สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
4 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 

ความข้องของอริยะ


ไม่เพียงปุถุชนเท่านั้นที่ยึดติดอัตตาและหนาไปด้วยกิเลส ..หากใครเคยอ่านหนังสือเรื่อง "ภูเขาพุทธธรรม" ของท่านอาจารย์พุทธทาส หรือ "ปรัชญาปารมิตาสูตร" คงจะทราบว่าแม้แต่พระอริยะก็ยังมีอวิชชาที่ขจัดไม่หมด ถึงจะไม่ผิดศีลห้าอย่างหยาบเช่นปุถุชนที่ขาดสติรุนแรงได้ในบางครั้ง แต่ก็มีความข้องใจสงสัยอีกหลายๆ อย่าง และถึงกับหลงไปได้เมื่อยึดถือในอัตตาตัวตนขึ้นมา โดยจะเป็นเป็นไปตามระดับความหลงของตัวเองที่ทึกทักเอา

อย่าคิดเชียว ว่าอริยะจะรู้อะไรๆ ไปเสียหมด บางท่านที่วิ่งตามกระแสโลกชนิดไม่รู้ตัว แถมมีบริวารคอยปกป้องจนน่าเกลียดก็มีให้เห็นไม่น้อย

จะว่าไปแล้ว ก็มีกรณีพูดถึงพระอริยะกันอยู่บ่อยแม้ในพุทธกาลว่า ..อริยะจะรู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองเป็นอริยะขั้นใดหากไม่มีฌานอภิญญา คำตอบส่วนใหญ่ก็ปรากฏว่าน่าจะยากอยู่ที่จะรู้ได้ เพราะหากเป็นผู้มากไปด้วยกำลังสมาธิตัดนิวรณ์ได้ง่าย ก็ไม่ง่ายเหมือนกันที่จะเห็นสังโยชน์ที่เหลือ ด้วยกามตัณหาหรือความสะเทือนของจิตรบกวนท่านได้ยาก แม้แต่เรื่องของอายุก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้สับสน เพราะผู้สูงอายุนั้น กามและกิเลสบางตัวมันบางมันเหือดไปตามธรรมชาติเอง แต่ขาดไม่ขาดนั้นยังไม่แน่..

แต่ที่แน่ๆ ขั้นที่รู้ตัวง่ายที่สุดน่าจะเป็นขั้นพระอรหันต์ เพราะความขาดจากกิเลสนั้นมันชัด มันเบา มันไม่เหลือเยื่อใยของยางเหนียวแห่งกิเลส เป็นผู้ขาดจากวิบากกรรมใหม่ทั้งหลาย แม้จะเป็นอรหันต์ประเภทที่ยังมีเวทนาไม่ชัดเท่าประเภทที่ขาดจากเวทนา แต่เวทนาของพระอรหันต์นั้นมันบริสุทธิ์อยู่ในเจตนา

ส่วนอริยะขั้นอื่นๆ นั้น ตัดสินลำบากเอาการ รู้ตัวยากเอาการ ยิ่งอริยะผู้ยังไม่ทำลายอวิชชาให้สิ้นไปทั้งหมด กลับมาหลงตนว่าเป็นอริยะขั้นนั้นขั้นนี้ หรือบางทีถึงกับหลงว่าตนเป็นอรหันต์ ก็กลายเป็นปัญหาที่ผู้อื่นเข้าช่วยได้ยาก ธรรมก็จะไม่เจริญก้าวหน้าต่อเพราะมาติดขัดเอากับความหลงอยู่อย่างนั้น
การหลงไปในปัญญา..ทางทิเบตเรียกว่านรกวัชระ คือเป็นนรกสำหรับผู้มีปัญญาแต่เป็นปัญญาทางวิปัสสนูกิเลส เป็นปัญญาที่มีตัวตน มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่จะดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้

เป็นเรื่องไม่แปลกเลย หากพระอรหันต์ผู้ทำลายกิเลสหมดสิ้นจะประกาศความหมดทุกข์ และแม้แต่ปุถุชนอวดอุตริบางคนจะมากล่าวอ้างว่าตนเป็นอรหันต์ ข้าพเจ้าก็ยังเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะพวกต้มตุ๋นพวกนี้ทำเช่นนี้เป็นอาชีพอยู่โดยไม่หวั่นเกรงกรรมเลวอยู่แล้ว

แต่อริยะที่ยังพระเสขะโดยไม่ได้เป็นพระอเสขะ มาประกาศความเป็นอรหันต์นี่ซิ อุแม่เจ้า..!! เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่คาดฝัน.. สมัยก่อน..อ่านภูเขาพุทธธรรม ก็คิดว่าความข้องของพระอริยะน่าจะเกี่ยวกับความสงสัยในข้อธรรมอยู่อีกหลายประการที่ตีไม่แตกกระมัง พอมาสัมผัสประเด็นที่พระอริยะบางท่านลุกมาประกาศความเป็นอรหันต์เอาดื้อๆ ความเข้าใจว่าตัวหมดกิเลสทั้งที่ไม่หมด ซ้ำหาญกล้าป่าวประกาศตัวว่าเป็นอรหันต์นั้น.. นี่ก็ล้วนเกิดเพราะเหตุจากตัวตนเอาเสียทั้งนั้น

ความติดของพระอริยะผู้ไม่ทะลวงฝ่าด่านกิเลสให้หมดไป แล้วยังติดกับดักความเป็นอริยะของตนโดยแทบไม่รู้ตัว คิดแล้วน่ากลัวนัก เพราะขนาดเป็นผู้เข้ากระแสรู้อยู่ว่าตัวตนเป็นมายา ยังหลุดจากตัวตนได้ยาก แสดงว่าเรื่องของอัตตานี่ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปล่อย แค่รู้ก็ใช่ว่าจะทำได้จริงจัง ต้องมีสติปัญญาและหมั่นภาวนาอยู่มิขาด โดยเฉพาะการสำรวจกิเลสตัวเอง แต่อย่างว่านะ ถ้าเขาเชื่อว่าเขาเป็นอริยะขั้นนั้นขั้นนี้ การเตือนจากผู้อื่นก็คงกระทำได้ยากยิ่ง

ในสมัยพุทธกาล ก็มีอยู่ที่บางท่านมีกำลังฌานแก่กล้ามีฤทธิ์อภิญญาและความสงบรำงับอย่างยิ่ง ขนาดเชื่อว่าตนเป็นอรหันต์จนถูกทดสอบจากใครต่อใครอยู่หลายครา ทั้งฟันแทงเผาไฟและอะไรอีกมากก็ไม่หวั่นไหวเลย จนกระทั่งมีพระรูปนึงเอาส้มเปรี้ยวจี๊ดมาปลอกต่อหน้า ปรากฏว่าท่านน้ำลายไหล จึงรู้ว่าตนนั้นยังไม่หมดไปซึ่งกิเลส

ส่วนใครที่ทึกทักเอาว่าการเข้าไปพบจิตเดิมได้แล้วตัวเองจะเป็นอรหันต์นั้น ไม่สำรวจว่ากิเลสของตนถูกทำลายไปเท่าใด ความติดในความเป็นอริยะนี้ก็ล้วนเป็นเรื่องของอัตตาตัวตนไม่ต่างจากผู้ติดดี ซึ่งยังมีลักษณะของทวิภาวะที่จะสำแดงเดชอีกขั้วออกมาให้เห็นได้ไม่ยากเย็น เมื่อความพึงพอใจถูกกระทบให้เป็นความไม่พอใจ จิตก็จะแสดงความขัดเคืองหงุดหงิดฟุ้งซ่านออกมา ถึงแม้จะกำหนดให้จิตกลับไปอยู่ที่สภาวะปกติได้เร็ว แต่ก็จะเห็นความไม่ขาดสิ้นเชิงของสังโยชน์ตัวเองได้ แต่จะมีปัญญารู้ตัวได้หรือไม่ว่าตัวเองนั้นยังไม่หลุดพ้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเองแล้ว และอรหันต์ชนิดแบบนี้คงไม่มีใครอยากเป็น

ดังที่เจ้าชายสิทธัตถะทรงเห็นกิเลสของตนเมื่อออกจากฌาน และทรงทราบว่าภาวะสุขเช่นนั้นอยู่ได้แค่ชั่วคราว ไม่สามารถตัดขาดจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง ท่านจึงค้นหาทางที่จะตัดกิเลสโดยราบคาบเป็นทางลัดหรือทางสายเอกสำหรับมนุษย์ คือสติปัฎฐานสี่ แม้แต่อานาปานสติก็อยู่ในฐานสี่นี่เช่นกัน

ผู้ที่ละสังโยชน์สิบ อยู่เหนือลักษณะทวิภาวะแล้วทั้งปวง เป็นผู้ลอยบุญลอยบาปดับขันธ์ปรินิพพาน คงไม่มีใครมาเรียกร้องการทำบุญ และก็คงจะมีแต่หน้าที่สอนสภาวะปรมัตถ์ซึ่งเข้าใจได้ยากเป็นหลัก ที่เหลือคงเป็นเรื่องของจริต

แล้วจะเรียบเรียงปรัชญาปารมิตาสูตรส่วนใจความหลักมาแปะ ขอติดไว้ก่อน…




 

Create Date : 04 ตุลาคม 2548
16 comments
Last Update : 5 ตุลาคม 2548 11:35:43 น.
Counter : 1083 Pageviews.

 

ช่วงนี้หงุดหงิดพวกอริยะบางท่านขึ้นมาอ่ะ..

 

โดย: suparatta 4 ตุลาคม 2548 19:54:33 น.  

 

แวะมาอ่านด้วยครับ...

 

โดย: **mp5** 4 ตุลาคม 2548 21:38:33 น.  

 

 

โดย: ปลาทูน่าในบ่อปลาพยูน 4 ตุลาคม 2548 21:48:31 น.  

 

 

โดย: เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า 4 ตุลาคม 2548 22:54:23 น.  

 



อริยะ บางท่าน ยังละไม่ได้ซึ่งกิเลส

 

โดย: อยู่ไกลบ้าน 4 ตุลาคม 2548 23:25:25 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณสุภาฯ

ไปหงุดหงิดกับใครเหรอคะที่เป็นอริยะ

เรื่องบางอย่างของผู้อื่นก็ยากจะเข้าใจเหมือนกันนะคะ

อย่างเรื่องของรักดี

เชื่อว่า ไม่มีใครเข้าใจแน่นอน

บางครั้งอยากเล่าอยากพูด

แต่ก็เล่าหรือพูดให้เพื่อนๆในที่นี้ฟังไม่ได้อีก

ได้แต่เก็บความชอกช้ำไว้ในใจแต่เพียงผู้เดียวเพื่อให้ผู้อื่นได้มีชีวิตที่เป็นสุข ภาวนาก็แต่ว่า อย่ามาทำร้ายรักดีได้อีก

 

โดย: รักดี 5 ตุลาคม 2548 16:00:55 น.  

 

คุณพี่สุภาฯ

ขอดิก....ด่วนค่ะ
คำศัพท์แยะมาก หนูแปลไม่ออก

 

โดย: มีอมยิ้ม 5 ตุลาคม 2548 19:42:43 น.  

 

แวะมาเยี่ยมจ้ะ

 

โดย: วิริยะ IP: 61.165.194.3 5 ตุลาคม 2548 20:34:51 น.  

 

**mp5**
ปลาทูน่าในบ่อปลาพยูน บล๊อกปลาทูน่า..รอโหลดนานยังไง ก็ไม่มา สงสัยคอมพ์เก่าเกินไป
เ ม ฆ ค รึ่ ง ฟ้ า
อยู่ไกลบ้าน อิจฉาคนได้เที่ยว
รักดี สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
มีอมยิ้ม...
อริยะ มี 4 ขั้น คือโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์
พระอเสขะ หมดกิเลสแล้ว พระเสขะ ยังไม่หมด
จิตเดิม เป็นธรรมชาติแท้ของจิตที่ไม่มีกิเลส บางคนเรียกว่าใจ แล้วเรียกจิตที่ยังมีกิเลสว่าจิต
สังโยชน์ คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ทั้งหลายให้ผูกติดอยู่กับความทุกข์ทําให้ไม่สามารถสลัดหลุดออกมาได้ อันมี ๑๐ ประการ
1.สักกายทิฏฐิ 2.วิจิกิจฉา 3.สีลัพพตปรามาส 4.กามราคะ 5.ปฏิฆะ 6.รูปราคะ 7.อรูปราคะ 8.มานะ 9.อุทธัจจะ 10.อวิชชา

สังโยชน์ 10

 

โดย: suparatta 5 ตุลาคม 2548 20:35:37 น.  

 

ขอบพระคุณคุณพี่สุภาฯ มากนะคะ

ทำให้มีอมยิ้ม มีวิจิกิจฉา ในเรื่องที่แปะไว้ด้านบน


ที่พี่สุภาฯ หลุดหงิด จะเรียกว่า ปฎิฆะ ได้ไหม๊คะ

 

โดย: มีอมยิ้ม 6 ตุลาคม 2548 8:07:21 น.  

 

ไม่ใช่ มีอมยิ้มมี จิ ... ต้องบอกว่า ทำให้ ละ น่าจะถูก

 

โดย: มีอมยิ้ม 6 ตุลาคม 2548 8:09:11 น.  

 

ยังขี้โกรธอีกด้วยง่ะ ถ้าไม่รู้จักธรรม คงฆ่าคนแน่ๆ ........

มีอมยิ้มละวิจิกิจฉาได้ อนุโมทนา ว่าแต่แปลให้หน่อยนะ...

 

โดย: suparatta 6 ตุลาคม 2548 8:41:34 น.  

 

อิอิ


ละความลังเล สงสัย เพราะได้การชี้นำให้ไปอ่านจาก คุณพี่สุภาฯ ไงคะ

 

โดย: มีอมยิ้ม 6 ตุลาคม 2548 10:51:20 น.  

 

ให้เป็นกองหน้าค่ะพี่ ป่ามืดก็ตกนรกมาหลายรอบแล้วค่ะ แต่ก็ไม่เข็ดเสียที เอาเสียหน่อย

1..พระอริยะคือผู้ละ คงไม่หยิบยกตนขึ้นมาตั้งอีก เอามาตั้งอีกก็สมมุติใหม่อีก
2..พระอริยะคือผู้ถ่อมตน คงไม่ใช่วิสัยที่จะประกาศตน เป็นก็เป็นอยู่เงียบๆ

แค่นี้พอนะพี่ นี่ก็หลายกัปแล้วค่ะ

สาธุค่ะ

 

โดย: ป่ามืด 9 ตุลาคม 2548 2:42:27 น.  

 

ขุมที่มีเน็ตด้วย
คุณป่ามืดจะไปไหม...

 

โดย: suparatta 12 ตุลาคม 2548 8:08:30 น.  

 

 

โดย: 555 IP: 125.27.64.36 29 ตุลาคม 2550 11:43:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.