโตอายุ 5 ขวบกลับชอบหมกตัว เงียบขรึมและดื้อรั้น ในขณะที่น้องชายอายุ 4 ขวบนั้นร่าเริงมีชีวิตชีวาและเป็นที่ชื่นชอบในโรงเรียนอนุบาล สองสามีภรรยากลุ้มใจมากและไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายคนโตจึงเป็นเช่นนั้น
ในที่สุดทั้งสองไม่ทราบจะทำอย่างไร จึงต้องไปปรึกาแพทย์ ทางฝ่ายคุณหมอก็หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากซักถามเรื่องราวต่างๆก็ได้ความว่า ตอนที่ลูกคนเล็กเกิด ผู้เป็นแม่สุขภาพไม่ค่อยดี จึงนำลูกชายคนโต ซึ่งตอนนั้นอายุ 1 ขวบไปฝากคนอื่นเลี้ยงเป็นระยะเวลา 6 เดือน
คุณหมอคิดว่าสาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นเช่นนั้นจะต้องเกิดขึ้นในระยะ 6 เดือนนี้แน่ จงเรียกตัวผู้หญิงที่เคยเลี้ยงเด็กตอนนั้นมาซักถาม ตอนแรกหญิงที่เลี้ยงอึกอักไม่ค่อยยอมเล่า แต่ในที่สุดเธอก็เปิดเผยความจริงให้ฟัง
ปรากฏว่าเวลาเธอพาเด็กไปเดินเล่น เธอมักจะแอบไปพบคู่รักของเธอในโรงดินเก่าๆท้ายสวนเกือบทุกวัน เด็กน้อยอายุ 1 ขวบ จึงถูกทิ้งให้อยู่ในมุมมืดของโรงดินประมาณวันละ 2 ชั่วโมง นั่งดูทั้งคู่พลอดรักกัน
แล้วจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นมีผลกระทบต่ออุปนิสัยใจคอของเด็กได้อย่างไร แทนที่เด็กจะได้รับแสงแดดอันอบอุ่น กลับต้องมาจมอยู่ในโรงดินที่มืดอับ ซึ่งมีผลทำให้จิตใจของเด็กพลอยมืดหม่นไปด้วย
แน่ละ เด็กอายุเพียง 1 ขวบคงยังไม่เข้าใจความหมายและพฤติกรรมของพี่เลี้ยง แต่อาการหวาดระแวงลุกลี้ลุกลนของพี่เลี้ยง รวมทั้งเสียงสวบสาบซึ่งดังอยู่ในความมืด ย่อมทำให้เด็กน้อยซึ่งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเกิดความหวาดหวั่นสั่นกลัว และพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมแกถึงกลายเป็นเด็กขี้ขลาดและเก็บตัวขรึมในภายหลัง
สองสามีภรรยาต้องหลั่งน้ำตา เสียใจที่คิดผิดนำลูกไปฝากให้คนอื่นเลี้ยง ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเพราะแม่สุขภาพไม่ค่อยดี เนื่องจากคลอดลูกห่างกันเพียงปีเดียว และไม่สามารถดูแลลูก 2 คนได้ไหว แต่น่าจะพูดได้ว่าพ่อแม่คู่นี้เอาใจใส่เรื่องความละเอียดอ่อนของจิตใจเด็กน้อยไปมิใช่หรือ สถานการณ์ต่างๆ อาจจะบีบบังคับให้พ่อแม่จำนวนมากจำต้องนำลูกของตนไปฝากคนอื่นเลี้ยง ในกรณีเช่นนี้ พ่อแม่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลอยู่เสมอว่าลูกของตนอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นใด
| |