กันยายน 2552

 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
14
15
16
17
18
19
20
21
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
พี่เปิดใจคุยกับหวาน .. เราคุยกันได้นี่
หวานคิดเสมอว่า หวานรู้จักตัวเองดี
แล้วหวานคิดเสมอ ว่าหวานรู้ หวานรู้ แล้วหวานก็ยังเข้าใจตัวเองเป็นอย่างดี

แต่พอมาวันนี้ มานั่งคุยกับผู้ชายคนนี้
หวานถึงได้รู้ว่า ทุกอย่าง มันไม่ได้หมุนโคจรอย่างที่หวานคิดเสมอไป

หวานทำงานก่อนที่หัวหน้าบก.2 จะมา
ตอนที่พบครั้งแรก เจ้านายน้อยเชิญหวานให้มาแนะนำตัวเอง

หวานบอกตรงๆ เห็นครั้งแรกหวานไม่ชอบหน้าหัวหน้าบก. คนนี้เลย
แล้วหวานก็ไม่รู้ว่า จะเอาตรงไหนของหัวหน้าบก.ไปชอบด้วย ...

แต่ด้วยหน้าที่การงานมันมาบีบ หวานก็เลยต้องทำหน้าที่ช่วยบก.2 กันไป
หวานก็เป็นคนแบบนี้เอง ก็บอกหัวหน้าว่ามีอะไรให้ช่วย หวานก็จะยินดีช่วย
ช่วยทุกสิ่งอย่าง เท่าที่หวานจะช่วยได้ มันก็เท่านั้น

แต่คนมันเจอกันอยู่ทุกวัน จากคุยวันละคำ สองคำ ก็กลายเป็นสิบคำ
นาน.. สักพัก ก็คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว

หัวหน้าบก. คนนี้ เป็นคนที่ .. ดูคล้ายว่า จะซื่อเหลือเกิน
ทุกครั้งที่ประชุม ถ้าเจ้านายใหญ่ เจ้านายน้อย ได้พูดอะไรออกมา
ซึ่งทุกคนในบริษัทเป็นอันรู้กันว่า ต้องทำตามนั้น ไร้ข้อแย้ง ข้อเถียง

ถ้าอะไรที่ทำไม่ได้ หัวหน้าบก. ก็จะโต้กลับไปทันทีว่า
"ผมทำไม่ได้"

ทุกคนเป็นอันรู้กันว่า แกเป็นคนร่าเริง แจ่มใสดี แต่เรื่องงานแกเฉียบขาดจริงๆ
แล้วทุกคนก็สงสารแกอีกนั่นแหละ ที่พูดอะไรไป เจ้านายก็ยังเอาให้ได้อยู่ดี
"เถียงไปก็ เจ็บตัวซ่ะเปล่าๆ นะ หัวหน้าบก. " ใครๆ ก็พูดลับหลังแกอย่างนั้น

นั่นแหละ ที่หวานรู้สึกว่า เฮ่ย! แกกล้าเถียงนายด้วยว่ะ
มุมมองที่หวานมองต่อแก หวานก็เปลี่ยนไป

วันนี้โดนเจ้านายใหญ่เรียกไปคุย คือคุยเรื่องงานที่สั่งให้ทำนี่แหละ
แต่.. มันไปพาดพิงเรื่อง ผ่านโปร บรรจุพนักงาน
เจ้านายใหญ่บอกว่า อยากบรรจุให้หวานนะ
แต่.. หวานทำงานอะไรก็ตาม แรกๆ จะดี แล้วมันค่อยๆ ลดลง
งานไม่ปราณีตเลย คุณไม่ละเอียด
จากสามเดือน .. ที่ควรจะบรรจุแล้ว นี่ก็สี่เดือนแล้ว ยังไม่ได้บรรจุสักที

หวานก็อืม.. ค่ะ ตีสีหน้าเจื่อนไป ... จริงๆ หวานไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
หวานรู้สึกเสียหน้าอย่างเดียว
ที่คนเข้ามาทำงานพร้อมหวาน เขาได้บรรจุก่อนหวาน

นอกนั้นหวานเฉยๆ ถ้าพูดมาคำเดียว ว่าไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ
หวานพร้อมจะไปหางานทำใหม่ได้ โดยไม่แคร์เลย

แล้วเจ้านายหวาน ก็บอกว่า รู้ไหม ผมชอบคุณนะ คุณเป็นคนไม่ต่อล้อต่อเถียงดี
ความตั้งใจการทำงานคุณก็ดีมากด้วย
หวานก็ค่ะ .. แล้วแกก็อธิบายขยายงาน ว่าแกจะหวานทำอะไรต่อไป

หวานมักจะคำชมก่อนด่าเสมอ ว่าคนตั้งใจทำงานดี .. แล้วบลาๆ ด่าอะไรไป

พอกลับมาทำงาน ก็เหมือนเดิม ข้อบกพร่องเยอะเหลือเกิน

งานเอกสารธรรมดา ที่แสนจะน่าปวดกระโหลก
ขนาดว่า ให้พิสูจน์อักษรตรวจกันสองคน สองรอบ มันก็ยังแย่ เหมือนเดิม

พอใกล้เลิกงาน หวานก็เลย มานั่งเล่นที่ห้องบก. 2
นั่งดูหัวหน้าบก.2 ทำงาน หวานโกหกพวกเพื่อนบก. ที่กลับด้วยทุกวัน
ว่า หวานมีนัดกับแม่ ให้พวกเขากลับไปก่อน
แต่จริงๆ แล้ว หวานอยากนั่งหลบความเครียดสักพัก
ไม่อยากกลับบ้านตอนนี้
เพราะไม่อยากคุยกับใคร เอียนแล้วกับคำพูดซ้ำซาก
ถ้าหวานคุยกับแม่ แม่ก็พูดเหมือนเดิมให้หวานลาออกไปทำงานที่ดีกว่านี้

หัวหน้าบก. 2 เขาจะทำงานคนเดียว ถึงทุ่มกว่าทุกวัน
จริงๆ มันก็ไม่ค่อยจะเหมาะสม ที่หวานจะอยู่กับผู้ชายสองคน
แต่ในตอนนั้น หวานก็รู้สึก เหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรแง่ลบได้

พอทุกคนกลับบ้านไปหมด เขาก็ถามว่าหวานเป็นอะไร เหนื่อยเหรอ?
หวานบอก หวานไม่เหนื่อย หวานแค่รู้สึกกลุ้มใจ กับคำพูดของเจ้านายเช้านี้
หวานก็ค่อยๆ เล่าให้ หัวหน้าบก.2 ฟัง

พอจบแล้ว เขาพูดว่า "ถ้าพี่พูด แล้วอย่าโกรธพี่นะ หนูนะ .. เคร่งครัดเกิน"

หวานก็ตกใจแหะ..

เขาอธิบายว่า เขาสังเกตหวานหลายทีแล้วว่า
หวานจะเป็นคนคิดอะไรเป็นระบบ ระเบียบ ทุกอย่าง จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน
จะไม่ซิกแซก อ้อนวอน .. แล้วพี่เขาสรุปได้คำว่า "ไม่ยืดหยุ่น"

แล้วมันก็ทวนไปถึงสาขาที่หวานเรียน
พี่เขาเองก็เข้าใจ เพราะเขาเรียนจบสาย"วิทย์" ที่พูดถึงแต่ข้อเท็จจริงตลอดเวลา

พี่เขาถามหวานว่า ทางข้ามถนน หน้าบริษัท ที่ข้ามอยู่ทุกวันเนี้ย
ถ้าสมมุติไปธนาคารหน้าบริษัท
หวานจะข้ามโดดพุ่มหรือจะข้ามทางม้าลายที่ไกลออกไป ...

เขาเดาว่า หวานจะข้ามทางม้าลาย ..

พี่เขาถามหวานว่า ถ้าหวานจะไปเซ็นทรัล แล้วรถเมล์ไม่มาสักที เป็นชั่วโมงก็ยังไม่มา หวานจะกลับบ้านเลยไหม

เขาเดาว่า หวานจะกลับบ้านเลย ไม่ก็รอจนกว่ารถเมล์จะมาใช่ไหม

หวานบอก แล้วจะให้ทำไง นั่งแท๊กซี่เหรอ เสียดายเงิน

หวานคิดเสมอนะ ว่าตัวหวาน ไม่ใช่คนเคร่งครัดเลย
หวานกระโดดพุ่มไม้อยู่บ่อยๆ , ถึงไม่นั่งแท๊กซี หวานก็หารถเมล์อื่นนั่ง
นั่งจนหลงทางอยู่บ่อยๆ
แต่พอมานั่งฟัง มุมมองของคนอื่นมองเรา ... มันตรงกันข้ามกับที่เราคิดจริงๆ

พี่เขายกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สมมุติว่า มีงานสามจ้อบ ซึ่งต้องให้เสร็จทันกำหนด
กำหนดคือ ต้นเดือน กลางเดือน ปลายเดือน ใ้ห้หวานไปทวงงาน

ถ้านิสัยการทำงานหวาน
หวานจะทวงงานต้นเดือน ถ้าไม่ได้ทันตามกำหนด หวานก็จะปล่อยไปถึงกลางเดือน พอกลางเดือน ก็ยังไม่ได้อีก หวานก็จะปล่อยให้ถึงปลายเดือน แล้วพอปลายเดือน หวานก็จะทวงจนได้สามงาน
หวานจะคิดว่า บรรลุแล้วนิ แล้วก็จบงานปลายเดือน

ทำดี แต่ประสิทธิภาพการทำงาน จะอยู่แค่ 1 / 3 หวานทวงสำเร็จแค่ปลายเดือน

แต่ถ้าทำแบบนี้ล่ะ...
พอต้นเดือนไม่ได้ ปุ๊บ หวานไปเร่งๆๆ ให้บอกพี่กลางเดือนต้องได้ เร่งทุกวัน จนได้กลางเดือน หวานก็จะได้งานมา พอเป็นรอบงานปลายเดือน เขาจะมีเวลาทำงานปลายเดือนให้หวานอย่างเต็มที่ ปลายเดือนงานสำเร็จทันเวลา โดยที่หวานไม่ต้องเหนื่อยเหมือนครึ่งเดือนแรก งานบรรลุเหมือนกัน แล้ว.. ประสิทธิภาพการทำงาน จะได้ 2/3 ที่สำเร็จ

เขาบอกว่า เขารู้ว่าหวานไม่ค่อยกล้าทวงงาน หวานมีหน้าที่ประสานงาน หวานก็ประสานงานจริงๆ บอกต่อ พี่คนนั้นบอกอย่างนี้ มาน่ะค่ะ
ให้แค่คนสองคนรับรู้ ว่าอีกฝ่ายทำอะไรเท่านั้น
่ถ้าหากว่าหวานเร่งงานเขา จี้เขา มันก็จะทำให้มีประสิทธิภาพขึ้นนะ
่ทุกสิ่งอย่าง หวานจะปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนเสมอ มันดีนะ
แต่ชีวิตจริง มันไม่ใช่อย่างนั้นนี่
มันก็ต้องมีซิกแซ๊ก เร่งงาน จ๊ะจ๊า ด่าทอ จิกตีกันบ้าง

หวานก็อืม...

หวานไม่รู้จริงๆ นะ คือตลอดเวลา
หวานคิดว่า หวานยืดหยุ่นที่สุดแล้ว

ไม่ค่อยอยากจะเร่งงาน เพราะเดาเอาว่าพี่เขาคงรีบทำที่สุดแล้ว
ยืดกดซ่อมเครื่องพรินท์เอง เพราะ ไ่ม่อยากรบกวนพี่เขาทำงานกัน
ไม่เคยว่าใคร เวลาทำงานไม่ดี เพราะ คิดว่า คนเราพลาดกันไป
ยืดอกรับเสมอว่าตัวเองทำงานไม่ดี

แต่.. มันไม่ใช่ไง

พี่เขาอธิบายว่า การที่หวานมีความคิดแบบนี้ เป็นความคิดแบบอุดมคตินิยม
ซึ่ง ถ้าทุกคนคิดเหมือนหวาน ทุกสิ่งก็จะมีระเบียบ เรียบร้อย สวยงาม
ทุกคนจะทำตาม สิ่งที่ตัวเองสมควรทำ ตรงไปตรงมาเป็นไปด้วยความเห็นใจ

ตลอดเวลา หวานคิดเสมอว่า หวานจะต้องควรทำในสิ่งสมควรทำ
ถ้าหากว่า มีสิ่งใดสมควรทำล่ะก็ หวานจะไม่ลังเลใจที่จะทำมันเลย
หวานคิดอย่างนี้ แล้วเอาตรรกะ นี้ไปใช้กับทุกสิ่งรอบตัว

หวานคิดเอาเองว่า ทุกคน ก็คิดแบบหวาน พยายามที่สุดแล้ว แต่มันได้เท่านี้
หวานคิดเอาเองว่า ขอให้พยายามให้ถึงที่สุดแล้ว เรื่องอื่นช่างมัน

แต่ความจริง มันไม่ใช่ไง บางคน มันก็ไม่ทำอะไรเลย
อย่างในแผนกหวาน หวานก็เห็นบก. มีวิธีอู้งานแตกต่างกันไป
บางคนก็นั่งเล่นเอ็ม บางก็นั่งดูบอล
บางคนก็นั่งอ่านเรื่องย่อละคร บางคนก็หลีหญิง
หวานเอง ก็นั่งเล่นทวีต ตลอดเวลา ระหว่างนั่งทำงาน


พี่เขาว่า " แล้วหวานจะรู้ได้ไง ว่างานที่มันค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น ...
เขากำลังทำงานให้หวานอยู่หรือเปล่า
หวานจะให้เวลาเขาไปเรื่อยๆ จนถึงกำหนด
ด้วยความหวังว่าเขาคงมีความรับผิดชอบน่ะ
หวานคิดใช่ไหมว่า? หวานไม่สมควรไปทวงงานเขา
เพราะ เขาเองก็อาจจะมีแผนงานอยู่ ถึงเวลาเขาก็เอาส่งเองล่ะ ถูกมั้ย?"


มาถึงตรงนี้ พี่เขาถามหวานว่า

"แล้วหวานคิดไหม? ทำไมหวานต้องรอด้วย ในเมื่อหวานจะเอาเดียวนี้ก็ยังได้"

นั่นสิ .. ทำไมหวานต้องรอด้วย !?


หวานไม่เคยโกรธเพื่อนเวลามาสายเลย
เพราะหวานคิดว่า มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเลย
หวานก็เอาเวลาที่รอ นั่งคิดอะไร

แม่บอกหวานว่า หวานโกรธน้องชายไม่ได้
เมื่อน้องไม่ทำงานบ้าน แม้ว่าจะเป็นหน้าที่ของมันก็ตาม
จะหน้าที่ใครก็ช่าง หวานก็ต้องทำ อย่าได้ปริปากบ่นไป

หวานไปกินข้าวกับเพื่อนที่กินข้าวช้าบ่อยๆ
หวานก็นั่งรอไปเรื่อยๆ ทำไมล่ะ ก็แค่หวานกินเสร็จเร็วก่อน

หวานให้เหตุผลกับตัวเอง "เพราะหวานเป็นคนใจเย็น"
แม้ว่า ใครหลายคนจะหัวเราะหึๆ ทุกครั้ง เวลาหวานพูดว่าหวานใจเย็น
เวลาหวานทำงานเอง หวานจะทำให้เร็ว เวลาตามงาน ทำไมเน้อ
พอเขาอ้างอะไรกัน หวานก็เชื่อเขาทุกทีไป เพราะคิดว่าเขาคงเหมือนหวาน

"หวานเป็นใจเย็น มันก็ดีนะ
แต่นี่มันเป็นโลกแห่งความจริง เพราะอย่าลืมว่าเราอยู่ในบริษัท
บริษัทก็อยากได้กำไร ทำอย่างไง บริษัทเราถึงจะได้กำไร
ก็ต้องทำผลิตภัณฑ์ ทำหนังสือขาย ถ้าหวานมัวแต่ใจเย็น
แต่ีคนอื่นไม่.. เรารีบออกหนังสือช้าไป .. คนอื่นแซงหน้าเรา
หนังสือก็ขายได้ก่อนหน้าเราแล้ว กลายเป็นว่าเราเป็นผู้ตาม
ไม่มีอยากใครชื้อหนังสือที่หัวข้อซ้ำๆ ในเมื่อหนังสือ คล้ายๆ แบบนี้ฉันก็มีแล้ว
แล้วบริษัทจะเอากำไรจากไหน? มาจ่ายเงินเดือนให้หวาน"

หวานนั่งฟัง.. แล้วตอบว่า "เรื่องนี้หวานรู้ดีอยู่แล้วค่ะ ก็หวานจบบริหารนี่ค่ะ"

พี่เขาก็ยิ้ม "แต่ในตำรา กับ โลกแห่งความจริง มันต่างกันใช่ไหมล่ะ
ตอนที่หวานจบม.ปลาย แล้วเดินกลับไป ร.ร.เก่า หวานคิดว่าหวานเจ๋งโคตร
พอกลับมามหาลัย หวานก็เป็นเด็กปีหนึ่ง พอมาตอนนี้ หวานเรียนจบ
พอกลับไปมหาลัยกลายเป็นป้า แต่ในที่ทำงาน ตอนนี้หวานเป็นเด็กพึ่งจบ"

หวานเข้าใจในรอยยิ้มของพี่เขา แล้วพี่เขาจบท้ายประโยคว่า
"มันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างนี้เอง"

พี่เขาเก็บของ เอางานกลับไปทำที่บ้านเหมือนเคย
ส่วนหวานก็เดินตามพี่เขาไปเรื่อยๆ จนถึึงหัวมุมถนน
กำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน พี่เขาก็บอกกับหวานว่า

"อย่าตีความหมายของพี่ผิดไป ที่หวานเป็นอย่างนี้
เป็นคนรักษาระเบียบ ใจเย็น เห็นใจคนอื่นๆ มันก็ดี
พี่อยากให้หวานเป็นอย่างนี้ต่อไป
แต่ในบางครั้ง โลกมันไม่ได้มีแค่สีขาวหรือดำ
ในบางครั้ง บ่อยครั้ง.. มันก็ก็เป็นสีเทา"

หวานบอกกับพี่เขา ตามตรงว่า หวานไม่ได้กลัวเรื่องบรรจุแม้แต่นิดเดียว
พี่เขาก็พยักหน้า "พี่ก็ว่า หวานไม่เห็นจะต้องกังวลเลย
ในสายตาพี่ ถ้าหากหวานทำงานได้ห่วยแตก เหลือทน
เจ้านายคงไล่หวานไปตั้งแต่เดือนแรก
นี่ตั้งหลายเดือนแล้ว เขาก็ไม่ไล่หวานสักที หวานนะ ทำได้ดีแล้ว
เพียงแต่มาตรฐานของเจ้านายสูงเกินไปสักหน่อย ...
เหมือนมันมีอะไรสักนิดเดียว อีกนิดเดียว ก็จะได้ถึงมาตราฐานในใจเขาแล้ว
เล็กน้อยมาก พี่ว่า หนูอย่าไปเสียเวลาคิดเรื่องบรรจุ หรือไม่บรรจุเลย
เอาเวลามาใส่ใจกับงาน ปรับปรุงให้มีประสิทธิ์ภาพดีกว่า
ต่อให้ทำงานที่อื่น ปัญหานี่มันก็ยังไม่จบ และไม่มีวันจบด้วย
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ"

จบคำพูดนั้น หวานก็แยกทาง แล้วก็เดินกลับบ้าน


ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ที่หวานคิดว่า "ขอให้ให้เจตนาดี เป็นอันใช้ได้"
ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ที่หวานคิดว่า "ไม่เป็นไรนะ"
ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่หน ที่หวานคิดว่า "พยายามไปเรื่อยๆ ก็ดีแล้ว"

หวานสนใจแต่เหตุ เท่านั้น หวานไม่เคยคิดจะแคร์เลย ว่าผล นั้นจะเป็นอย่างไง
ขอให้เหตุมันดี เป็นอันใช้ได้

แต่ในโลกแห่งความจริง สิ่งที่คนสนใจ คือผล.. ผลลัพธ์
ไม่มีใครแคร์ว่าจะได้มาอย่างไร ขอให้เป็นไปได้อย่างใจสมประสงค์

ขอให้ได้ดังใจฉันเถอะ จะเป็นวิธีการจะเป็นอย่างไงก็ช่าง
ใครจะเดือดร้อนมันก็เรื่องของเขา ขอให้ฉันได้ผลประโยชน์ นั่นดีหมด


วันนี้ทั้งวัน หวานคิดถึงตอนพี่เขาพูดว่า

"พี่เปิดใจคุยกับหวาน .. เราคุยกันได้นี่"

... หรือมีบางสิ่ง เกิดขึ้นในใจหวาน มากกว่า แค่หัวหน้ากับลูกน้องแล้วหนอ




Create Date : 12 กันยายน 2552
Last Update : 12 กันยายน 2552 20:56:13 น.
Counter : 642 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หวานใจนายโหด
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




add me!!plz~
Add to Google

ไม่สวยก็เซ็งเป็น


MY VIP Friend