มึนไปตามใจฝัน
<<
มกราคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
7 มกราคม 2550

ภูกระดึง 25 - 29 ธค 49

กลับมาเล่าประสบการณ์ที่ไปภูกระดึงช่วง 25 - 29 ที่ผ่านมานู้น
จริงๆการไปครั้งนี้เกิดขึ้นจากความอยากล้วนๆ
ผมอยากไปภูกระดึงมานานมาก
ปีที่แล้วผมตั้งใจไว้ว่ายังไงจะต้องไปให้ได้
ก็ตั้งใจไว้ว่าพอช่วง ธ.ค จะขอลาหยุด 2 วัน(ศุกร์ กับจันทร์)
ปกติได้หยุด เสาร์ อาทิตย์ เป็นเที่ยว 4 วัน
ก็บอกพี่แว่นไปว่า เอาช่วงไหนก็ได้
แล้วแต่เค้า
ปรากฏว่าเค้าก็ไงก็ได้
แต่ตัวเค้าก็อยากไปเหมือนกัน
สุดท้ายพี่แว่นก็สรุปว่าจะหยุดยาวกัน
ผมก็เลยไปช่วงหยุดยาวที่ผ่านมา

ผมเริ่มออกเดินทางวันท 25 ตอนหัวค่ำ
ออกจากที่ทำงาน 6 โมง
ถึงหมอชิตประมาณ 1 ทุ่ม
ผมซื้อตั๋ว กรุงเทพฯ - เลย - เชียงคาน
รถ ม.2 ราคา 321 บาท รถออกสองทุ่ม
ผมก็นั่งๆฟัง iPod ไปเพลินๆ
และแล้วเสียงเรียกรถก็มา
มาตอน ทุ่ม 45 ได้
รถม.2 เป็นรถไม่มีห้องน้ำแต่ก็เป็นรถแอร์
ผมว่าสภาพมันก็โอเคนะ
ผมนอนได้ไม่เบียดเกินไป แต่แย่ตรงเรื่องห้องน้ำแหละ
เพราะเป็นคนเข้าห้องน้ำบ่อย
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเข้าห้องน้ำก่อนจะขึ้นรถเพื่อความชัวร์

รถออกราวๆ 2 ทุ่มนิดๆ ถือว่าไม่ช้าเท่าไหร่
จากนั้นผมก็หลับแหละครับ
แน่ล่ะจะมีอะไรท่ีดีกว่าการหลับในการเดินทาง
รถจอดแวะเข้าห้องน้ำตอนราวๆ 5 ทุ่มได้
จากนั้นราวๆเกือบๆตี1 ก็จอดแวะร้านอาหาร
ก็กินข้าวและก็เข้าห้องน้ำ
มารู้ตัวอีกทีเกือบๆตี 3 ได้มั่ง
เข้าจอดที่ไหนสักที่ ด้วยความเอ๋อๆ ของผม
ก็ดันนั่งนิ่งทั้งที่จริงๆ เริ่มปวดฉี่แล้ว
คือไม่แน่ใจว่าเค้าจะจอดนานป่าว
สุดท้ายจอดนาน ไอ้เราก็วางฟอร์มเกินเหตุ
T_T พอรถออกเราก็เฮ้อ.........อดทนกันปาย

ระหว่างนั้นก็นอนไม่หลับแล้วล่ะ ปวดฉี่จะตายห่า
ก็พยายามภาวนา มันคงจอดอีกน่าT_T
แต่มันก็ม่ายยยย
ผมก็เลยถามคนข้างๆว่า ผมจะไป"หล่มสัก" ลงไหนอะครับ
เค้าก็เอ๋อๆ ก็พูดจางงๆ
ผมก็เออ ช่างเหอะ นึกในใจ คงไม่ใช่คนในพื้นที่มั้ง
(มารู้ทีหลังผมพูดชื่อผิด T_T มันต้อง ผานกเค้า
ส่วน หล่มสักน่ะ มันชื่อ ผาหล่มสักไว้ดูพระอาทิตย์ตกที่ภูกระดึง
ส่วน อำเภอหล่มสักน่ะมันจังหวัด เพชรบูรณ์ T_T)
ประมาณตี 4 ได้
เค้าก็จอดแวะที่นึง
ผมก็ลงละค๊าบ แต่ก็กลัวว่าเค้าจะไม่รอเรา
ก็กำชับว่า ช่วยรอหน่อยนะครับ
ผมไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึง
เค้าดันมาถามเราว่า "ไปไหนครับ"
"ไปภูกระดึงครับ"
เอ้า ลงเลยน้อง
เราก็... เอ่อ ในโปรชัวร์มันบอกว่าให้เราลงผานกเค้านี่หว่า
เอาไงดีฟะ ลงก็ลงละกันเค้าคงไม่หลอกเราหรอก
ท้ังที่เรายังไม่รู้เลยว่าไอ้ที่ลงน่ะมันคืออะไร
พอลงปุ๊บเอาของลง
เราก็เข้าห้องน้ำก่อน
จากนั้ันก็ค่อยถามว่า ไอ้เนี่ยมันที่ไหน
ก็มารู้ทีหลังมันคือ (เอ่อ...ผมลืมชื่ออะ ผมขอหาข้อมูลก่อนT_T)
(ลองดูชื่อตำบลแล้วก็นึกไม่ออกแฮะโทษที ฮ่าๆ)
เอาเป็นว่าเค้าก็บอกว่า ไปภูกระดึง ให้ขึ้นต่อที่นี่เลย
นั่งรถคันนั้นไง
ผมก็วิ่งไปดู รถกำลังจะออก ก็ถามเค้าก่อน "ไปภูกระดึงคันนี้ใช่ไหมครับ"
เค้าก็ "ใช่"
มันคือรถ เลย - ขอนแก่น
ค่าไปอำเภอ ภูกระดึง 40 บาท
คนเก็บเงินเค้าดีมากเลย
เค้าถามว่าจะขึ้นภูใช่ไหม
เราก็ใช่ครับ
พอถึงอำเภอภูกระดึงเค้าจะขับรถเข้ามานิด
มาส่งที่ร้านค้าร้านนึง
ผมถึงที่น่ีราวๆ ตี 4 ครึ่ง
พอลงมาอากาศหนาวโคดๆ
อากาศตอนนั้น 13 องศา
สำหรับผมหนาวมากๆเลยล่ะ
ต้องใส่เสื้อหนาว 3 ชั้นถึงจะอุ่น
ที่ร้านค้าแห่งนี้จะมีรถรับส่งพาเราไปยังอุทธยานภูกระดึง ราวๆ 7 โมงเช้า
ระหว่างรอก็แปรงฟัน แล้วก็สั่งโอวันตินร้อน
(ตอนแรกจะสั่งเย็นแล้วนึกได้ว่า จะกินเย็นทำบ้าไรฟะ)
จากนั้นประมาณตี 5 กว่าๆได้ ก็มีรถเริ่มมาส่งผู้โดยสารท่ีจะขึ้นภูกระดึงเริ่มมาที่นี่
ที่นี่เองผมก็ได้เจอกับเพื่อนใหม่เป็นคนใต้ 3 คน
มี หมาน , พีท , ดีน ได้เข้ามาทำความรู้จัก
และเราก็เดินทางไปด้วยกัน ผมและพวกเค้าก็มาที่นี่กันเป็นครั้งแรก
ก็เรียกว่ามือใหม่ มาแบบอาศัยหนังสือและคำบอกเล่า

จากการที่คุยกัน
สามคนนี้เรียนอยู่ ม.หาดใหญ่ เพิ่งสอบเสร็จก็มากันที่นี่เลย
จริงๆเค้าว่าตั้งใจจะมากัน 10 คน แต่ไปๆมาๆ ก็เหลือแค่นี้ เรียกว่าเกือบล่มเอาเหมือนกัน
จากการท่ีคุยกัน
ผมว่าคนกรุงเทพฯค่อนข้างโชคดี
เพราะว่าเป็นศูนย์กลาง เวลาจะไปไหนค่าใช้จ่ายก็อยู่ในระดับนึง
ไม่แพงจนเกินไป
เพราะสามคนนี้เล่าให้ผมฟังว่า มาภูกระดึงครั้งนี้ของพวกเค้าจ่ายกันหนักน่าดู
หมานและพีท เกือบๆ 5 พัน
ส่วนดีน เกือบ 7 พัน
ส่วนผม ไม่เกินสองพัน หรือสองพันนิดๆราวๆนั้น -_-'(ที่น้อยขนาดนี้ก็เพราะเกาะพวกนี้แดกด้วยฮ่าๆๆๆ)

จากนั้นก็มีคนที่จะขึ้นภูมาเพิ่มอีก
มีทั้งกลุ่มนักศึกษาจาก ม.ขอนแก่น,
พี่ชายที่มาคนเดียว คนนี้ค่อนข้างเก๋าน่าดู มาที่นี่หลายครั้งแล้ว,
ลุงกับลูกสาว ซึ่งอยู่ในอำเภอที่ผมจำชื่อไม่ได้นั่นแหละ
แกว่า ทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนี้
แต่แกก็ไม่เคยขึ้น คราวนี้ก็เลยอยากจะขึ้นภูสักครั้ง
ที่นี่พอคนมาจนเต็มรถก็ถึงจะพาเราไปส่ง
*ตรงนี้ขอแนะนำสำหรับผู้ที่คิดจะนำน้ำขึ้นภู
ให้ซื้อ ณ ร้านค้าที่นี่เลยครับ เพราะราคายังเป็นเหมือนกรุงเทพฯ
ถ้าเข้าอุทยานแล้วราคาน้ำจะขึ้น จาก 5 เป็น 10
**ถ้าลงผานกเค้าราคาน้ำก็ปกติเหมือนกัน
ให้ซื้อของทุกอย่างที่คิดว่าจำเป็นจากจุดนี้เลยก็ดีครับ

รถออกประมาณ 7 โมงนิดๆ
ประมาณ 15 นาทีได้เรามาถึงอุทยาน
ก็ไปเซ็นชื่อและก็จ่ายค่าพัก
ที่นี่คิดคืนละ 30 บาท
ถ้าเราไม่ได้เอาเต้นท์มาก็ให้ติดต่อบอกเค้าที่นี่เลย
ซึ่งเค้าจะปั๊มตราให้เราไปเช่า ณ ร้านที่เค้ากำหนด
ตอนนั้นผมไม่ได้สังเกตว่าเค้าปั๊มไว้หรอกครับ

จากนั้นก็นั่งพักและก็ซื้อถุงมือ ผ้าพันคือ และหมวก
ถ้าไปหน้าหนาวสิ่งเหล่านี้จำเป็นมากๆครับ
และก็ซื้อที่ขายของข้างล่างก่อนขึ้นภู (ในส่วนของพื้นที่อุทยานนั่นหละ)
ราคาจะไม่แพงเท่าไหร่
ถุงมือ 30 ผ้าพันคอ 40 หมวก 50
(ควรซื้อแบบที่เราใส่หัวแล้วนิ่มๆนะ ไม่รัดหัวเราจนเกินไป ไม่งั้นจะทำให้ปวดหัวได้ครับ)

ตอนนั้น หมานปรึกษาผมว่าจะเอาไงดี
จะแบกขึ้นไปเองหรือจ้างลูกหาบ
ผมซึ่งมั่นใจในเรื่องการเดินอยู่เหมือนกัน
จึงบอกไปว่า "เฮ้ย ไหวนะ แบกเองดีกว่าลองดู"
อีกอย่าง ถ้าจ้างลูกหาบ ตอนนี้เค้าคิดกิโลกรัมละ 15 บาท
ฟังดูเหมือนจะถูก แต่โดยทั่วไปของส่วนตัวบวกเสื้อผ้า
ที่มักจะพกไปเที่ยวตกคนละ 10 กิโลเกือบทั้งนั้น
นั่นหมายถึงจะต้องเสียค่าจ้างโดยประมาณ 150 กิโล
ด้วยความงก + มั่นใจเลยขอแบกเอง
ลืมบอกไป สภาพผมคือกระเป้ขนาดกลาง 1 ใบ
กระเป๋าสะพายขนาดใหญ่เป็นกระเป๋าเดินทางรุ่น เอเชียเกมส์ ที่จัดที่กรุงเทพฯ ปี1998
และขาตั้งกล้องอีกตัว
เรียกว่าเทอะทะทีเดียวเชียวล่ะ
(หลังจากการเดินขึ้น-ลง ครั้งนี้ผมคิดว่า ผมควรจะซื้อกระเป๋าเดินทางแบ็คแพคแล้วล่ะ
ขืนแบกกระเป๋าหลายๆใบแบบนี้ตายพอดี)
แต่ความเทอะทะของผมยังเป็นแค่ระดับเบบี๋ ท่าทางกับพวกคนใต้
เพราะสามคนนั้นแบกทุกอย่างเองหมด
น้ำ 5ลิตร 1 ขวด
กระเป๋าเป้คนละ 1 ใบ ขนาดกลาง
กระเป๋าแบคแพค 1 ใบ แบกเต้นท์
กระเป๋าเป้ใส่ของกิน 1 ใบ
(ทราบตอนกลับว่า น้ำหนักพวกนี้รวมแล้ว ประเป๋าเป้ใบละ 3.5โล
ใบใหญ่ 16 โล อีกใบไม่แน่ใจว่ากี่โล)

หลังจากที่ต่างคนต่างมั่นใจว่าไหว
พวกเราก็เริ่มเดิน ที่ประตูเราต้องเซ็นต์ช่ือ
และจ่ายค่าเข้า(ถ้ามีบัตรนักศึกษาคิดคนละ 20บาท)
ดูเวลาแล้ว เราเริ่มเดินกันตอน 8.30
ลุย!

แค่เริ่มเดินไปได้ไม่เท่าไหร่
ผมครับ! เป็นผมเองที่ออกอาการก่อนใคร
ผมหายใจดังมาก เหงื่อเริ่มออกอย่างเห็นได้ชัด
ผมเกรงใจสามคนนั้นมากๆ ไม่อยากให้เค้ามารอเรา
ก็บอกให้ไปก่อนไม่ต้องรอ เพราะผมเริ่มรู้ตัวแล้วล่ะ
ผมนี่ชักจะเป็นภาระแล้วล่ะ สามคนนั้นแข็งแรงกันจริงๆไม่ค่อยออกอาการเลย
โดยเฉพาะ พีท เดินดุ่มๆๆ นำไปไกลมาก
แต่ ดีน กับ หมาน เค้าอยากให้เดินไปด้วยกัน
ผมก็พักเป็นระยะๆ
เดินๆๆๆๆๆๆ จนถึง ซำแรก คือ "ซำแฮก"
จุดพักของที่นี่แต่ละจุดจะชื่อ "ซำ"
เรียงลำดับดังนี้
ซำแฮก 1 กิโล จากอุทยาน
ซำบอน 1.7กิโล
ซำกกกอก 2.06 กิโล
ซำกกหว้า 2.94 กิโล
ซำกกไผ่ 3.5 กิโล
ซำกกโคน 3.8 กิโล
ซำแคร่ 4.28 กิโล
และหลังแป 5.35 กิโล

อย่างที่เห็นครับแค่กิโลเมตรแรกผมก็แทบแย่แล้ว
แถมยังชื่อ"ซำแฮก" อีก เรียกกันว่า ได้หอบแฮ่กๆ กันทุกคนเชียว
ที่นี่ก็มีร้านค้าไว้คอยตอนรับ
จากจุดนี้ผมก็พักฟื้นไป 10 นาทีได้
หมานบอกว่าเค้ากะว่า บ่ายสองน่าจะถึงจุดหมายนะ
ผมก็คิดไปว่า น่าจะได้(ก็ตอนนั้นมันเพิ่ง 9โมงนิดๆได้)
เราก็เดินๆๆ ช่วงซำแฮก ไปถึงซำบอน ไม่ยากเท่าไหร่
ไม่ค่อยเหนื่อยมาก
มาถึงซำกกอก ที่นี่ก็มีร้านค้าอีก
ด้วยความหิว ปนความเหนื่อยล้า จึงต้องขอเติมพลังกันหน่อย
หมาน สั่งไข่ต้มมากิน เรียกว่า เติมพลังได้เยี่ยมมาก
ผมสั่งน้ำส้มเพ่ิมความสดชื่น (เบิ้ลสองอีกต่างหาก)
และก็แวะไปฉี่หน่อย ตอนนั้นก็ได้เจอกับพี่แว่น
พี่แว่นเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ 7 โมงกว่า
แต่พักตลอดจุด ตอนซำแฮก ก็แวะกินข้าวกัน
ก็ทักทายเล็กๆน้อยๆ ผมก็ไปกับพวกหมานต่อ
เราก็เดินๆ ช่วงนี้ทางจะยากขึ้นๆๆ
ความเหนื่อยล้าเริ่มเล่นงานผมอีก
ผมเริ่มจะพัก หมาน กับ ดีน ก็ยังรอเป็นเพื่อน
ช่วงนี้ ขาผมชักไม่ไหว ต้องหยิบ เค้าเตอร์เพน แบบร้อนมาทา
ลูกหนูมันเริ่มวิ่งตุบๆบนน่อง
ด้วยความช้าของผม
พี่แว่นซึ่งตามมาทีหลังก็ตามมาทัน
เลยถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานถึงความเหนื่อยล้าของผม



href="//www.bloggang.com/data/supercar/picture/1168359657.jpg" target=_blank>
เหนื่อยโคดๆเลยค๊าบ
(กล้องพี่แว่นครับ กล้องผมยังไม่ได้ล้างรูปเลยคาดว่าคงปลายเดือนนี้)

จากนั้นก็ลุยกันต่อแหละครับ
พี่แว่นได้แนะนำเทคนิคการเดินให้เดินเฉียงๆสลับไปมา
ช่วยให้ขาไม่ล้ามาก
ตอนนี้ดีน ช่วยผมยกขาตั้งกล้อง

ลุยกันไปถึงซำกกโดน หรือ ซำกกไผ่หว่า (คือผมจะมีปัญหาเรื่องการจำช่ือน่ะครับ)
ไม่แน่ใจว่าจุดไหน แต่เป็นจุดที่มีร้านอาหาร
จุดนี้ผมเพิ่งจะได้เจอกับ พีท ซึ่งมารออยู่นานมากแล้ว
จากนั้นก็เดินอีก
มาถึงซำแคร่
ซำนี้แหละครับ อย่างโหด
เป็นซำที่โหดที่สุด
เป็นทางขึ้นสูงชัน
จุดนี้เองผมพักเป็นสิบเลยล่ะคับ
เพราะก้าวขาที ลูกหนูก็กำเริบ ตะคิวกำเริบ
น้ำตาแทบไหลเลยละ
จุดนี้ผมไม่อยากให้หมาน กับ ดีนมารอ
เลยให้เค้าขึ้นไปก่อนเลย เพราะรู้ว่าคงได้พักกันทุกๆย่างก้าวแน่
แล้วเทคนิคการเดินของพี่แว่นก็ใช้ตรงนี้ไม่ได้
เพราะว่าทางมันต้องก้าวขึ้น ต้องยกขาสูง
ช่วงท้ายๆ ผมถอดอยู่หลายครั้งมากๆ
ไม่น่าบ้าพลังเลยตู
นั่งพักอยู่หลายรอบมาก
เวลาคนที่เดินสวนลงมา(คนที่กลับ) ผมก็ถาม "ใกล้ถึงยังครับ"
แต่ละคนก็ ใกล้แล้วๆๆ > < แต่ไมตูยังไม่ถึงสักทีฟะ
นั่งไม่รู้กี่สิบนั่งแล้วนะเฟ้ย
พี่แว่นที่ผมเดินนำแกมานานแล้ว
ก็เดินตามมาถึงจนแกขึ้นไปถึงก่อน
สักพักผมก็รวบรวมฮึดสุดท้ายลุยต่ออีกนิด ก็ถึงแล้ว(มันก็ใกล้จริงๆนั่นแหละ)
ซึ่งหมานกับดีนมาช่วยผมยกกระเป๋าขึ้น พวกเขามารอได้สักพักใหญ่ๆแล้วล่ะ
เฮ้อ ถึงเสียที หลังแปร
หลังแปรคือจุดที่เป็นทางเรียบ พื้นที่กว้างขนาดใหญ่ บน ภูกระดึง
สูงจากระดับพื้น 1200 เมตร
ป้าย "พิชิตภูกระดึง" ที่ใครมาก็ต้องถ่ายไว้
แน่นอนผมก็ถ่ายไว้ครับ(อย่างที่บอกรอดูรูปปลายเดือน)
พักกันจุดนี้นานเหมือนกัน
เอ่อ ผมลืมบอกไป ผมขึ้นมาหลังแปร บ่าย 3 ครับ!

ระยะทางจากหลังแปรไปที่ทำการอุทยานบนภู 3 กิโลครับ
แต่ก็ไม่เหนื่อยหรอก เป็นทางเรียบ เดินชิวๆ

ถึงที่ทำการอทยานผมก็ไปเช่าเต้นท์
ปรากฏว่าในใบเสร็จที่เราจ่ายค่าพัก(ตอนอยู่ข้างล่าง)
เค้าระบุว่า "ร้านป้า..(ลืม)" ผมก็งงๆ ไรฟะ มีระบุแบบนี้ด้วยเว้ย
ที่ทำการเลยให้ผมไปเช่าที่ร้านที่ระบุชื่อไว้ ตอนนั้นผมก็หงุดหงิดนิดหน่อย
ทำไมต้องระบุร้านกันแบบนี้หว่า
มาทราบภายหลังว่า
เจ้าหน้าที่ที่นี่ที่อยู่ได้เพราะมีร้านค้าอยู่
พวกเขาไม่ได้เงินเดือนมาหลายเดือนแล้ว
มีเงินมีข้าวกินจากร้านค้าของตัวเองที่ตั้งไว้
ผมจึงรู้สึกไม่โกรธและเข้าใจเลย
เพราะเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีร้านค้าบนนี้อยู่กันไม่ได้เลย(จะอยู่ไงละ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีรายได้ แถมต้องมีรายจ่ายส่วนตัวอีก)

จะว่าไปเต้นท์ของร้านป้า... ก็สภาพดีครับ
เค้าคิดคืนละ 150 บาท
ผมก็ตกใจอยู่เหมือนกัน นึกว่าจะคิดราคาถูกกว่านี้เสียอีก
3 คืนก็ 450 ;p
พี่แว่นก็ชวนให้ไปพักเต้นท์ด้วย แต่ก็เกรงใจบวกกับอย่างกางเต้นท์นอนเองด้วย
คิดว่ามาขนาดนี้ละ ลุยๆ กางเต้นท์นอนคนเดียวดีกว่า
ซึ่งก็นอนสบายมากๆเลยล่ะ
แต่คราวหน้าผมคิดว่าควรซื้อเต้นท์ไว้เองจะดีกว่าแฮะ
เพราะโดนไป 450 นี่ ครึ่งนึงของราคาซื้อใหม่เลยนะ ;p

ตอนเดินกลับมา เหวอๆ นิดหน่อย พวกหมานหายไปไหนหว่า
ก็มีพี่คนนึงที่ตอนเดินได้แวะคุยกัน เค้าจำผมได้
บอกว่าพวกเพื่อนไปตรงหลังที่ทำการ
ผมก็เดินไปตรงนั้น ก็เจอพวกหมานทักให้ไปกางใกล้ๆกัน
แต่ผมก็ตั้งใจไว้งั้นแหละ ^^'
จุดที่พวกหมานกางเตนท์เจ๋งดี
มีโต๊ะและม้านั่งไว้ให้ด้วย
ผมก็เก็บของ และก็ไปอาบน้ำ
บรึ๋ยๆ น้ำเย็นมั่กๆเลยล่ะ
พออาบเสร็จผมก็กะจะไปกินข้าว
หมานมาชวนผมกิน แรกๆ ก็ปฏิเสธ(เกรงใจ)
พอชวนอีกครั้ง "มากินกันเถอะพี่" ผมก็ อืมม เอาว่ะ ไม่เกรงใจเว้ย ประหยัดเงินด้วย
ซึ่งผมว่าสามคนนั้นถ้าย้อนเวลาได้คงไม่เอ่ยปากแน่ๆ(ฮา)
พวกหมาน หุงข้าวกันเอง และก็เอาอาหารมาเอง
ส่วนใหญ่ก็พวกอาหารแห้ง ปลากระป๋อง ไข่เค็ม ผักกาดกระป๋อง
แต่ที่แปลกสำหรับผมคือ ชา
พวกเค้าติดชา มากๆ จะต้องชงดื่มทุกคร้ังหลังอาหาร และก่อนนอน
ผมก็เลยได้กินชาต้มกับเค้าไปด้วย
ซึ่งก็ดีมากๆเลย เพราะตื่นเช้าทีไรก็ถ่ายสะดวกทุกที^^'

หลังจากจบมื้อแรก
ผมอาสาล้างจานเอง ก็นะ กินก็กินฟรี ช่วยแรงละกัน
พอล้างเสร็จก็ขอไปสำรวจราคาของต่างๆ บนนี้กัน

อาหารบนภูกระดึงตกจานละ 40 ขึ้นไป
น้ำดื่มขวดขุ่น(ที่ปกติขวดละ 5 บาท) ที่นี่ 20 บาท
น้ำดื่ม 1.5 ลิตร ขวดละ 35
น้ำดื่ม 5 ลิตร ขวดละ 50
น้ำอัดลมกระป๋อง 30 บาท
น้ำอัดลม 1.25 ลิตร 60 บาท
น้ำอัดลมแบบขวดขายพร้อมน้ำแข็ง 1 ชุด 30 บาท! (ซื้อกระป๋องคุ้มกว่าครับ)
มีหมูกะทะ ชุดละ 300 บาท ด้วยนะ
ที่นี่มีเตาแก๊สแบบที่หมานเอามาด้วย เค้าให้เช่าคืนละ 50 บาท
ผมว่าถ้ามากันหลายคนน่าเช่านะ ไม่ต้องแบกมาหรอก
แต่ที่ต้องแบกมาคือแก๊ส ที่นี่ขายกระป๋องละ 80 บาท
ซึ่งปกติเค้าขายกัน 30 กว่าบาท 3 กระป๋อง 100 บาท
พวกหมานแบกมา 3 กระป๋อง ซึ่งไม่พอ(ก็แน่ล่ะ เล่นต้มชาทุกมื้อเลยนี่นา)

ส่วนพวกเครื่องนอนไม่แน่ใจว่าหมอนหรือว่าอะไรสักอย่าง(ขออภัยจริงๆ)
เช่ากับทางร้านค้าจะถูกกกว่าอุทยาน 5 บาท
พอดีผมได้ยินเจ้าหน้าที่บอกเอง
แต่ผมเช่าถุงนอนกับทางอุทยาน คิดคืนละ 30 บาท
ซึ่งผมว่า เช่าแค่ถุงนอนก็พอ กระเป๋าเราเองก็เอามาเป็นหมอนนั่นแหละ;p
ราคาเต้นท์ ถูกสุดคือ 100 แต่จะไม่มีที่กันน้ำค้าง
จากนั้นก็ 150 ที่ผมเช่า ซึ่งกว้างขวางดี นอนหลับสบายเลยล่ะ
มีเต้นท์แบบสำเร็จรูปที่มีการสร้างพื้นไม้ยกจากพื้นหญ้า
นอนได้ 5 คน(หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ เห็นมีเด็กเกือบ 10 คนเข้าไปอัดในเต้นท์นั้น -_-')
คืนละ 500 บาท
พี่แว่นบอกว่า ด้วยความที่มันยกจากพื้นทำให้ลมเข้า
เลยหนาวน่าดูเหมือนกัน ไม่อุ่นเหมือนเต้นท์
ถ้าจะเช่าผ้านวม ผมแนะนำว่าให้เช่าถุงนอนดีกว่านะ
ผ้านวมมันจะลื่นพอนอนแล้วมันจะหลุด
เหมือนเรานอนที่บ้านนั่นแหละ แต่ที่บ้านเราปกติอากาศมันจะไม่หนาวมาก
แต่ที่นี่ช่วงหน้าหนาวอากาศมันหนาวสุดๆ
ถ้าผ้าห่มหลุด ตื่นมาเป็นไข้ได้ง่ายๆ
แถมจะไม่สบายจนเที่ยวไม่ไหว(แย่เลยล่ะ ขึ้นมาขนาดนี้แล้วต้องอดเที่ยว)
แนะนำว่าถุงนอนจะโอเคกว่าครับ
จบวันแรกด้วยการนอน ตอน 4 ทุ่มกว่าๆได้


Create Date : 07 มกราคม 2550
Last Update : 9 มกราคม 2550 23:23:52 น. 2 comments
Counter : 838 Pageviews.  

 
อ่านจบละ ยาวดี

น่าไปจังเลย ชื่อแต่ละที่ แปลกๆจัง
พี่ก็อยากไปภูกระดึงนะ
แต่พี่ว่าสังขารพี่คงไม่ไหวอ่ะ
วัชถึงยอดบ่ายสาม ถ้าพี่ไป คงถึงยอดหกโมงเย็น จบเห่กันพอดี


จริงๆแล้วดื่มชาเนี่ยดีนะวัช ร่างกายมันอุ่นๆดีด้วย
(ตอนแรกยังไม่เห็นคำว่าชา นึกว่าพวกเค้าติดเหล้า แหะๆ )

จริงๆดื่มชาแล้วต้องท้องผูกนี่โนะ


โดย: พี่แข IP: 68.79.27.98 วันที่: 12 มกราคม 2550 เวลา:9:07:13 น.  

 
อ่านไป ฮาไปเป็นระยะ
ให้รายละเอียดได้สมกับคำว่าละเอียดดีจัง อิอิ
เห็นข้าวของแล้วแบบนับถือนะไม่จ้างลูกหาบ
ตอนฉันไปนั้น ก็อาศัยลูกหาบค่ะ
เพราะแค่ตัวเองยังเกือบจะแย่
เหนื่อยแบบสุดๆกับซำแรกและเสียวร่วงกับซำสุดท้ายมั้ง
ที่มันเหมือนกับชันเกือบเก้าสิบ



โดย: cottonbook วันที่: 13 มกราคม 2550 เวลา:21:48:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วัชเจียเหว่ย
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add วัชเจียเหว่ย's blog to your web]