|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
คิดเป็น.. ดับได้..
เหรียญมีสองด้าน อาวุธก็มีทั้งประโยชน์และโทษขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ ความคิดก็เช่นกัน คิดไม่เป็นก็ฟุ้งซ่านเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ คิดเป็นก็มีปัญญาแตกฉานในเรื่องความเข้าใจเหตุและผล เห็นความเป็นไปของที่มาและผลลัพท์
การคิดจึงมีสองอย่าง คือคิดปรุงแต่งและการคิดพิจารณา เปรียบเป็นด้านร้ายและด้านดีในการนำมาใช้ (การคิดเป็นที่มีปัญญาต่างจากการคิดฉลาดที่มีตัวตนและผลประโยชน์)
ความคิดซึ่งเปรียบดังม่านมายาบางๆ ที่สะกัดกั้นเราจากความเป็นจริงเบื้องหน้า แม้ความเป็นจริง (สุญตา) จะเข้าถึงได้โดยกระบวนการความคิดดับลง แต่ไม่ใช่เราไปยุติควบคุมมันง่ายๆ และการรู้คิดนั่นเองที่เป็นอีกวิธีที่จะดับความเร่าร้อนของการคิดปรุงแต่งได้ คงคล้ายเกลือจิ้มเกลือ เมื่อเข้าใจธรรมชาติของมันจึงทิ้งเกลือที่เค็มเห็นๆ อยู่ได้ไม่ยาก
มนุษย์เรานั้น มีกายกับจิต หรือที่เรียกรูปขันธ์ 1 (กาย) และสังขารขันธ์ 4 (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) การเข้าสู่สภาวะความเป็นจริงโดยทำลายปราการของภาพมายาซึ่งเป็นไปเพราะกิเลสตัณหา-อุปาทาน ซึ่งล้วนแต่เกิดเพราะผ่านกระบวนการทำงานของ ความรู้สึก-ความจำ-ความคิด-ความรู้ ปรุงให้เป็นไปก่อนแสดงผลสั่งงานออกมาทางกายกระทำนั้น ก็ทำได้โดยอาศัยขันธ์ห้าที่มีอยู่คือร่างกายกับจิตเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าการหยุดฟุ้งซ่านไปตามการแส่หากิเลส-ตัณหา-อุปาทานที่เกิดจาก โลภ โกรธ หลง โดยการเจริญสมาธิ-ภาวนา หรือที่เรียกว่าวิปัสสนา คือการเข้าไปเห็นความเป็นจริงตามจริง จะด้วยอานาปานสติก็ดี สติปัฎฐานสี่ก็ดี ก็ล้วนใช้ฐานจากกายและจิต คือ กาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งสิ้น ในหมวดจิตและธรรมนั้น ก็ใช้ฐานจิตคือจิตซึ่งเต็มไปด้วยความคิดนั่นเอง
ที่น่าสังเกตก็คือ การตีความสติปัฎฐานสี่ในหมวดของกายคือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กับเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ค่อยมีปัญหาเท่าใดนัก เพราะการกระทำจากกายซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวจากกายบ้าง ลมหายใจบ้าง หรือเวทนาที่เกิดขึ้นจากกาย เช่น ปวดหนัก ปวดเบา หรือ เมื่อย คัน ปวด เจ็บ ซึ่งทำงานร่วมกับเวทนาทางจิต ไม่ยากเกินความเข้าใจ
แต่สำหรับ ในหมวดของจิตคือ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตีความในสองฐานนี้ ทำเอาพวกอีลูกช่างคิดเป็นงงไปตามๆ กัน เพราะถูกกำหนดจากสถานปฏิบัติบางสำนักให้อย่าคิด อย่าตรึก อย่านึก ฯลฯ นี่เป็นการตีความแคบไปหรือเปล่า ด้วยรวบรัดเอาบทสุดท้ายของการเข้าสู่ปรมัถต์มาใช้ คือสอนให้อย่าไปนึกไปคิดมันเสียเลย ทั้งที่การคิดพิจารณาเป็นตัวเกาะตามจริตของนักคิด และสำคัญมากจนขนาดแยกมาเป็นฐานของจิตและธรรม
ในฐานกายกับเวทนา การไม่นึกไม่คิดโดยเอาจิตมาเกาะเสียกับการเคลื่อนไหวของการของลมก็ดี ของเวทนาก็ดี มันก็พอผ่อนปรนให้จิตมีที่เกาะอยู่ล่ะ เพราะหากความคิดปรุงขึ้นมาก็เรียกกลับมาอยู่กับการเคลื่อนไหวหรือลมหายใจหรือเวทนาเสีย
แล้วในฐานจิตกับธรรม ใช้อะไรล่ะเป็นตัวเกาะ?? บ่อยครั้งที่ถูกตีความจากหลายสำนักให้หยุดคิดแล้วกลับไปอยู่ที่กายกับเวทนา คือหยุดคิดแล้วกลับไปอยู่ที่การเคลื่อนไหวหรือกองลมเสีย มันอาจจะเหมาะกับจริตของคนกลุ่มหนึ่ง แต่ในฐานจิตกับธรรม ผู้เขียนคิดว่ามันน่าจะมีความหมายกว้างกว่านี้มากนัก จริตของผู้เขียนเองก็ชอบคิด บ่อยครั้งที่คิดงาน คิดอะไรเล่นๆ คิดถึงสิ่งที่สงสัย ทำให้รู้จักความคิด ธรรมชาติที่บังคับได้ยาก ปรวนแปรและล่อหลอก จนกว่าจะเกิดสมาธิระดับนึง เห็นความคิดที่ถูกดับความคิดที่ผิดลงไปเสมอ เราใช้ความคิดให้จิตเกาะได้หรือเปล่า?? เกาะที่จะไม่ฟุ้งซ่าน และสงบไปด้วยการพิจารณานั้นๆ ไม่ต่างจากการเกาะอาการการเคลื่อนไหวหรือเวทนา ซึ่งเหมาะกับจริตของคนอีกประเภทหนึ่ง
น่าคิด.. เราจะใช้การเฝ้ามองความคิดที่เกิดโดยไม่อาจบังคับหรือทุบหัวให้มันหยุด เป็นตัวยึดเกาะเหมือนการเคลื่อนไหวหรือลมหายใจได้หรือไม่?? น่าสนใจนะ ถ้าเราใช้ความคิดเป็น เรื่องแบบนี้ทำได้ไหม?? คือแทนที่จะยิ่งฟุ้งซ่านกลับปล่อยวางหลุดจากความฟุ้งซ่านได้ เพราะหากคิดเป็นเวลามันคิดได้แล้วมันไม่อยากฟุ้งอีก มันก็นิ่งสงบจนบังคับให้คิดอีกก็ไม่ได้..
ในบางขณะ.. หากเราไม่สามารถหยุดยั้งความคิดได้ ความคิดพิจารณาอาจเกิดขึ้นราวน้ำไหลเป็นเส้นสายไม่อาจหยุดยั้ง เกิดอาการเข้าใจคำตอบหรือสัจจะทั้งหลายแบบทะลุทะลวงขึ้นมาตามกำลังของสมาธิภาวนาแนบแน่น เราควรสั่งห้ามไม่ให้คิดหรือไม่?? ใครเคยนั่งสมาธิก็ดี นั่งทำงานทำการก็ดี แม้แต่การเรียนการศึกษาก็ดี อาจเกิดสภาวะเช่นนี้ขึ้นมา กำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็สัมผัสถึงสมาธิสติปัญญาแก่กล้า คิดแก้ปัญหา คิดนั่นคิดนี่ออกเป็นลำดับ โดยเฉพาะพวกช่างคิด ภาวะแบบนี้จะมีให้เห็นอยู่บ่อย แต่อย่างว่าอาวุธนิวเคลียร์ที่มากไปด้วยประโยชน์แต่ก็เป็นโทษร้ายแรง การคิดไม่เป็นจึงเป็นโทษร้ายแรง พวกคิดมาก ถ้ามันคิดออกไปตามทางที่ผิดแล้วทึกทักเองว่าถูก บางครั้งเป็นวิปัสสนูกิเลสไปอย่างน่าหวาดกลัว
แล้วการคิดเป็น เป็นอย่างไร?? การคิดเป็น..ก็คงหนีไม่พ้นไปจากการปล่อยวางเป็นหลัก เพราะการคิดเป็น.. คิดจนเห็นสัจธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไตรลักษณ์ เบญจขันธ์ ปฏิจจสมุปบาท ทุกข์ในอริยสัจจ์สี่ ฯลฯ ย่อมเกิดปัญญาที่จะทำให้หยุดความคิดชนิดปรุงแต่งให้หลงทุกข์ได้ เพราะเห็นแต่ความไร้สาระของการคิดอย่างมีตัวตนที่อัดเต็มไปด้วยกิเลสและหลงเชื่อว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มีอยู่ แต่ทว่าหากคิดแล้ว.. ไม่สามารถปล่อยวางความคิด กลับหลงคิดติดว่าตัวเองมีปัญญาแตกฉาน หรือยึดเชื่อสิ่งที่คิดได้ไว้แน่น ก็กลายเป็นปัญญาที่หลงไป ยังไม่เข้าใจธรรมชาติของความคิดจริงๆ แม้มันจะเป็นธรรมขั้นสูงก็เถอะ เข้าข่ายต้องเจอความร้ายแรงทางอัตตาความคิดไปอย่างชนิดช่วยได้ยาก
การตามดูความคิดกับการควบคุมให้หยุดความคิดนั้นต่างกันมาก ผู้รู้.. สอนให้เฝ้ามองความคิดไม่ใช่หยุดความคิด เพราะการหยุดความคิดทำไม่ได้ง่าย กลับรังแต่จะติดกับดักความคิดที่จะให้ยุติความคิดเป็นลูกโซ่ซ้อนคิดไปเสียอีก หรือบางคนก็ข่มไว้จนคิดว่าตัวเองสงบนิ่งได้ แต่กลับทึมทึบและไม่โล่งชัด การมีสติตามดูความคิดเสมอ จะเข้าใจกระบวนการทำงานของความคิด เหมือนสายลับที่ติดตามโจร ในที่สุดก็รู้ว่าโจรจะทำอะไร เข้าใจว่าตัวเองยังชั่วร้ายหรือมีกิเลสชนิดไหนอยู่.. และนอกจากจะเห็นความคิดที่ไร้สาระจากการปรุงแต่งติดยึดตามจริต ยังเห็นสิ่งที่จำเป็นต้องคิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจและปล่อยวาง ซึ่งจะมาในรูปของความเข้าใจไม่ต้องคิดอีกเพราะได้รู้ได้ซึ้งไปแล้ว เป็นสติตัวรู้ที่โล่งแจ้งเท่าทันความคิดนึกอย่างยิ่ง มันต่างจากพวกไม่คิดที่ทึบทึมมาก
การยุติความคิดหรือควบคุมความคิดโดยไม่ผ่านความเข้าใจ นอกจากจะไม่สามารถเข้าถึงเรื่องขอบข่ายความคิด กระบวนการเกิดความคิด(ขันธ์ห้า) ยังสูญเสียความสามารถในการพิจารณาโดยแยบคาย ไม่รับรู้ความคิดอย่างที่ควรเป็น การเฝ้ามองความคิด เห็นกระบวนการคิด รู้จักคิด ย่อมทำให้เข้าใจถึงธรรมชาติของความคิด เข้าถึงสัจธรรมด้วยการคิดเป็น แม้ในปรมัถต์จะไม่ใช้ความคิดแต่ในสมมุติทุกอย่างคือบัญญัติ การคิดเป็นย่อมทำลายการคิดไม่เป็นซึ่งไปสร้างกระแสกรรมใหม่ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน เห็นความคิดที่ตกอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ เปลี่ยนแปลง บังคับให้เป็นไปตามใจไม่ได้ เกิดขึ้น ดับลง ไม่มีอยู่ หากมีโยนิโสมนสิการเช่นนี้ จิตสงบรำงับลง มีภาวะการปล่อยวาง ความคิดย่อมระงับเองตามจิตที่มีกำลัง อาจดับลงทันใดเมื่อขาดกระบวนการของการปรุงสร้างฉับพลันเข้าสู่ภาวะนิพพานจริง หรืออย่างน้อยก็สงบปกติเข้าสู่ภาวะนิพพานชั่วคราว รักษาภาวะจิตปกติได้มากไม่วุ่นวายเป็นทุกข์หรือขาดสติจนคุ้มคลั่งเกินระงับ
Create Date : 08 ตุลาคม 2548 |
|
28 comments |
Last Update : 8 ตุลาคม 2548 21:02:51 น. |
Counter : 964 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: รักดี 8 ตุลาคม 2548 9:35:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: p_tham 8 ตุลาคม 2548 10:25:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 8 ตุลาคม 2548 14:20:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 8 ตุลาคม 2548 15:56:46 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักดี 8 ตุลาคม 2548 18:22:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: ladybear (ladybear ) 8 ตุลาคม 2548 21:27:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 9 ตุลาคม 2548 2:08:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักดี 9 ตุลาคม 2548 8:56:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: it ซียู 10 ตุลาคม 2548 13:26:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: yadegari 10 ตุลาคม 2548 20:06:15 น. |
|
|
|
| |
โดย: goken 11 ตุลาคม 2548 3:06:48 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|