สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
<<
กันยายน 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
14 กันยายน 2548
 
All Blogs
 
ไร้โลกไร้กาลเวลา


น่าแปลกที่พวกเราล้วนดำรงอยู่ด้วยกาลเวลา
นายกอ อยู่ห่าง นายขอ สามนาทีการเดิน หนึ่งนาทีการวิ่ง หรือเศษเสี้ยววินาทีแสง
นายคอ อยู่ห่าง จากแม่ หนึ่งชั่วโมงรถยนต์ สามชั่วโมงรถทัวร์ หรือหนึ่งวันการเดิน..


แม้แต่จะตักข้าวเข้าปาก กว่าจะหยิบช้อนตักข้าวขึ้น เดินทางมาสู่ปาก กว่าจะเคี้ยว กว่าจะกลืนลงคอ ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในระบบของเวลาและการเดินทาง แม้แต่การนั่งอยู่เฉยๆ เวลาก็ยังเคลื่อนไป ดึงให้สังขารนี้ร่วงโรย แก่ และดับสูญ

หรือโลกสมมุติเป็นเพียงโลกของกาลเวลา..?!? เป็นเพียงกระแสของวิบากกรรมแห่งเหตุและปัจจัย สิ่งที่ยังมีเวลาสิ่งนั้นเป็นเพียงสมมุติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เราจะจบขั้นตอนเวลาแห่งสมมุตินี้ได้หรือไม่?? ถ้าไม่สร้างกรรมใดๆ ให้เป็นปัจจัยต่อ…

ถ้าเราเดินทางไปถึงดาวฤกษ์ Pronima Centauri ซึ่งอยู่ใกล้โลกมากที่สุด ด้วยความไวเท่าแสง จะต้องใช้เวลาประมาณ 4 ปี (ห่างจากโลกประมาณสี่ปีแสง)

เวลาซ่อนตัวอยู่ในอวกาศ ดวงดาวต่างๆ อยู่ห่างจากโลกไปตามระยะทางที่ไกลมาก แสงจึงถูกนักวิทยาศาสตร์นำมาใช้เป็นตัววัดคำนวณค่าความห่าง เพื่อใช้วัดระยะดวงดาวที่มนุษย์มองเห็นด้วยตาเปล่า (การใช้แสงเป็นตัววัดระยะทาง เพราะถือว่าแสงมีความสัมบูรณ์ต่อระดับการเดินทาง ซึ่งมีความไวสูงและมีอัตราความเร็วคงที่ ร้อยปีแสงหมายถึงหากเดินทางด้วยความเร็วเท่าแสงจากโลกไปถึงดวงดาวนั้น จะใช้เวลาเดินทางร้อยปี)

ในขณะที่วิทยาศาสตร์พยายามศึกษาค้นหาความจริงเพื่อไขปมแห่งความไม่รู้ออกมา คล้ายๆ ไม่ต่างไปจากศาสนา แต่การค้นหาที่มาของขบวนการการก่อเกิดสรรพสิ่ง ให้ทราบที่มาแห่งชีวิต วิวัฒนาการแห่งชีวิต เพื่อการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษยชาติในวันข้างหน้า กลับเป็นการค้นหาออกนอกตัวไปเรื่อยๆ นับวันจะยิ่งค้นพบความมหัศจรรย์และทวีความรู้รอบแต่ไม่รู้จบ ทฤษฎีใหม่ล้มล้างทฤษฎีเก่าที่เคยถูกเชื่อลงด้วยหลักการณ์ที่เป็นจริงกว่าเดิมเสมอ หรือนี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ของความฝันเท่านั้น..? เราค้นพบชีวิตจริงๆ หรือ?

วิทยาศาสตร์ยังวิ่งกลับไปในอดีตและวิ่งหาอนาคต เพื่อค้นหาวิทยาการมาปรับปรุงชีวิตวันหน้าซึ่งควรจะต้องดีขึ้นมีคุณภาพขึ้น แต่หากอ่านประวัติของอาณาจักรต่างๆ ของมนุษย์ที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน กลับพังพินาศย่อยยับในช่วงรุ่งเรืองถึงขีดสุดทุกที ความโลภของมนุษย์ ไม่เคยอยู่ร่วมประสานกับความรุ่งเรือง และในความรุ่งเรือง กลับมีคนตกยากและความเหลื่อมล้ำมากที่สุดเช่นกัน

บางทีการอยู่ง่ายๆ ไม่มีวิทยาการขั้นสูง อาจทำให้มนุษย์ไม่สามารถทำร้ายกัน และทำลายธรรมชาติ ชนิดพังพินาศสันตะโรก็เป็นได้

ในยุคที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ ศาสนาไม่เพียงก้าวไปถึงโลกหน้า ชีวิตไม่ได้มีเพียงโลกนี้ และรู้หนทาง (มรรค) ที่จะมีชีวิตในโลกหน้า ทั้งยังรู้ว่ามีแต่ผลกรรมที่ติดตัว (ภวังคจิต) ไปได้ทุกชาติภพ ด้วยการกลับเข้าไปค้นหาจิตภายใน ซึ่งเป็นตัวรู้ชนิดไม่มีใครเหมือน รู้แม้กระทั่งการดับเหตุแห่งการเกิด (มรรคมีองค์แปด) ดับกระแสแห่งกาลเวลาลง แต่วิทยาศาสตร์ ยังหลงอยู่ในโลกของกาลเวลา แม้จะพบโลกอื่นๆ ในมิติที่ซ้อนมิติแล้วบ้าง แต่ภพภูมิเหล่านั้นก็ใช่ว่าเป็นจริงที่สุด

ไม่แน่ การที่เราต้องมีชีวิตมนุษย์ สร้างความดีไปเกิดในมิติของภูมิสวรรค์ สร้างความไม่ดีไปเกิดในมิติของภูมินรก ต้องใช้ระยะเวลาตามกระแสสมมุติ แต่ในความจริงแท้ กลับไม่มีเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนเป็นปัจจุบัน (ไม่มีกระแส?)

ศาสนาถอยเข้าสู่สภาวะการค้นพบภายใน ค้นพบอานุภาพพลังงานของจิตที่แยกออกจากกาย ก้าวข้ามกาลเวลาด้วยความสามารถของตัวจิตเอง ซึ่งมีอานุภาพไปเร็วยิ่งกว่าแสง แค่เพียงคิด โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือใดๆ และหากทำได้ ก็ไม่มีวิทยาศาสตร์ที่ไหน จะเทียบความมหัศจรรย์ของจิต ซึ่งเป็นตัวรู้และมีพลังยิ่งกว่าสิ่งใด เพียงแต่..สภาวะเช่นนั้น ยากต่อการเข้าถึง หากจิตไม่นิ่งและไม่มีอินทรีย์แก่กล้าพอ (ไร้กิเลสมายาครอบงำ)

แล้วหากวิทยาศาสตร์ย้อนกลับเข้าไปในจิตใจ ไม่ใช่เส้นเลือด ตับ ไต หัวใจ สมอง แต่เป็นที่จิตใจ แทนการวิ่งออกไปยังอดีตอนาคต จะเกิดอะไรขึ้น? จะค้นพบสภาวะไร้กาลเวลาได้หรือไม่?? คุณภาพชีวิตของมนุษย์อาจหลุดไปจากห้วงฝัน ไม่ใช่แค่รอให้เจริญในยุคลูกหลาน ที่ต่อให้ปรับปรุงพัฒนาล้ำหน้าไปอย่างไรก็คงหนีทุกข์ไปไม่พ้น เหมือนผู้ที่ถูกลูกศรปักอก เขาควรดึงลูกศรนั่นออกก่อน แทนที่จะถามว่าใครเป็นคนยิง ยิงทำไม ยิงมาจากไหน ธนูทำจากอะไร ..ความรู้มาก บางทีก็ไม่ใช่หนทางแห่งความรู้จริง..

หรือความสำคัญอาจอยู่ที่ว่า หากจิตหยุดปรุงแต่งใดๆ ออกไปไกลตัวเรื่อยๆ ความจริงอาจจะปรากฏชัดอยู่แค่ตรงหน้า หากวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถค้นพบจิตใจ ต่อให้พยายามขบคิดไม่หยุด ซึ่งการขบคิดไม่หยุด กลับนำมาซึ่งการเห็นได้แค่เพียงสิ่งที่ฝันไปตามคิดเท่านั้น แม้จะค้นพบความจริงที่ยังอยู่ในโลกของกาลเวลา มันก็ไม่ใช่ความจริงแท้อยู่ดี

ในยุคพุทธกาล ไม่มีวิทยาการล้ำหน้าอะไร แต่คนยุคนั้น กลับก้าวข้ามวัฏฏะ ก้าวข้ามกระแสกาลเวลาไปได้ไม่น้อย... โลกทั้งมวลอยู่ในตัวเราเอง.. ไม่มีโลกไม่มีเวลา..



Create Date : 14 กันยายน 2548
Last Update : 15 กันยายน 2548 19:33:35 น. 16 comments
Counter : 1725 Pageviews.

 


ถ้าไม่มีเรา ก็ไม่มีโลก... รึเปล่า


โดย: rebel วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:14:55:14 น.  

 
จบทางวิทย์มา ก็ยังไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์เลยค่ะ


โดย: ป้ามด วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:14:58:11 น.  

 
ยิ่งก้าวเข้ายุคของเทคโนโลยี คนก็ยิ่งสัมผัสธรรมชาติน้อยลงอ่ะค่ะ ความคิดเปลี่ยน คนเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน โลกมันถึงได้เป็นแบบนี้อ่ะค่ะ


โดย: JewNid วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:16:45:48 น.  

 
เพราะกิเลส เป็นตัวทำให้เกิดโลกวัตถุนิยม..ขึ้นมาทับถมบนหลักการหลุดพ้นด้วยการค้นหาทางสู่นิพพาน


โดย: เกือกซ่าสีชมพู วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:18:47:33 น.  

 
เวลา
เพียงแค่บอกเวลา
หรือเร่งเร้า
ให้เดินตาม

..........จำถ้อยคำคนอื่นเค้ามาอ่ะค่ะ อิอิ


โดย: jan_tanoshii วันที่: 14 กันยายน 2548 เวลา:20:28:42 น.  

 
สาธุ อนุโมทนาค่ะ

..จะว่ามีเวลาก็เหมือนไม่มี จะว่าไม่มีก็เหมือนมี..วัฏฏะของการเกิดดับของสรรพสิ่ง ซึ่งแตกต่างแยกจำแนกกันด้วยเวลา เวลาก็คือการหมุนมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่งของสิ่งหนึ่ง เช่น การเกิดดับของความมืดและความสว่างครั้งหนึ่งเท่ากับหนึ่งเวลา เวลาก็คือการรอบของการเกิดดับ สรรพสิ่งล้วนเกิดและดับ หมุนเวียนอยู่เช่นนั้น

ฝันธรรมนะคะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:19:39:42 น.  

 
เวลาก็คือรอบของการเกิดดับ พิมพ์ผิด ขอโทษค่ะ


โดย: ป่ามืด วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:19:42:21 น.  

 
มาอ่านครับ


โดย: Bluejade วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:19:56:43 น.  

 
เวลาเป็นสิ่งลึกลับจริงๆครับ


ได้ยิมาว่า หลุมดำกลืนได้ทุกอย่าง แม้แต่มิติของเวลา อยากรู้ว่า ถ้าเวลาถูกกลืน ทุกอย่างในจักรวาลจะเป็นยังไง


โดย: พ่อน้องโจ วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:22:30:09 น.  

 
สาธุค่ะ
เวลา อดีต อนาคต งง งัน วุ่นหนอ
มีสติอยู่กับปัจจุบันดีก่า


โดย: กิ่งไม้ไทย วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:22:33:33 น.  

 
หลุมดำ พยายามอ่านอยู่ของฮอว์กิ้ง แต่ยาก.. บางคนว่าเป็นดวงอาทิตย์แรกที่ดับแล้ว
แต่ฮอว์กิ้ง ว่าในแต่ะละจักรวาล จะมีหลุมดำ ..
เคยสั่งเกตตัวเองไหม จะหน้าทิ่มทุกๆ วิ เค้าว่าเป็นแรงดึงของหลุมดำ ไม่ใช่แรงหัวใจเต้น
พูดเรื่องพวกนี้ แล้วเง็งนะ พ่อน้องโจ

เราไม่เคยอยู่กับปัจจุบันได้ ถ้าอยู่ได้เวลาจะดับ
การกำหนด เป็นการกำหนดปัจจุบันสมมุติ คือพยายามจะให้ได้ปัจจุบันที่สุด อาจารย์บอกมานะคุณกิ่งไม้ไทย

..เวลาเป็นรอบเหรอ ??
เวลาก็คือการหมุนมาบรรจบกันอีกครั้งหนึ่งของสิ่งหนึ่ง เช่น การเกิดดับของความมืดและความสว่างครั้งหนึ่งเท่ากับหนึ่งเวลา
เวลาก็คือการรอบของการเกิดดับ หน่วยของเวลาเหรอ..?? นั่นสิ ทำไมจึงมีหน่วยเวลามากมาย เพื่ออะไร..?

ถ้าไม่มีเรา ก็ไม่มีโลก เหรอ..
แต่ต้องดับตัวตนได้นะ จะหลุดจากกฎของธรรมชาติสมมุติบังคับ เข้าสู่ความว่าง (ภาษาอะไรเนี่ย..)



โดย: suparatta วันที่: 15 กันยายน 2548 เวลา:23:07:30 น.  

 
อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตมั่งจัง
พอดีทำผิดไว้เยอะน่ะครับ
:D

(ทฤษฎีสัมพันธภาพที่ว่าด้วยการก้าวข้ามเวลาของอีตาไอน์สไตน์ปวดหัวมากๆ ครับ จำได้ว่าตอนปีหนึ่ง สอบฟิสิกส์เสร็จแล้วอยากอ้วกมากๆๆๆ)

ป.ล. พี่สุภาฯ ครับ
แนะนำว่าสุสานหิ่งห้อยน่าดู
แผ่นดีวีดี (เถื่อน) หาได้ไม่ยาก
สีลม
คลองถม
มาบุญครองก็มีขาย
(ราคาไม่แพงด้วย ถ้าซื้อคลองถมน่าจะ 80 บาทนะครับ ส่วน MBK กะ สีลม แผ่นประมาณ 100 -120)


โดย: it ซียู วันที่: 16 กันยายน 2548 เวลา:17:54:29 น.  

 
แว่ะมาเยี่ยมคับ



โดย: M12 วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:5:49:40 น.  

 
แวะมาเยี่ยม..


โดย: a IP: 218.58.58.74 วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:7:41:41 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณสุภาฯ

งานเขียนวันนี้เข้าใจยากเหมือนกันนะคะ

คิดมากก็ปวดหัวมาก

การค้นคว้าของมนุษย์ไม่มีทางสิ้นสุด

ยังมีอะไรในโลกนี้อีกมากมายที่คนเรายังเข้าไม่ถึง

มนุษย์จึงพยายามหาหนทางไปสู่จุดต่างๆ

แม้แต่การสำรวจจักรวาล มนุษย์ต่างดาว

คนเราๆแบบรักดี คงไม่คิดอะไรมากไปกว่า

การมีชีวิตอยู่ ด้วยการ ทำสิ่งดีๆ

ไม่ทำความชั่วเกินพิกัดในกรอบของศีลธรรมอันดีงาม

เวลาคือโอกาสของคนเราเมื่อยามมีชีวิตอยู่

ว่าเราจะใช้เวลาไปในทางไหน

รัก โลภ โกรธ หลง คงมีบ้าง

แต่ก็คงจะละๆบ้างเมื่อมีโอกาส






โดย: รักดี วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:8:31:58 น.  

 
เคยฟังรายการวิทยุชีวิตกับจักรวาล
เห็นอ.ชัยวัฒน์เคยคุยว่าธรรมหรือธรรมชาติ
ก้าวไกลไปกว่าวิทยาศาสตร์มาก
วิทยาศาสตร์ยังคงศึกษาต่อไปอีกยาวนาน
ยกตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่า
มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกโลกของเรา...



โดย: ฮัลโหล ค่ะ IP: 61.19.59.86 วันที่: 17 กันยายน 2548 เวลา:12:50:17 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.