|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
ความข้องของอริยะ
ไม่เพียงปุถุชนเท่านั้นที่ยึดติดอัตตาและหนาไปด้วยกิเลส ..หากใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง "ภูเขาพุทธธรรม" ของท่านอาจารย์พุทธทาส หรือ "ปรัชญาปารมิตาสูตร" คงจะทราบว่าแม้แต่พระอริยะก็ยังมีอวิชชาที่ขจัดไม่หมด ถึงจะไม่ผิดศีลห้าอย่างหยาบเช่นปุถุชนที่ขาดสติรุนแรงได้ในบางครั้ง แต่ก็มีความข้องใจสงสัยอีกหลายๆ อย่าง และถึงกับหลงไปได้เมื่อยึดถือในอัตตาตัวตนขึ้นมา โดยจะเป็นเป็นไปตามระดับความหลงของตัวเองที่ทึกทักเอา อย่าคิดเชียว ว่าอริยะจะรู้อะไรๆ ไปเสียหมด บางท่านที่วิ่งตามกระแสโลกชนิดไม่รู้ตัว แถมมีบริวารคอยปกป้องจนน่าเกลียดก็มีให้เห็นไม่น้อย จะว่าไปแล้ว ก็มีกรณีพูดถึงพระอริยะกันอยู่บ่อยแม้ในพุทธกาลว่า ..อริยะจะรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองเป็นอริยะขั้นใดหากไม่มีฌานอภิญญา คำตอบส่วนใหญ่ก็ปรากฏว่าน่าจะยากอยู่ที่จะรู้ได้ เพราะหากเป็นผู้มากไปด้วยกำลังสมาธิตัดนิวรณ์ได้ง่าย ก็ไม่ง่ายเหมือนกันที่จะเห็นสังโยชน์ที่เหลือ ด้วยกามตัณหาหรือความสะเทือนของจิตรบกวนท่านได้ยาก แม้แต่เรื่องของอายุก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้สับสน เพราะผู้สูงอายุนั้น กามและกิเลสบางตัวมันบางมันเหือดไปตามธรรมชาติเอง แต่ขาดไม่ขาดนั้นยังไม่แน่..
แต่ที่แน่ๆ ขั้นที่รู้ตัวง่ายที่สุดน่าจะเป็นขั้นพระอรหันต์ เพราะความขาดจากกิเลสนั้นมันชัด มันเบา มันไม่เหลือเยื่อใยของยางเหนียวแห่งกิเลส เป็นผู้ขาดจากวิบากกรรมใหม่ทั้งหลาย แม้จะเป็นอรหันต์ประเภทที่ยังมีเวทนาไม่ชัดเท่าประเภทที่ขาดจากเวทนา แต่เวทนาของพระอรหันต์นั้นมันบริสุทธิ์อยู่ในเจตนา
ส่วนอริยะขั้นอื่นๆ นั้น ตัดสินลำบากเอาการ รู้ตัวยากเอาการ ยิ่งอริยะผู้ยังไม่ทำลายอวิชชาให้สิ้นไปทั้งหมด กลับมาหลงตนว่าเป็นอริยะขั้นนั้นขั้นนี้ หรือบางทีถึงกับหลงว่าตนเป็นอรหันต์ ก็กลายเป็นปัญหาที่ผู้อื่นเข้าช่วยได้ยาก ธรรมก็จะไม่เจริญก้าวหน้าต่อเพราะมาติดขัดเอากับความหลงอยู่อย่างนั้น การหลงไปในปัญญา..ทางทิเบตเรียกว่านรกวัชระ คือเป็นนรกสำหรับผู้มีปัญญาแต่เป็นปัญญาทางวิปัสสนูกิเลส เป็นปัญญาที่มีตัวตน มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้
เป็นเรื่องไม่แปลกเลย หากพระอรหันต์ผู้ทำลายกิเลสหมดสิ้นจะประกาศความหมดทุกข์ และแม้แต่ปุถุชนอวดอุตริบางคนจะมากล่าวอ้างว่าตนเป็นอรหันต์ ข้าพเจ้าก็ยังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกต้มตุ๋นพวกนี้ทำเช่นนี้เป็นอาชีพอยู่โดยไม่หวั่นเกรงกรรมเลวอยู่แล้ว
แต่อริยะที่ยังพระเสขะโดยไม่ได้เป็นพระอเสขะ มาประกาศความเป็นอรหันต์นี่ซิ อุแม่เจ้า..!! เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่คาดฝัน.. สมัยก่อน..อ่านภูเขาพุทธธรรม ก็คิดว่าความข้องของพระอริยะน่าจะเกี่ยวกับความสงสัยในข้อธรรมอยู่อีกหลายประการที่ตีไม่แตกกระมัง พอมาสัมผัสประเด็นที่พระอริยะบางท่านลุกมาประกาศความเป็นอรหันต์เอาดื้อๆ ความเข้าใจว่าตัวหมดกิเลสทั้งที่ไม่หมด ซ้ำหาญกล้าป่าวประกาศตัวว่าเป็นอรหันต์นั้น.. นี่ก็ล้วนเกิดเพราะเหตุจากตัวตนเอาเสียทั้งนั้น
ความติดของพระอริยะผู้ไม่ทะลวงฝ่าด่านกิเลสให้หมดไป แล้วยังติดกับดักความเป็นอริยะของตนโดยแทบไม่รู้ตัว คิดแล้วน่ากลัวนัก เพราะขนาดเป็นผู้เข้ากระแสรู้อยู่ว่าตัวตนเป็นมายา ยังหลุดจากตัวตนได้ยาก แสดงว่าเรื่องของอัตตานี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปล่อย แค่รู้ก็ใช่ว่าจะทำได้จริงจัง ต้องมีสติปัญญาและหมั่นภาวนาอยู่มิขาด โดยเฉพาะการสำรวจกิเลสตัวเอง แต่อย่างว่านะ ถ้าเขาเชื่อว่าเขาเป็นอริยะขั้นนั้นขั้นนี้ การเตือนจากผู้อื่นก็คงกระทำได้ยากยิ่ง
ในสมัยพุทธกาล ก็มีอยู่ที่บางท่านมีกำลังฌานแก่กล้ามีฤทธิ์อภิญญาและความสงบรำงับอย่างยิ่ง ขนาดเชื่อว่าตนเป็นอรหันต์จนถูกทดสอบจากใครต่อใครอยู่หลายครา ทั้งฟันแทงเผาไฟและอะไรอีกมากก็ไม่หวั่นไหวเลย จนกระทั่งมีพระรูปนึงเอาส้มเปรี้ยวจี๊ดมาปลอกต่อหน้า ปรากฏว่าท่านน้ำลายไหล จึงรู้ว่าตนนั้นยังไม่หมดไปซึ่งกิเลส
ส่วนใครที่ทึกทักเอาว่าการเข้าไปพบจิตเดิมได้แล้วตัวเองจะเป็นอรหันต์นั้น ไม่สำรวจว่ากิเลสของตนถูกทำลายไปเท่าใด ความติดในความเป็นอริยะนี้ก็ล้วนเป็นเรื่องของอัตตาตัวตนไม่ต่างจากผู้ติดดี ซึ่งยังมีลักษณะของทวิภาวะที่จะสำแดงเดชอีกขั้วออกมาให้เห็นได้ไม่ยากเย็น เมื่อความพึงพอใจถูกกระทบให้เป็นความไม่พอใจ จิตก็จะแสดงความขัดเคืองหงุดหงิดฟุ้งซ่านออกมา ถึงแม้จะกำหนดให้จิตกลับไปอยู่ที่สภาวะปกติได้เร็ว แต่ก็จะเห็นความไม่ขาดสิ้นเชิงของสังโยชน์ตัวเองได้ แต่จะมีปัญญารู้ตัวได้หรือไม่ว่าตัวเองนั้นยังไม่หลุดพ้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้ว และอรหันต์ชนิดแบบนี้คงไม่มีใครอยากเป็น
ดังที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นกิเลสของตนเมื่อออกจากฌาน และทรงทราบว่าภาวะสุขเช่นนั้นอยู่ได้แค่ชั่วคราว ไม่สามารถตัดขาดจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ท่านจึงค้นหาทางที่จะตัดกิเลสโดยราบคาบเป็นทางลัดหรือทางสายเอกสำหรับมนุษย์ คือสติปัฎฐานสี่ แม้แต่อานาปานสติก็อยู่ในฐานสี่นี่เช่นกัน
ผู้ที่ละสังโยชน์สิบ อยู่เหนือลักษณะทวิภาวะแล้วทั้งปวง เป็นผู้ลอยบุญลอยบาปดับขันธ์ปรินิพพาน คงไม่มีใครมาเรียกร้องการทำบุญ และก็คงจะมีแต่หน้าที่สอนสภาวะปรมัตถ์ซึ่งเข้าใจได้ยากเป็นหลัก ที่เหลือคงเป็นเรื่องของจริต แล้วจะเรียบเรียงปรัชญาปารมิตาสูตรส่วนใจความหลักมาแปะ ขอติดไว้ก่อน
Create Date : 04 ตุลาคม 2548 |
|
16 comments |
Last Update : 5 ตุลาคม 2548 11:35:43 น. |
Counter : 1083 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: **mp5** 4 ตุลาคม 2548 21:38:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักดี 5 ตุลาคม 2548 16:00:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: วิริยะ IP: 61.165.194.3 5 ตุลาคม 2548 20:34:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 9 ตุลาคม 2548 2:42:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: 555 IP: 125.27.64.36 29 ตุลาคม 2550 11:43:17 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|