วันที่ไปนั้น แดด เปรี้ยงมาก ฉันไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไป ทิพย์ก็ไม่ได้ถ่ายรูป พระอุโบสถ ไว้ เพราะเรามุ่งไปที่ พระมหามณฑปเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช 80 พรรษา เป็นหลักใหญ่ ขอขยายความรู้เรื่องวัดไตรมิตรสักเล็กน้อย เผื่อเพื่อน ๆ ชาวบล็อกที่ยังไม่เคยไป ต้องการจะไปชมบ้าง จะได้เป็นข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ
วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ถนนมิตรภาพไทย-จีน แขวงตลาดน้อย เขต สัมพันธวงศ์ แต่เดิม ชื่อว่า "วัดสามจีน" เล่ากันว่า คนจีน 3 คน เป็นเพื่อนกัน ได้ร่วมกันสร้างวัดนี้ขึ้นด้วยความศรัทธา จึงได้ชื่อว่า "วัดสามจีน"
ปี 2477 พระมหากิ้ม สุวรรณชาต รักษาการเจ้าอาวาส เป็นผู้ริเริ่มบูรณะวัดเป็นรูปแรก
ปี 2480 มหาเถรสมาคม ได้อนุมัติให้บูรณะวัดอีกครั้งหนึ่ง
ปี 2482 บรรดาพ่อค้า ประชาชน ครู นักเรียน ได้ร่วมกันบริจาคและปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ และมีการเปลี่ยนชื่อวัดมาเป็น วัดไตรมิตรวิทยาราม วรวิหาร มีการสร้าง โรงเรียนปริยัติธรรม และโรงเรียนวัดไตรมิตร ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วน
ปี 2505 มีโรงเรียนเด็กเล็กจนถึงประถมศึกษาตอนปลายเกิดขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งฉันเป็นนักเรียน ป.5 รุ่นแรกของโรงเรียนนี้ มีครูใหญ่ ชื่อ คุณครูใหญ่ทองคำ ผดุงศุข ฉันจบประถมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2507
รถประจำทาง ที่ผ่านวัดนี้ ก็มีสาย 25 ท่าช้าง-ปากน้ำ ปอ.40 ปอ. 507 (สำหรับผู้ที่อยู่แถวสุขุมวิท ค่ะ) ยังมี สาย 1 สาย 4 เป็นต้น
พวกเราขึ้นรถจากแถวทองหล่อ ด้วย ปอ. 40 มาลงหน้าวัดพอดี เป็นช่วงเวลาเที่ยงเห็นจะได้ สายแดดอันร้อนแรง แผดเผาแสบผิวไปหมด ขนาดฉันใส่เสื้อแขนยาว ถือร่มไปด้วย ยังร้อนระอุไปทั้งตัวเลย พวกเราไปถึง ก็มุ่งหน้าไปที่พระมหามณฑป ฯ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานใหม่ของหลวงพ่อทองคำ ค่ะ เราชมพระมหามณฑปอันสวยสง่างามองค์นี้ก่อนนะคะ ฝีมือทิพย์ เป็นคนถ่าย ค่ะ
เป็นไงบ้างคะ สวยสง่ามาก ใช่ไหมคะ แล้วเราก็ขอให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณนั้น ถ่ายรูปให้พวกเรา 3 คนด้วยค่ะ อิอิ
เรามาทราบประวัติความเป็นมาของการสร้างพระมหามณฑปองค์นี้สักหน่อยนะคะ ฉันค้นคว้าหามาให้ ค่ะ
ที่จริง ฉันเคยมาเยี่ยมและไหว้พระที่วัดและเยี่ยมหลวงพี่ณรงค์ที่เคยสอนภาษาอังกฤษให้พวกเราตอนเรียนอยู่ น่าจะประมาณ ปี 49(น่าเสียดายว่า มาครั้งนี้ ไม่มีเวลาไปหาท่านที่กุฏิเลย เพราะไม่มีเวลาจริง ๆ เกรงใจลูกศิษย์ด้วย เพราะยังต้องไปอีกหลายแห่ง ป่านนี้ถ้าท่านยังอยู่ ก็คงปาเข้าไป 80 กว่าปีมั้ง) ตอนนั้น(ปี49) พระมหามณฑปเพิ่งเริ่มก่อสร้าง มาครั้งนี้ สมบูรณ์ สวยสง่างามมากเหลือเกิน
เป้าหมายใหญ่ในการสร้างพระมหามณฑปฯ นี้ ก็สร้างในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2549 และจะมีพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษ ในปี 2550 และจุดมุ่งหมายอีกประการหนึ่งคือ จะเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อทองคำ ซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ที่พระวิหาร มีความคับแคบไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวและผู้มีจิตศรัทธามาสักการบูชาได้ อีกทั้งต้องการให้สมคุณค่าและฐานะบารมีขององค์หลวงพ่อทองคำ อีกด้วย
การออกแบบ เป็นไปอย่างพิถีพิถ้น โดยมีหลักการ ดังนี้
1.ความศักดิ์สิทธิ์ ความสง่างาม ให้สมฐานะพระบารมีของหลวงพ่อทองคำและเหมาะสมแก่การเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสเสด็จขึ้นครองราชสมบัติครบ 60 ปีและทรงมีพระชนมพรรษา 80 พรรษา
2.รักษาคุณค่าทางด้านพุทธศิลป์ สถาปัตยศิลป์และวิจิตรศิลป์ ให้ครบถ้วนทุกประการ
3.เพื่อให้เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ของเยาวราช เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มั่นคง โครงสร้างของตัวอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก มีการคัดสรรอุปกรณ์ วัสดุ ที่คงทนถาวร เช่น หินอ่อน
4.ออกแบบพระมณฑปให้เรียบง่าย ร่วมสมัย คำนึงถึงประโยชน์ ความจำเป็นในการใช้สอย มากที่สุด (วัดมีพื้นที่ค่อนข้างน้อย)
การก่อสร้างพระมหามณฑป ดำเนินงานและควบคุมดูแล ออกแบบก่อสร้างมีการร่วมมือกันหลายฝ่าย คือ กรมศิลปากร สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัดมหาชน ใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี
เราเริ่มมาชมความงามจากชั้น 2 เป็นต้นไป (ซึ่งต้องขึ้นบันไดที่เห็นเราถ่ายรูป นั่นแหละ ค่ะ ส่วนชั้น 1 น่าจะเป็นที่ทำการของเจ้าหน้าที่พักอาศัย เดินผ่านเฉยๆ ไม่ได้สำรวจ) ที่จริง ที่นี่มีบริการลิฟท์ให้แก่คนสูงอายุและคนพิการด้วยค่ะ แต่ขาขึ้น เรายังมีแรงดีอยู่ เลยขึ้นเองไม่ได้อาศัยลิฟท์
เดินถึงชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นที่เป็นศูนย์แสดงประวัติเยาวราช แสดงถึงความรุ่งเรือง บนถนนสายทองคำ แบ่งเป็นส่วน ๆ ก่อนเข้าไปจะมีเจ้าหน้าที่คอยบอกให้เราเอาถุงแล้วใส่รองเท้าเราไว้ในถุงหิ้วติดตัวเข้าไปด้วย ชั้นนี้เราอยู่นานที่สุด ได้ถ่ายรูปมากที่สุด เป็นชั้นที่ใครสนใจเกี่ยวกับความเป็นมาของเยาวราช ต้องเข้าไปชมมากที่สุด เข้าไปอ่าน และชมการจำลองเหตุการณ์ เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตจนถึงปัจจุบันของเยาวราช ไชน่าทาวน์ของไทยเราได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีเวลาน้อย ทิพย์ได้ถ่ายรูปไว้ชื่นชมได้ แต่ไม่หมด ค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้เอากล้องไป เพราะไม่ค่อยสบาย คงไม่มีอารมณ์อยากถ่ายรูปอะไร รูปที่เห็นเป็นของทิพย์ทั้งหมด ค่ะ
หลังจากชื่นชมอยู่ที่ชั้น 2 นานพอควรแล้ว เราก็ขึ้นไปไหว้หลวงพ่อทองคำที่ชั้น 4 เลย ไม่ได้ไปที่ชั้น 3 ซึ่งเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับหลวงพ่อทองคำ ฉันค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับหลวงพ่อทองคำมาฝากด้วยค่ะ
หลวงพ่อทองคำ เป็นพระปาง มารวิชัย เป็นพระพุทธรูปทองคำองค์แรกของไทยที่ได้รับการบันทึกไว้ใน The Guinness Book of World Record เมื่อปี พ.ศ. 2534 ว่า เป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีหน้าตักกว้าง 6 ศอก 5 นิ้ว ความสูงจากพระเกตุมาลาลงมาถึงฐานทับเกษตร (ฐานที่รองรับพระพุทธรูป) สูง 7 ศอก 1 คืบ 9 นิ้ว น้ำหนัก 5.5 ตัน สร้างด้วยทองคำแท้ มีคุณค่าสูง 21 ล้านปอนด์ (ราคาประเมินในปี 2533 ) ซึ่งราคาปัจจุบันต้องสูงกว่านี้ อีกแน่นอน
ตามประวัติ เชื่อว่า หลวงพ่อทองคำเป็นพระพุทธรูป ที่สร้างในสมัยสุโขทัย ตอนเกิดศึกกรุงสุโขทัยเสื่อมอำนาจไป ชาวเมืองกล้วว่า พระพุทธรูปองค์นี้จะถูกข้าศึกช่วงชิงไป จึงได้ลงรัก โบกปูนทับพระพุทธรูปทองคำองค์นี้ไว้ ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่ง รัตนโกสินธ์ ได้โปรดเกล้าฯให้อัญเชิญ ชะลอพระพุทธรูปจากหัวเมืองมาไว้ที่กรุงเทพฯ พระพุทธรูปทองคำที่ถูกโบกปูนนี้ ก็ได้รับการอัญเชิญมาด้วย
มาอยู่ที่วัดพระยาไกรนานมาก จนถึง พ.ศ. 2478 จึงได้อัญเชิญมาไว้ที่วัดไตรมิตร (วัดสามจีน ในสมัยนั้น) หลวงพ่อทองคำ มาอยู่ที่วัดไตรมิตรอีก 20 ปี ในปี พ.ศ. 2498 ได้ทำพิธีอัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหาร แล้วเกิดอุบัติเหตุ พระพุทธรูปตกกระแทกพื้น ทำให้ปูนที่โบกองค์พระทองคำนั้นกระเทาะออก เห็นทองคำด้านใน จึงมีการล้างรักและกระเทาะปูนที่โบกออก เป็นพระพุทธรูปทองคำที่สุกปลั่ง แล้วยังพบว่า ที่ใต้ฐานพระพุทธรูป มีกุญแจที่ใช้ไของค์พระให้แยกออกเป็นส่วน ๆ ได้อีก ทำให้ง่ายต่อการอัญเชิญ
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามพระพุทธรูปตามลักษณะขององค์พระว่า"พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร"
เรามาชื่นชมองค์หลวงพ่อทองคำกัน ค่ะ
หลังจากที่ ไหว้พระหลวงพ่อทองคำและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกแล้ว พวกเราก็เดินไปลงลีฟท์กัน เพราะเหนื่อยมากแล้ว เพ็ญ จะแย่กว่าเพื่อน เพราะแกอ้วน อากาศก็ร้อนมาก บ่ายสองได้แล้วด้วย ความหิวมาเยือนมาก ลงจากลีฟท์ เจอแผงขายรูป 12 นักษัตร เดินเข้าไปดู เพื่อหารูป หนู ให้เยาว์เพื่อนรักตามที่เขาเชื่อว่า จะต้องให้คนปีชวดซื้อให้เขาแก้ปีชงเขา ฉันก็หาซื้อมานานมากแล้ว โชคดี มาเจอจนได้ จะได้จัดส่งให้เขาไปที่ปัตตานี เป็นรูปหนูทอง คริสตัน น่ารัก ราคาก็ไม่แพงมาก 80 บาทเอง
จากนั้น พวกเราก็เดินไปที่ซอยสุกร ซึ่งมีร้านอาหารหลายร้านเลือกร้านที่เป็นห้องแอร์และมีอาหารตามสั่ง ฉันสั่ง เปรี้ยวหวานหมึกกุ้งราดข้าว ทิพย์ ข้าวหมูแดง ไก่เปล่า ๆ อีก 1 จาน เพ็ญสั่งกระเพราหมู มั้ง แล้วก็สั่งราดหน้าอีก 1 จาน อิ่มท้องกันพร้อมตะลุยต่อไป อิอิ
ฉันพาเที่ยววัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหารเพียงแห่งเดียวและนำผลบุญมาฝากเพื่อนในบล็อกแก๊งทุกคนด้วยค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุข การได้อ่านเหมือนได้ไปไหว้พระด้วยกัน ค่ะ
เป็นถิ่นเก่าของผมเหมือนกัน.. ผมทำงานที่สามแยก อาคาร
ธนาคารกรงศรีอยุธยา เดิม (สำนักงานใหญ่) ก่อนย้ายไปอยู่
ที่สี่แยกเพลินจิต..
อาหารแถวนั้นอร่อย มีเยอะ เช่น เนื้อเปื่อย.. ลอดช่องสิงคโปร์
ก๊วยเตี๊ยวแคะ... ลาดหน้าเอมไพร์
ที่วัดไตรมิตร ผมไปบ้างแต่ไม่บ่อยนักครับ... พออ่านที่
อาจารย์เขียนข้างบน เลยรู้อย่างละเอียดเลย