สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
 
มกราคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
30 มกราคม 2548
 
All Blogs
 
กับ..กู๊ดมอร์นิ่งบางกอก





สำนักพิมพ์นวนิยายบางกอก ได้รวมเรื่องของนักเขียนหลายคน ที่ไปโพสต์เรื่องสั้นไว้ที่เว็บบางกอกแม็ก เพื่อจัดพิมพ์ออกมาเป็นรวมเรื่องสั้น “กู๊ดมอร์นิ่งบางกอก” ซึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของที่นั่น
มีผลงานได้รับคัดเลือกกับเขาด้วยหนึ่งเรื่อง
ชื่อ เล่าเรื่องความรัก

มีรวมสิบสองเรื่องสั้นในเล่ม
ห้องย้อนเวลา โดย วันทา
บางขณะแห่งละคร โดย อัศวิน ม้าไม้
เจ้านายที่รัก โดย สีชมพู
ค่ายิ่งใหญ่..จากสายใยรัก โดย กุลรินทร์
ใครกำหนด โดย ดาวเรือง
ปริศนาการตายในห้องเช่า โดย อุเทน วงศ์จินดา
ลาบนก โดย เดอะแหลม
บ้านหลังนี้ขายด่วย โดย ปีกุน
กลับบ้าน โดย อนันดา
ช่าง.. โดย ส.บุญเรือง
เล่าเรื่องความรัก โดย สุภารัตถะ
อินโนเซ้นท์ โดย ดาร์วิลเดีย





Create Date : 30 มกราคม 2548
Last Update : 10 มิถุนายน 2549 9:57:53 น. 7 comments
Counter : 918 Pageviews.

 
อยากอ่านหนังสือเล่มนี้ค่ะ

ไปถาม คนขายให้เค้าคีย์ในคอมพ์ให้ เค้าบอกไม่มีข้อมูล นักเขียน ชื่อนี้ รักดีเลยงงๆ เค้าบอกให้เขียนชื่อก็เขียนให้เค้าไป เค้าบอกไม่มีอีก

เมื่อคราวก่อนที่ไปซื้อหนังสือ เล่ม ผมคนปกติ รักดีหาตั้งนาน ตาลายไปหมดหาไม่เจอ เลยให้เด็กคนขายช่วยหาให้ เค้าบอกมีเหลือเล่มเดียว

หนังสือของคุณสุภาฯหาซื้อยากเหมือนกันนะคะ

หรือว่าขายไปหมดแล้ว


โดย: รักดี วันที่: 20 กรกฎาคม 2548 เวลา:16:46:33 น.  

 
//bangkokmag.com/story_short/show1.php?id=344

เล่าเรื่องความรัก
โดย สุภารัตถะ

…ความรักของผม ก่อตัวขึ้นฝ่ายเดียวจนคับอกเจียนตาย ครับ.. วันหนึ่ง ก็ตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน อย่างน้อย..ขอให้ได้บอกสุพัตราว่าผมคิดอย่างไรกับเธอ แค่นี้ก็พอใจแล้ว หลังจากแอบรออยู่ที่ทำงานตั้งสามวัน กลับไม่เห็นเธอมาทำงานเลย แปลกใจชอบกล ทำให้ผมเปลี่ยนแผนมาดักรออยู่หน้าบ้านของเธอแทน…

“นั่นไง ออกมาแล้ว” รู้สึกว่าการแต่งตัวของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย สงสัยคิดไปเอง สะกดรอยตามไป เธอเดินแปลกๆ ไปนิดหน่อย สงสัยคิดไปเอง เห็นเธอยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวก่อนเดินเข้าไปในร้าน

“เป็นไง เป็นกัน” ผมคิด แจ้นตามเข้าไปในร้านทันที ถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับเธอ และต้องยิ้มแหยเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมอง ผมเธอยุ่ง หน้ามัน ปากแห้ง แต่เธอก็เป็นคนสวยอยู่ดี เพียงแต่ผมไม่คิดว่า คนซึ่งเคยดูดีตลอดเวลาจะลืมดูแลตัวเองไปชั่วคราวหรือเปล่า?


คิดว่าเธอจะมองผมอย่างระอาเบื่อหน่าย แล้วก็พูดว่า..คุณอีกแล้ว แต่กลับมองผมแล้วยิ้มแห้งๆ ตั้งหน้าตั้งตากินต่ออย่างรวดเร็วจนไม่อยากเชื่อสายตา ว่าคนน่ารักที่ผมแอบเฝ้าชื่นชมจะกินก๋วยเตี๋ยวมูมมามไปเล็กน้อย ต้องพยายามกินให้เร็วทันเธอ เธอสั่งคิดเงินผมสั่งด้วย เธอเริ่มมองมายังผมอย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่เหมือนสายตาแบบเดิมๆ ที่เคยมอง เธอเดินออกจากร้านผมตามประกบ เธอรีบเดินหนีผม ผมกลับรีบเดินตาม เธอวิ่งผมก็วิ่งตาม คราวนี้ดูท่าเธอยิ่งตกใจหนัก วิ่งห้อไม่หยุด ผมวิ่งตามจนซี่โครงบาน ไม่คิดว่าจะวิ่งเร็วขนาดนั้น กว่าจะไล่ทัน ผมกัดฟันเฮือกสุดท้าย..กระโดดคว้าตัวเธอไว้จนล้มลงทั้งคู่ เราทั้งคู่หยุดหอบ รีบจับมือเธอไว้ทันทีที่เราลุกขึ้นยืน เธอสะบัดข้อมืออย่างแรงจนผมตัวชา นึกน้อยใจว่าทำไมถึงรังเกียจกันขนาดนี้ หรืออีกนัยหนึ่งในความคิดผมก็คือ ทำไมแรงเยอะนักวะ..


“วิ่งหนีผมทำไม..” เสียงเครือด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วยังสะบัดมือเสียแรงเชียว

“คุณรู้จักเธอหรือ” เธอละล่ำละลักถามไม่แน่ใจ

ผมหันหน้ามองไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความงุนงง “เธอไหน” สุพัตราพูดถึงเธอคนไหนกัน มองหาดูรอบๆ ตัวอีกที ก็ไม่เห็นมีใครนี่หว่า หรือเธอคิดว่าผมแอบไปชอบใครอื่น เลยเข้าใจผิด..แล้วน้อยใจมาต่อว่าเอา แสดงว่าที่ผ่านมาเธอก็มีใจต่อผมเช่นกัน คิดได้แบบนี้เกิดอาการปลื้มขึ้นมาถึงอก เธอคงเห็นผมไปเดินกับสาวที่ไหนเข้า เลยแอบน้อยใจด้วยความเข้าใจผิด

“ขอโทษที..ผมไม่ทราบ” สุพัตราพูดไปหอบไป

“คิดว่าใครจะมาทำมิดีมิร้ายเสียแล้ว” พูดต่อ หน้าแดงกล่ำด้วยความเหนื่อย ผมชะงักกับสรรพนามที่เธอเรียกตัวเอง คิดว่าหูคงฟาดเพราะกำลังหายใจไม่ค่อยทัน

“คุณรู้จักเธอ เอ้ยฉันเหรอ” มองผมเสมือนขอความมั่นใจ

”ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ” พูดต่อ เมื่อยังเห็นผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก ถึงจะไม่ต้องเสียใจกับพฤติกรรมเดิมๆ ซึ่งเธอเคยทำกับผมเสมอ แต่ก็เสียใจมากกว่า กับอาการขณะนี้ของเธอ หรือเธออาจจะหามุขใหม่มาแกล้งก็ได้เพราะเห็นผมตามตื้อไม่เลิก

“ฉันเสียใจที่ทำให้คุณตกใจ เรารู้จักกันใช่ไหม” ระวังคำพูดมากขึ้น และใช้สรรพนามถูกต้องตามระบบการศึกษาแล้ว แต่ยังพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง คือหมายถึงผมฟังไม่รู้เรื่องนั่นแหละ

“เรารู้จักกันใช่ไหม” พูดเสียงดังขึ้นอีก แต่ผมจับมือเธอมากุมไว้ด้วยความเป็นห่วง

“...ร…ร..เรา เป็นแฟนกันหรือ” อาการเริ่มไม่สู้ดี เมื่อเห็นอากัปกิริยาของผมที่มีต่อเธอ ตาจ้องมาไม่กะพริบ พยายามจะชักมือกลับแต่ผมยื้อไว้ แล้วก็รีบปล่อย เมื่อเห็นเธอรวบรวมพลังที่จะสะบัดอีกครั้ง

“ผู้ชายมาจับมือแบบนี้ไม่ชอบ” ทำท่าเหมือนขนลุก สบถห้วน แต่ไม่นานก็รีบเปลี่ยนท่าทีใหม่ “ดีแล้ว ผมเอ้ย..ฉัน มีอะไรจะคุยกับคุณอีกเยอะเลย” พูดอ่อนหวานขึ้น คว้าข้อมือผมไปด้วยความเร็วและแรง จนต้องเดินไปตามแรงดึงแทบตั้งตัวไม่ติด


“คุณชื่ออะไร..” ถามจู่โจมรวดเร็ว ทำเอาผมยิ่งสับสนแม้จะทำใจแล้วบ้าง อดคิดไม่ได้ว่า เธอลืมกระทั่งชื่อผม ผู้ร่วมงานที่ตามจีบเธอมาสองปีอย่างอดทนแม้จะได้รับแต่ความรังเกียจตอบกลับก็ตาม แต่เมื่อทบทวนพฤติกรรมตลอดคืนนี้ของเธอ คงต้องทำใจให้ไม่แปลกใจแล้ว

“ผม…ปัญญา เราคบกันมาสองปีแล้วนะครับ” เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส เมื่อสังเกตว่าเธอคงเพี้ยนจริงไม่ได้แกล้งอำผมเล่น

“ดี..” พยักหน้ารับรู้ “คุณต้องช่วยผมเอ้ย.. ฉันอีกมาก”

ผมเริ่มขมวดคิ้ว ท่าทางจำอะไรไม่ได้ของเธอน่ะไม่เท่าไหร่หรอก เมื่อเปรียบเทียบกับอาการเพี้ยนที่เรียกตัวเองราวกับเป็นใครอีกคน

“ปัญญา คุณต้องช่วยฉัน นะ…....คะ” เธอพยายามใส่คำว่าคะ ถึงจะไม่เหมือนเดิม แต่อาจเป็นการพยายามพูดเพราะต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ผมพยักหน้ารับคำข้อร้องนั้นด้วยความเห็นใจ

“คือว่า…” เธอเริ่มต้น “ฉันเกิดอุบัติเหตุรถชน อ้า..คือ..ไม่เป็นอะไรมาก…หรอก..ค่ะ..แต่ว่าจำอะไรไม่ได้เลย”

ผมตกใจ แล้วก็หายสงสัยฉับพลัน “นั่นไง !! ถึงว่า..ทำไมอาการเธอดูแปลกๆ เพี้ยนๆ แบบนี้” เธอหมุนตัวให้ผมดูสองรอบเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ

“คือไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก แต่จำอะไรไม่ค่อยได้……ค่ะ” เธอย้ำ


ผมแปลกใจ ไม่เห็นมีข่าวอะไรรู้ถึงบริษัทเลย เธอบอกว่าขอร้องทางบ้านไว้ และยังไม่ได้บอกสาเหตุในการหยุดงาน

“คู่กรณีกับดิฉันยอมความกันได้”

“ทั้งๆ ที่คุณจำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้หรือ” ผมงงสุดๆ

“ก็คู่กรณีไม่ทราบ”

“แล้วคุณช่วยเหลือตัวเองอย่างไร แก้ไขสถานการณ์อย่างไร ทำอะไรยังไงกันนี่” ถามรัวด้วยความงุนงงสงสัย

“ฉันไม่เป็นไรมาก หมดสติไปแป๊ปเดียวก็ฟื้น ดูบัตรประชาชน แล้วก็กลับบ้าน” เธอตอบซื่อ แต่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยกับสิ่งที่เธอเล่า

“ต่างฝ่าย ต่างไม่เอาความกัน เพราะไม่รู้ว่าใครผิด ก็เลยแยกย้ายกันกลับ” เธออธิบาย “ฉันไม่รู้จักคู่กรณี และไม่ติดใจขอรายละเอียดอะไรไว้ด้วย” ถึงผมจะรู้สึกว่าไม่มีน้ำหนักในเหตุผลนัก แต่คิดเอาว่าเพราะเธอคงเพี้ยนเมื่อฟื้นจากอุบัติเหตุ โดยคู่กรณีก็ไม่ทราบ แถมไม่มีใครอยู่ด้วย ก็เลยทำอะไรแปลกๆ แบบนี้ และคิดในแง่ดีว่า ผมเองคงจะช่วยคืนความทรงจำให้เธอได้ รวมถึงจะได้สร้างความจำใหม่เกี่ยวกับตัวผม ซึ่งจะกลายมาเป็นคนรักสุดสวีทของเธอโดยปริยาย

คราวนี้ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายจูงมือเธอเดินไปส่งที่บ้านอย่างมีความสุข เธอให้จูงแบบเลยตามเลย ผมเริ่มรื้อความทรงจำของเธอเกี่ยวกับตัวผมโดยถือโอกาสสร้างขึ้นมาใหม่เองเสียเลย


“เราคบกันมาสองปีแล้วครับ ไปกันได้ดี และคืนนี้ ผม..แบบว่าจะมาเซอร์ไพรส์คุณ”

“เรื่องอะไรครับ เอ้อค่ะ”

“เรื่องวันเกิดของคุณ” นึกมุขแทบไม่ทัน

“แต่…ในบัตรประชาชนไม่ใช่วันนี้” ตอบแปลกใจ แต่ผมแปลกใจกว่า ที่เธอดูวันเกิดจากบัตรประชาชน สักพักก็ระลึกได้ว่า เธอพยายามหาข้อมูลตัวเองอยู่เช่นกัน

“แต่จริงๆ เป็นวันนี้ครับ” รีบแก้ตัวก่อนเธอสงสัย “คุณเคยบอกผมไว้ ส่วนในบัตรคงเป็นตามวันที่คุณแม่คุณแจ้งไป” เธอมีสีหน้าว่าเข้าใจ

“คุณมีของขวัญจะให้เธอหรือครับ” พูดใจลอย ส่วนผมพยายามทำความคุ้นเคย กับสำนวนที่เธอพูดราวตัวเองเป็นอีกเพศหนึ่ง และกล่าวถึงตัวเองเหมือนเป็นบุรุษที่สาม

“ไม่มีของขวัญหรอกครับ แต่..แต่ว่า คือผมตัดสินใจจะมาสารภาพรักกับคุณให้ได้คืนนี้”พูดความจริงด้วยความลืมตัว แย่ชะมัด..เมื่อผมคิดได้

“ก็เป็นแฟนกันอยู่แล้วนี่ครับ..ค่ะ” เธอสงสัย และคงเริ่มรู้สึกว่าผมเองก็เพี้ยนๆ ไม่แพ้เธอ สักพักเหมือนคิดได้ จึงรีบถามผม “เราคงยังไม่มีอะไรกันใช่ไหม”

“ยะ..ยังครับ” ผมตกใจตั้งตัวไม่ทัน ทั้งที่อยากตอบว่ามี พอรู้ตัวก็สายไปแล้ว

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว” ปรายตามองผมที่แอบฉวยโอกาสเข้าโอบเอวเธอขณะเดิน

“ช่วยเอามือออกไปที ถ้าไม่อยากถูกต่อย” เธอพูดจริงหรือเปล่าไม่ทราบ แต่ผมรีบชักมือกลับ รู้สึกแหยง

“ผมเห็นใจคุณ” กล่าวจบ เอามือตบไหล่ผมเบาๆ แต่ผมเริ่มเบื่อ นึกอนาถตัวเอง ไม่รู้จะมาไม้ไหนกับผมบ้าง ทั้งเรื่องสรรพนาม การพูดคุย ท่าทางต่างๆ ไม่รู้ใครกันแน่ที่จะบ้า..


เราเดินกันไปเรื่อยๆ เธอพยายามซักประวัติตัวเองให้มากที่สุดจากผม ส่วนผมก็พยายามป้อนข้อมูลตัวผมให้มากที่สุดเช่นกัน บอกว่าเรื่องระหว่างเธอกับผมนั้น ที่บ้านเธอยังไม่ทราบ สลับกับเรื่องของเธอที่ทำงาน และเรื่องที่บ้านเธอซึ่งผมไม่รู้อะไรมาก ท่าทางเธอผิดหวัง

“ไม่เป็นไร ผมพอทราบบ้างแล้วสำหรับเรื่องที่บ้าน” เธอกล่าว ผมแนะนำว่าอย่างไรก็ควรใช้สรรพนามเรียกตัวเองให้ถูกและให้คล่อง เธอตอบว่าขอบคุณครับ


เธอพาผมไปแนะนำกับทางครอบครัวของเธอ ซึ่งมีพ่อแม่และน้องสาวให้รู้จัก เล่นเอาทุกคนมีอาการช็อครอบสอง ผมเห็นใจ เพราะคงไม่ต่างจากผมนัก ที่จะต้องมารับรู้อาการอันแปลกไปของสุพัตรา แถมยังจะต้องมารู้จักบุคคลแปลกหน้าในฐานะคนรักของลูกสาวตอนเพี้ยนนี่อีก

“คือเธอไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ที่บ้านทราบ” คุณแม่เธอพูดราวกับว่าทำไมตัวเองยังไม่พ้นไปจากฝันร้ายบ้าๆ นี่เสียที

“ผมเสียใจมากครับ สำหรับเรื่องที่เกิดกับน้องสุ” ตีหน้าตาย “ความจริงคุณสุก็พยายามชวนผมมาเที่ยวที่บ้านหลายครั้ง แต่ผมไม่ค่อยว่าง พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบนี้ ก็เลยอยากเข้ามาช่วยดูแลเธอแบบเต็มที่เลยนะครับ” ผมกล่าวอย่างมีเหตุผล ทำให้ทุกคนสบายใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก โดยเฉพาะคุณแม่ รีบฝากฝังให้ผมช่วยดูแลเธอด้วยความโล่งใจทันที

“คุณจะรับกาแฟไหม” สุพัตราถาม ผมดีใจสุดขีดที่อะไรๆ ก็พลิกความคาดหมายในคืนที่จะมาสารภาพรักกับเธอ สวรรค์ช่างเป็นใจไปเสียหมด แถมได้เข้ามาใกล้ชิดกับครอบครัวของเธอด้วยความยอมรับของทุกคน ผมเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า ที่พอใจกับสุพัตราคนใหม่คนนี้…

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เธอโทรไปลางานต่ออีกห้าวัน โดยแจ้งว่าได้รับอุบัติเหตุแต่ไม่เป็นอะไรมาก ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าเธอจำอะไรไม่ค่อยได้ ผมถือโอกาสมาทำหน้าที่ดูแลและฟื้นความจำให้เธออย่างมีความสุข เธอรับรู้ข้อมูลได้เร็วคล้ายๆ กับการจดจำมากกว่าฟื้นความจำ แน่นอน ผมใส่ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับตัวผมลงไป พ่อแม่ของเธออยากให้ลางานระยะยาวเพื่อพักผ่อน แต่เธอยืนยันว่าไปทำงานได้


ระหว่างนี้ ผู้ที่เริ่มรู้ข่าวจากบริษัท ทยอยมาเยี่ยมเยียนเธอ ซึ่งมีผมรับหน้าที่คอยแจกแจงว่าใครเป็นใคร บอกเพื่อนๆ ร่วมงานว่าความจำของเธอสูญหายไปบางส่วน และกำลังฟื้นความทรงจำอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกับนายเกรียงไกร ศัตรูหัวใจตัวฉกาจของผมก็รีบมาทำคะแนนต่อ แต่ถูกผม ใส่ข้อมูลใหม่ว่าเป็นคนที่เธอไม่ชอบนัก แม้จะไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองดำเนินไปขนาดไหน และเห็นนายเกรียงไกรคอยตามตึดหนึบสุพัตราอยู่ก็ตาม แต่หมอนี่เจ้าชู้ ปากหวาน มีผู้หญิงหลายคนหลงคารมโดยไม่รู้ตัว


สุพัตรามาทำงานด้วยท่าทางตั้งใจเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นของใหม่ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกๆ ไปบ้าง โดยเฉพาะเรื่องผมซึ่งสุพัตราให้การยอมรับนั้น เป็นที่ถูกสงสัยและถูกโจษจันอย่างเห็นได้ชัด เพราะก่อนหน้านี้ใครๆ ก็รู้ว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าผมนัก ทว่าตอนนี้ เธอกลับบอกใครๆ ว่าคบกับผมมาสองปีแล้ว แน่นอน นายเกรียงไกรคงจะฉุนผมมากกว่าใคร แต่ถือเสียว่าสวรรค์เปิดทางให้ผมก็แล้วกัน คงเล็งเห็นกระมังว่าผมเป็นคนดีกว่าไอ้หมอนั่น จึงประทานโอกาสมาให้ เมื่อเป็นดังนี้ มีหรือที่ผมจะยอมห่างเธอ และดูเธอก็ต้องการความช่วยจากผมเช่นกัน ถึงจะดูเหมือนเพื่อนมากกว่าแฟนก็เถ่อะน่า..


ผมคอยรับส่งและดูแลเธอทุกอย่าง กุว่า..มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว แม้ที่บ้านเธอจะไม่รู้ก็ตาม และเมื่อไหนๆ ตอนนี้ก็รู้แล้ว เลยถือวิสาสะเข้าไปส่งเธอถึงในบ้านด้วย ทำตัวสนิทสนมกลมเกลียวกับคนในบ้านจนคุ้นเคย เธอว่าดีเหมือนกันที่มีผมคอยช่วยเหลือ ลำพังเธอคนเดียวรู้สึกเหนื่อยและจับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก แม้ท่าทางเธอจะดูเข้มแข็งกว่าสมัยก่อนมาก พูดก็น้อยลง ไม่ค่อยเข้ากลุ่มเพื่อน จนเพื่อนๆ หญิงของเธอเริ่มงอนใส่ บ่นว่าเธอเปลี่ยนไป แถมยังมามีผมคอยดึงเธอออกไปจากกลุ่มเพื่อนเสียอีก


“คุณคงหนักใจเรื่องงาน” ถามเพราะสังเกตเห็นว่าเธอมีท่าทางกังวลและเหน็ดเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนสุพัตราคนก่อน ซ้ำยังมีผมคอยคุมแจอยู่จนคนอื่นหมั่นไส้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ใช่ เธอบอกว่างานเรื่องเล็ก แต่มีเรื่องอื่นต้องจัดการ มันเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่า..

“ถ้าคุณจะกรุณาช่วย ฉันอยากไปเยี่ยมคนเจ็บที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เขาเป็นเพื่อนฉัน” เธอบอกเรื่องกังวล ผมรีบตอบรับ ไม่ซักถามรายละเอียด ก็ไม่อยากทำให้เธอหนักใจนี่ครับ

เรานัดวันไปเยี่ยมเพื่อนเธอ ระหว่างทางแวะห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้อของและดอกไม้ไปเยี่ยมคนเจ็บ ดูเธอเก้ๆ กังๆ ในการเลือกซื้อของไม่แพ้ผม ตลกชะมัด ที่โรงพยาบาล เธอคุยกับหมอหน้าเครียด ดูเหมือนคนไข้เพิ่งออกจากห้องไอซียู เข้าพักห้องพิเศษ อาการยังน่าวิตก

พยาบาลที่คอยดูแล บอกว่าญาติคนไข้เพิ่งกลับไป ผมเห็นสุพัตราตัวสั่นเทา ค่อยๆ เดินไปข้างเตียงผู้ป่วยอย่างหมดแรง ผมเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงดี แต่ยังสงสัยอยู่ว่าคนเจ็บคนนี้เป็นใคร เกี่ยวข้องกับเธออย่างไร เห็นเธอจับมือคนไข้อยู่เนิ่นนาน ผมรีบตามไปคุมเชิง

คนเจ็บเป็นหนุ่มอายุประมาณสามสิบต้นๆ หน้าตาหมดจด ไม่อยากใช้คำว่าดูดีหรือหล่ออะไรทั้งสิ้น เหมือนตัวเองจะมีอาการตึงๆ มากกว่าอาการสงสัยเสียแล้ว พิษหึงมันคงจะขึ้นหน้า คนเจ็บค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีหยาดน้ำตาค่อยๆ รินไหลอาบแก้ม “ขี้แยชมัด” ผมทั้งเขม่นและหมั่นไส้ สุพัตราบีบมือเจ้าหนุ่มนี่ไว้ด้วยความไม่สบายใจ


“ไม่ต้องกังวล ผมจะจัดการทุกเรื่องให้เรียบร้อย ผมพาใครมาด้วย คุณคงอยากพบ” เธอกระซิบบอกหมอนั่น มองมาทางผมเป็นนัยว่าให้เข้าไปใกล้ๆ คนเจ็บ แต่ผมไม่ยอมขยับตัว

“ฉันชวนปัญญามาเยี่ยมคุณ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ส่วนผมมองคนไข้คิ้วขมวด

“อยากพบผมเรื่องอะไร” ผมคิด เห็นเจ้าหนุ่มนั่นหันไปมองสุพัตราแบบงุนงงเช่นกัน

เธอเองก็เริ่มงง แต่เจ้าหนุ่มนั่นยังพูดอะไรไม่ได้เพราะใส่เครื่องช่วยหายใจไว้

สุพัตราหันมาทางผม แนะนำว่าเพื่อนของเธอชื่อสุภัทร ผมสนเท่ห์ สงสัยว่าคนความจำเสื่อมอย่างเธอ ทำไมจำนายสุภัทรคนนี้ได้

“ไม่รู้ซิ ฉันจำได้แต่คุณสุภัทรที่กำลังนอนป่วยคนนี้ได้อยู่คนเดียว” ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ส่วนผมเหมือนดินถูกกำปั้นทุบ

“และฉันต้องจัดการอีกหลายเรื่องให้เรียบร้อย เพราะเขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน” พูดทั้งน้ำตาคลอหน่วย เป็นครั้งแรกในช่วงหลายวันมานี้ที่เห็นเธอร้องไห้ ผมตกใจจนไม่กล้าซักต่อ รีบเดินเข้าไปหาคนไข้แต่โดยดี บีบมือของเขาไว้ พยายามถ่ายทอดพลังทั้งหมดในตัวผมให้เขาไป ดูเหมือนเขาจะรับรู้ได้ ชั่วขณะหนึ่ง ผมรู้สึกว่าช่างรักเจ้าหนุ่มนี่มากมายเสียเหลือเกิน

“คุณคงอยากเจอทุกคนที่บ้าน ผมจะพยายาม” เธอกล่าวกับคนเจ็บก่อนจะจากมา ผมพิศวง คิดว่าญาตินายสุภัทรมาเยี่ยมเขาไปแล้วเสียอีก ก็เห็นนางพยาบาลบอกไว้เช่นนั้น


“เขาไม่มีใครมาเยี่ยมดูแลหรือครับ” ผมถามเธอ

“มีค่ะ ก็มีคุณแม่กับน้องชายอีกสองคน” เธอตอบเหมือนรู้จัก ผมแสนสับสน ตกลงว่ามีญาติมาเยี่ยมหรือยังกันแน่?

“ดูสนิทกันนะครับ หมายถึงคุณกับ…” ผมทัก เพราะดูเธอรู้เรื่องนายสุภัทรและญาติพอสมควร ทั้งที่ความจำเสื่อม

“อืม..คุณแม่คงเสียใจมาก” เหมือนรำพึง “โชคดีน้องชายคนโตทำงานแล้ว คนเล็กยังเล็กมากเพราะเพิ่งขอมาเลี้ยง ยังเล็กและซนมาก ฉลาดและน่ารัก” พูดยิ้มๆ “คุณแม่คงไม่เหงา” เธอเรียกคุณแม่ของสุภัทรได้อย่างสนิทใจ

วันรุ่งขึ้น ผมมีงานยุ่งเป็นพิเศษ สังหรณ์ใจชอบกลกับท่าทางนายเกรียงไกร ที่คอยจับจ้องผมอยู่เหมือนจะหาโอกาสอะไรสักอย่าง พอเคลียร์งานได้ช่วงบ่าย ต้องใจหายวาบที่ทั้งนายเกรียงไกรและสุพัตราหายไปพร้อมกัน ผมตามหาด้วยใจระทึก ได้ยินเสียงเหมือนชายหญิงคุยกันอยู่มุมตึก


“ผมไม่เข้าใจสุ ทำไมจู่ๆ คุณก็เลือกไอ้เบื้อกนั่น”

“ผมไม่ใช่ไอ้เบื้อกสักหน่อย” แสนระอา กลัวว่าหมอนี่จะเปิดโปงผมมากขึ้น

“คุณปัญญานะเหรอ” สุพัตรางุนงง

“ก็ใช่นะซิ แล้วทำไมไม่เลือกผม”

“ทำไมไม่เลือกคุณ” น้ำเสียงราวไม่เข้าใจเหมือนกัน

“ในที่สุดคุณก็เลือกมัน แล้วคุณทำเหมือนให้ความหวังผมทำไม” ท่าทางโมโหมาก แต่ผมนึกไม่ออกว่าสุพัตราไปให้ความหวังเขาตอนไหน หลงตัวเองฉิบ..

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณสุเขาเลือกใคร” พูดอย่างเหลืออด “แต่ฉันเลือกนายปัญญา เพราะสถานการณ์มันบังคับ ที่สำคัญฉันมีเวลาน้อย” พูดไม่จบดีเธอก็วิ่งออกไป

“คุณจะบ้าไปแล้วหรือ” เขาตะโกนไล่หลัง แต่ไม่ได้วิ่งตาม คงสำนึกแล้วว่าสุพัตราเพี้ยนกว่าที่คิดก็ได้ และไม่เป็นการดีแน่หากจะมีแฟนไม่เต็มเต็ง เขาเองก็ยังมีผู้หญิงให้เลือกอีกหลายคน แต่ที่น่ากลัวสำหรับผมก็คือ สุพัตราคงเริ่มระแคะระคายเรื่องที่ผมแต่งขึ้น จริงดังคาด..เธอตามหาผม จบเห่กัน !!


“คุณโกหก” เธอระบายใส่ด้วยความโกรธ

“ก็ผะผมรักคุณนี่ ระระรักมานานแล้วด้วย” ผมตะกุกตะกัก ไม่อยากให้เธอโกรธ

“ก็วันนั้นหละที่ผมจะไปสารภาพรักกับคุณ” ท่าทางน่าสงสาร

“รักสุพัตรามากเหรอ” ได้ผล เธอชะงัก “ตอนนี้ผมพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้าง ถ้ารักเธอ อยากบอกเธอ คุณก็มีโอกาสเหลือน้อยเต็มที” กล่าวอย่างเห็นใจ ผมใจหายวาบ

“ไม่นะสุพัตรา ผมรักคุณจริงๆ คุณอย่าไปเชื่อนายเกรียงไกร มันเจ้าชู้จะตาย คุณอย่าไปคบกับมันนะ คุณไม่คบกับผมก็ได้ แต่คุณอย่าไปเลือกมัน” ออกอาการพร่ำอย่างไร้สติ

“ไม่หรอกฉันจะไปชอบนายเกรียงไกรได้ยังไง แต่ฉันอยากช่วยคุณนะ” ผมฟังเธอด้วยความไม่เข้าใจ “แต่คุณต้องช่วยฉันก่อน ช่วยฉันชวนคุณพ่อคุณแม่และน้องไปเยี่ยมสุภัทรให้ได้” เธอบังคับ


เราช่วยกันพูดหว่านล้อมต่างๆ นานา บอกว่าสุภัทรเป็นเพื่อนซึ่งสนิทที่สุดของเราทั้งสอง อยากให้คุณพ่อคุณแม่และน้องไปเยี่ยมเขา ทุกคนอาจประหลาดใจ แต่ไม่กล้าถามอะไรต่อ เพราะการปฏิเสธคนใกล้ตาย คนไทยไม่นิยมกระทำอยู่แล้ว


พวกเราไปเยี่ยมสุภัทร ท่าทางเขาดีขึ้นมาก เมื่อเห็นคุณพ่อคุณแม่และน้องของสุพัตรา ส่วนสุพัตราก็ดูสนิทสนมกับญาติของสุภัทรมาก เธอมักจะชอบเล่นกับน้องของเขาอย่างสนิทสนม ผมตื้นตันใจกับภาพที่เห็นจนน้ำตาไหลพราก สุพัตราบอกว่าเหลือเวลาน้อยลงทุกวัน เธอช่างเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก ซึ่งก็ดูสมควรไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้


แม้ช่วงนี้จะหมดเวลากับสุภัทรไปเป็นส่วนใหญ่ แต่เธอก็ยังรับผิดชอบการงานเป็นอย่างดี ผมเองก็พลอยมีพฤติกรรมเหมือนเธอไปด้วย ความคืบหน้าระหว่างผมกับสุพัตราผมไม่ทราบ ทราบแต่ความคืบหน้าระหว่างเรากับนายสุภัทรแทน เธอมาเปิดเผยความจริงทีหลังว่า สุภัทรเป็นคู่กรณีซึ่งเกิดอุบัติเหตุกับเธอ แต่ไม่มีใครรู้ แม้แต่ครอบครัวของสุภัทร ทุกคนก็คิดว่าเขาขับรถชนเสาไฟหล่นลงข้างทาง

“สุพัตราต่ะหากที่ขับรถชนด้านหลังอย่างแรง ทำให้รถของสุภัทรพุ่งเข้าชนเสาไฟแฉลบตกลงข้างทาง” เธอแอบบอกผม มิน่าล่ะ ถึงทำตัวรับผิดชอบขนาดนี้ ผมช่วยปิดเรื่อง เพราะกลัวเธอเดือดร้อน แค่ที่เพี้ยนแบบนี้..ก็หนักพอดูอยู่แล้ว

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

และในวันที่ทำให้ชีวิตรักของผมต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็มาถึง เย็นวันนั้น สุพัตราหายไปหลังเลิกงานโดยไม่บอกกล่าว ถามใครในบริษัทก็ไม่มีใครทราบ ผมนึกถึงโรงพยาบาล สุภัทรอาจจะเป็นอะไรกะทันหันหรือเปล่า เธอคงมาตามหาผมช่วงที่ไม่อยู่จึงรีบไปก่อน แค่คิดก็รู้สึกเป็นห่วงคนทั้งสองมาก เลยรีบตามไปทันที

ผมไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าห้องคนเจ็บ ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะเดาถูก เธออาจไม่ได้มาที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนคนเจ็บที่อาจกำลังหลับอยู่เสียเปล่าๆ จึงค่อยๆ ย่องเข้าไป การเดินเบาอย่างเงียบกริบ คนในห้องจึงไม่รู้ว่ามีใครกำลังเดินเข้ามา ได้ยินเสียงสุพัตราพูดคุยกับสุภัทรซึ่งเอาเครื่องช่วยหายใจออกแล้วอยู่เบาๆ ผมหยุดอยู่ไม่ได้ตั้งใจฟัง แต่ก็กลับกลายเป็นการแอบฟังอย่างไม่ตั้งใจ

“คุณเหลือเวลาอีกวันเดียว” พูดอย่างอ่อนโยนกับสุภัทร ทำให้ผมเศร้าจนลืมคิดว่าเธอรู้ได้อย่างไร

“ฉันฝากคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวด้าวนะคะ” สุภัทรพูดด้วยสำนวนแปลกไม่แพ้กัน น้ำเสียงแหบเครือ เล่นเอาผมสับสนจนสติแทบขมวดปม

“คงไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว” เขาพูดต่อ

“ผมเสียใจ” สุพัตราเสียงสั่น “คุณปัญญาท่าทางรักคุณมากนะ” เธอบอกเขา ทำเอาผมสะดุ้งโหยง

“คงใช่ค่ะ ฉันเสียใจที่เคยทำไม่ดีกับเขาไว้” สุภัทรตอบเสียงแห้ง

“คุณคงไม่ได้ชอบเขา” เธอถาม

“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้” เขาตอบ

“เขาหลอกผมว่าเป็นแฟนคุณ แต่ก็น่าสงสาร ถ้าเขาจะไม่ได้พบคุณอีก” สุพัตรามีท่าทีเห็นใจ เมื่อคิดถึงผม


ผมหน้าแตกยับ ที่สำคัญ เริ่มเอะใจว่า สองคนนี้น่าจะสลับสมองกัน หรือว่าพวกเขาจะสลับวิญญาณช่วงเกิดอุบัติเหตุ แต่ใครจะเชื่อเรื่องพวกนี้ ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ !!!


“ความจริงฉันเป็นคนที่หมดอายุขัย ฉันต่างหากที่ต้องขับรถชนเสาไฟฟ้าและถึงที่ตาย แต่กลับชนท้ายรถคุณแทน ทำให้ร่างกายของคุณเสียหายมาก และคุณต้องฟื้นขึ้นมาในร่างของฉันแทน ฉันต้องอ้อนวอนขอร้องเขา ขอเวลาอยู่ในร่างคุณ เพื่อพบพ่อแม่และน้อง”

“แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณ”

“ขอบคุณนะคะสำหรับการช่วยเหลือ ไม่เกินพรุ่งนี้เที่ยงฉันคงต้องไปแล้ว ขอโทษนะคะ คุณคงอยากกลับเข้าร่างคุณมากกว่า ฉันเสียใจมากค่ะ”

“มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย…พวกเขาผิดพลาดกันเอง ผมก็ไม่คิดเลยจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในชีวิตของผม เขาจะให้ผมดื่มน้ำลืมความจำ แต่ผมไม่อยากเป็นสุพัตราที่ความจำเสื่อม ผมขอเป็นสุภัทร จะได้จัดการเรื่องส่วนตัวต่างๆ ให้เรียบร้อย แม้จะอยู่ในร่างของคุณก็เถ่อะ”

“เขาคงต้องยอมนะคะ เพราะเป็นความผิดพลาดของพวกเขาเอง ส่วนฉันทำใจได้แล้วค่ะ คิดเสียว่าทำบุญมาแค่นี้ สงสารก็แต่คุณ…”


ผมฟังสุพัตราในร่างสุภัทรที่น้ำตานองหน้า เริ่มลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างเข้าใจ ความรักของผมจะดำรงอยู่ได้แค่อีกวันเดียวหรือนี่ เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง ทั้งสองมองมาอย่างตกใจ ผมสารภาพว่าได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วและขอโทษที่แอบฟัง เดินเข้าไปจับมือสุพัตราในร่างสุภัทรไว้แน่นด้วยความห่วงใย มือใหญ่จนจับไว้ไม่หมด สุภัทรในร่างสุพัตราตบไหล่ผมอย่างเห็นใจก่อนเดินเลี่ยงออกไป ให้ผมได้อยู่กับสุพัตราตามลำพัง


“ขอบคุณค่ะ คุณดีกับฉันมาก” เสียงผู้ชายของร่างสุภัทรที่สุพัตราใช้อยู่ ทำเอาผมเก้อ แต่ก็รู้ว่านี่คือสุพัตรา ผมกุมมือเธอในร่างเขาเอาไว้

“ยังอยากบอกรักฉันไหมคะ”

“บอกครับ” เธอในร่างเขายิ้มรับ เป็นรอยยิ้มของสุพัตราจริงๆ ผมอยู่กับเธอจนดึก ไม่อยากกลับบ้านเลย เพราะรู้ว่าจะมีเวลาอีกแค่เที่ยงพรุ่งนี้ แต่เธอบอกให้กลับไปพักผ่อน


สุภัทรในร่างสุพัตราเดินโอบไหล่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมยินยอมแต่โดยดี โชคดีที่ร่างสุพัตราเป็นคนสูง ผมเศร้ามากกับเรื่องที่ไม่ได้ตั้งตัววันนี้ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนรักของผม แต่ก็ยังไม่ลืมเป็นห่วงนายสุภัทรที่อยู่ในร่างสุพัตราคนนี้ด้วย


“คุณยังมองผมเหมือนผูกพันอยู่ เพราะว่าร่างนี้เป็นร่างที่คุณรัก” สุภัทรตั้งข้อสังเกต

“แล้วคุณรักสุพัตรา หรือรักร่างสุพัตรากันแน่” เขาถามต่อ

“ถ้าเธอไม่ได้เกิดมาในร่างนี้คุณจะรักเธอไหม” เขาถามไปเรื่อยๆ ถึงตอบไม่ได้แต่ผมคิดว่า ก็น่าฟังดี

“แล้วคุณล่ะ จะทำอย่างไรต่อ” ผมถามเขาในร่างของเธอ ไม่รู้จะถามแบบอ่อนหวานเพราะยังเห็นอยู่ว่าเป็นร่างของสุพัตรา หรือจะถามแบบเพื่อนผู้ชายดี เหมือนเขานิ่งไปนาน คงจะหาคำตอบได้ยากเช่นกัน

“คุณก็ยังไม่ตอบผมเลย” สุภัทรซักกลับ “ส่วนผม คิดเรื่องตัวเองอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เรื่องมันเกิดขึ้น ส่วนคุณ คุณยังจะรักเธออยู่ไหม ถ้าเธอเกิดมาในร่างอื่น เป็นคนจนๆ เป็นคนพิการ ไม่สวย คุณรักเธอที่ตรงไหน”

“แต่ตอนนี้ผมรักเธอไปแล้ว รู้แต่ว่า ไม่ว่าเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็จะรัก”

“แล้วถ้าคุณยังไม่เคยรักเธอ ไม่มีภาพทรงจำของเธอมาก่อน แล้วถ้าเธอ อาจจะเป็นคนอาฟริกา อาจจะเป็นเต่า อาจจะเป็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่สุพัตราตอนนี้ คุณเจอเธอ จะรักเธอไหม”

ผมฟังอย่างตั้งใจ ปากอ้าตาค้าง “ไม่รู้ซิ ..แล้วตอนนี้ ทำไมผมยังรักเธอล่ะ”

“อาจเป็นความคิดที่สร้างขึ้นมาเอง คุณมีสัญญาเดิมเกี่ยวกับเธอไว้” หรือเป็นเพราะสุภัทรพูดขณะที่อยู่ในร่างสุพัตรา จึงทำให้ประโยคนี้ยิ่งลึกซึ้งนัก


“ส่วนผมเอง คงไม่ต้องหนักใจในการอยู่ในร่างของสุพัตรามากนัก เพราะอายุขัยของผมเองก็อยู่ได้อีกไม่นานเช่นกัน ความตายคือความจริง ทำให้คนเราควรรู้จักชีวิตให้มาก มากกว่าจะสนุกกับการสร้างเรื่องที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ถ้าไม่มีเรื่องความตาย ผมอาจไม่มีสติพอ อาจมัวแต่นึกว่า จะทำอย่างไรต่อไปดีในร่างผู้หญิงแบบนี้ คงปรุงแต่งไม่หยุดกับอนาคต ว่าผมจะมีครอบครัวอย่างไร จนลืมสนใจเรื่องอื่นๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการที่ได้รับชีวิตมาเช่นนี้..” สุภัทรพูดอย่างน่าคิดทีเดียว

“คุณไม่หนักใจแน่นะ หากต้องเป็นสุพัตราต่อไป” ผมอดห่วงไม่ได้

“ก็มีบ้าง แต่คิดเสียว่าผมเกิดใหม่อีกครั้ง แล้วเผอิญจำชาติก่อนได้ สุพัตราเองก็เหมือนกัน เธออาจจะเป็นผู้ชายมาก่อนก็ได้ แต่พอมาเกิดในร่างนี้ ชื่อนี้ มีชีวิตอย่างนี้ ทำให้ยึดมั่นในความเป็นเธอ เหมือนที่พวกเราต่างก็ยึดมั่นในความเป็นเรา ผมว่าผมก็คงโชคดีนะ ได้มาเข้าใจเรื่องแบบนี้บ้าง”


เที่ยงวันรุ่งขึ้น สุภัทรในร่างสุพัตรา เฝ้ามองดูแม่และน้องชายที่โศกเศร้าไปกับความตายอันกำลังคืบคลานมาสู่ร่างของเขาซึ่งมีวิญญาณสุพัตราครอบครองอยู่ ผมเองเข้าไปกอดร่างสุภัทรเอาไว้อย่างทำใจไม่ได้ และอดจะยึดไม่ได้ว่านั่นเป็นสุพัตราไปเสียแล้ว แม่ของสุภัทรก็พยายามเข้ามากอดร่างของเขาเช่นกัน โดยเบียดผมให้กระเด็นออกไปด้วยความไม่พอใจ กระทั่งสุพัตราสิ้นลมด้วยความสงบ เราทำพิธีกันอย่างเรียบง่าย ความวุ่นวายในความรักของผม หลงเหลือไว้แต่ความเศร้าโศก..


ผมยังคงเป็นเพื่อนกับสุภัทรในร่างของสุพัตราต่อมา เขาค่อยๆ กลายเป็นสุพัตราผู้สวยงาม อ่อนโยน เข้าใจชีวิต ผมให้เกียรติเธออย่างสูงและคอยให้ความช่วยเหลือเสมอ สุพัตราคนใหม่เป็นคนที่เข้าใจชีวิตและไม่สับสน ทำตามหน้าที่กับปัจจุบันขณะซึ่งเธอเป็น ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป็นประโยชน์ ผู้คนรอบตัว อดจะรักและชื่นชมเธอไม่ได้ ผมเองแม้จะไม่ได้รักเธอแบบชู้สาวแล้วก็ตาม และก็เกือบจะลืมเลือนเรื่องสุภัทรไปแล้วด้วย จนแทบจะคิดว่าเรื่องที่ผ่านมา..ผมคงฝันไป แต่กลับมารักเธออย่างที่บอกไม่ได้ เป็นความรักและนับถือในความเป็นมนุษย์มากกว่า..


สุพัตรายังมีชีวิตต่อมาอีกนานหลายปี ไม่ใช่ปีเดียวอย่างที่เคยบอก แต่ความตายก็คือความตาย ทุกคนเสียใจมาก เธอจากไปทั้งที่ยังสาว ผมนึกถึงคำพูดของเธอเสมอ “ความตายคือความจริง ทำให้คนเราควรรู้จักชีวิตให้มาก…” คำพูดนี้ คงจะเตือนสติของผมตลอดไป สุพัตราคนไหนกันที่เป็นความรักของผม ถ้าเข้าใจความรักจริงๆ ทุกคนคงเป็นสุพัตราสำหรับผมก็ได้…



โดย: สุภาฯ IP: 202.5.86.35 วันที่: 20 กรกฎาคม 2548 เวลา:21:54:10 น.  

 
ถ้าหน้าเล็ก อ่านลำบาก รักดี..ลิงค์ไปอ่านที่บางกอกได้อะจ้า เรื่องนี้ยังอยู่..

หนังสือกู้ดมอร์นิ่งบางกอกเล่มนี้ รวมนักเขียนสิบสองคนอ่ะจ้า ถ้าหาซื้อ บอกชื่อนักเขียนคนเดียวไม่ได้ คงต้องบอกเป็นชื่อหนังสือ กับสำนักพิมพ์นวนิยายบางกอกไป..


โดย: สุภาฯ IP: 202.5.86.35 วันที่: 20 กรกฎาคม 2548 เวลา:21:58:23 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณสุภาฯ

รักดีอ่านแล้วค่ะ

เรื่องนี้อ่านแล้วให้แง่คิดดีนะคะ

ขอบคุณมากนะคะ ที่นำเรื่องมาให้อ่าน


โดย: รักดี วันที่: 21 กรกฎาคม 2548 เวลา:18:18:37 น.  

 


โดย: ้ัีวานยท้่ IP: 203.188.37.48 วันที่: 23 มกราคม 2549 เวลา:19:01:26 น.  

 


โดย: สร่ IP: 203.113.32.9 วันที่: 12 มกราคม 2551 เวลา:17:10:09 น.  

 
ยังเขียนอยู่หรือเปล่าครับ


โดย: กุลรินทร์ IP: 27.55.34.71 วันที่: 4 กรกฎาคม 2558 เวลา:23:00:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.