พระรูปนันทาเถรี และ สุญญตกรรมฐาน
พระรูปนันทาเถรี ผู้บรรลุธรรมเพราะดูหนังชีวิต
พระรูปนันทาเถรีทนคะยั้นคะยอจากเพื่อนๆ ภิกษุณีไม่ไหว จึงเดินตามไปนั่งฟังเทศน์อยู่เบื้องหลังภิกษุณีอื่นๆ พระพุทธองค์ทรงเนรมิตภาพหญิงสาวสวยคนหนึ่งปรากฏต่อหน้านางด้วยอิทธิฤทธิ์ ปรากฏว่าภิกษุณีรูปอื่นๆ มองไม่เห็น มีแต่พระรูปนันทาเถรีรูปเดียวเท่านั้น นางจ้องดูหญิงสาวคนนั้นเพลินเชียว พลางรำพึงในใจว่า โอ หญิงสาวคนนี้สวยจังเลย สวยกว่าเราอีกแน่ะ
ขณะที่นางจ้องเพลินๆ อยู่นั้น พระพุทธองค์ก็ทรงบันดาลให้ภาพหญิงสาวคนนั้นเจริญเติบโตขึ้นเป็นสาวใหญ่ เป็นหญิงวัยกลางคน เป็นหญิงแก่หง่อม ผมหงอก ฟันหลุด ผิวหนังเหี่ยวย่น หลังโกง เดินต้องใช้ไม้เท้ายันกาย จนกระทั่งตายกลายเป็นศพเน่าเหม็น หมู่กิมิชาติไชชอน (กิมิชาติก็คือหนอนขอรับ) น่าสะอิดสะเอียนยิ่ง
นางเพ่งพิจารณาไปก็เข้าใจสภาวะความเป็นจริงของสรรพสิ่ง รำพึงว่าหญิงนี้เมื่อกี้นี้เองยังสาวสวย มาบัดนี้ได้ถึง แก่ความตาย ร่างกายถูกหมู่หนอนชอนไช น่าปฏิกูลยิ่ง ความตายเป็นสิ่งที่จะมาถึงทุกคนที่เกิดมา แม้แต่เราก็จะตายในวันใดวันหนึ่ง ขณะนั้นพระสุรเสียงของพระพุทธองค์ก็กังวาน ดังหนึ่งลอยมาจากที่ห่างไกล
"นันทา เธอจงดูร่างกายนี้ อันสกปรกเปื่อยเน่า ไหลออกข้างบน ไหลลงข้างล่าง บรรดาคนโง่เขลาพากันหลงใหลได้ปลื้มร่างกายเธอฉันใด ร่างกายหญิงนี้ก็ฉันนั้น เธอมองเห็นสิ่งทั้งหลายด้วยความเป็นของว่างเปล่า ไร้แก่นสาร เธอก็จะไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายอีกต่อไป ละความพอใจยึดติดในภพได้แล้ว ก็จะเป็นผู้สงบเย็นอย่างแท้จริง"
ต่อจากนั้น พระพุทธองค์ตรัส "สุญญตกรรมฐาน" สอนให้เธอพิจารณาถึงความว่าง ความไร้สาระแห่งอัตภาพร่างกาย โดยตรัสเป็น "คาถา" (โศลกธรรม) สั้นๆ ว่า ร่างกายนี้ ธรรมสร้างให้เป็นเมือกกระดูก ฉาบด้วยเนื้อและโลหิต เป็นที่ตั้งแห่งชรา มรณะ มานะ (ความถือตัว) และมักขะ (ความดูหมิ่นกัน) จิตของพระนางรูปนันทาเถรี ดิ่งลงสู่สมาธิ บรรลุฌานระดับต่างๆ ใช้ฌานเป็นบาทฐานแห่งวิปัสสนา พิจารณาเห็นไตรลักษณ์ (ความไม่คงที่ ความไม่คงตัว และความไม่มีตัว) เกิดญาณ ความหยั่งรู้สภาวะธรรมตามเป็นจริง จนกระทั่งบรรลุความสิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง พระอรหันต์ขีณาสพ (อรหันต์ผู้หมดสิ้นกิเลสอาสวะทั้งหลาย) ว่าอย่างนั้นเถอะครับ นับว่าพระรูปนันทาเถรีได้บรรลุพระอรหัตผลเพราะ "ดูหนัง" ที่พระพุทธองค์ฉายให้ดูแท้ๆ หนัง soundtrack เสียด้วยสิครับ ฉายที่โรงพระเชตวันมหาวิหารนั้นแล
ทิ่มาข้อมูล : เสฐียรพงษ์ วรรณปก / ราชบัณฑิต
วิโมกข์ ความหลุดพ้นจากกิเลส มี ๓ ประการ
๑. สุญญตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นอนัตตาคือความว่าง
๒. อนิมิตตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นอนิจังแล้วถอนนิมิตได้
๓. อัปปณิหิตวิโมกข์ หลุดพ้นด้วยเห็นทุกข์แล้วถอนความปรารถนาได้