|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
รอยยิ้มภายใน
บทความนี้ อาจต้องใช้สมาธิในการอ่านพอสมควร ค่อนข้างยากสักนิด เป็นเรื่องที่ว่าด้วยลักษณะการถูกกระทบและการกระเทือนกลับของจิตจากสิ่งเข้ามากระทบ ต่างตรงที่ปุถุชนปรุงแต่งต่อ ต้องอาศัยการฝีกสติกำหนดไม่ให้เพริดไป แต่พระอริยะวางลงเสียได้ด้วยเท่าทัน (จิตยิ้มเอง หรือจิตอยู่ในบ้านอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องฝืน เป็นไปโดยอัตโนมัติ) หลวงปู่ดุลย์ อตุโล วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ กล่าวถึงอเหตุกจิต 3 ประการดังนี้
1. ปัญจทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตามอายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ มี ตา หู จมูก ลิ้น และกาย วิญญาณทั้งห้าอย่างนี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกายตามทวาร ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เพื่อเชื่อมต่อการรับรู้เหตุการณ์ภายนอกเมื่อเข้ากระทบ แล้วส่งต่อไปยังสำนักงานจิตกลางให้รับรู้ เป็นสภาวะธรรมชาติของมันอยู่เช่นนั้น เราจะห้ามมิให้ เกิด มี เป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้ (การป้องกันทุกข์อันจะเกิดจากทวารทั้งห้านั้น จะต้องสำรวมอินทรีย์ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะเหล่านี้ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่นเมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ไม่คิดปรุง ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง ดังนี้ เป็นต้น (ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่ว)) 2. มโนทวารวัชนจิต คือ กิริยาจิตที่แฝงอยู่มโนทวาร (จิตหรือใจ) มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ (จากข้อ 1) จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้ (การป้องกัน ทำได้แต่เพียงเมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์ บุคคล เรา เขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น ให้เห็นเป็นปกติของความนึกคิดที่ห้ามได้ยาก ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์) 3. หสิตุปบาท คือ กิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม หมายความว่าไม่อยากยิ้มมันก็ยิ้มของมันเอง กิริยาจิตอันนี้มีเฉพาะเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น ในปุถุชนไม่มี สำหรับอเหตุกจิต ข้อ 1 และ 2 มีเท่ากันในพระอริยเจ้าและในสามัญชน นักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เมื่อตั้งใจปฏิบัติตนออกจากกองทุกข์ควรพิจารณาอเหตุกจิตนี้ให้เข้าใจด้วย เพื่อความไม่ผิดพลาด เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว จะพยายามบังคับสังขารไปหมด ซึ่งเป็นอันตรายต่อการปฏิบัติธรรมมาก เพราะความไม่เข้าใจนั่นเอง ส่วนอเหตุกจิต ข้อ 3 เป็นกิริยาจิตที่ยิ้มเองโดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของเหล่าพระอริยเจ้าเท่านั้น เพราะกิริยาจิตนี้เป็นผลของการเจริญจิตจนอยู่เหนือมายาสังขารได้แล้ว จิตไม่ต้องติดข้องในโลกมายา เพราะความรู้เท่าทันเหตุปัจจัยแห่งการปรุงแต่งได้แล้ว เป็นอิสระด้วยตัวมันเอง พระอริยะจะเกิดหสิตุปบาทหลังปัญจทวารวัชนจิตและมโนทวารวัชนจิต เพราะจิตเท่าทันในสมมุติไม่ยึดถือไว้ ส่วนปุถุชนต้องอาศัยการกำหนดสติหรือพาจิตกลับบ้าน(นิพพานชั่วคราว) ไม่ให้ปรุงแต่งความคิดตกอยู่ในมายาสังขารโดยไม่รู้ตัว
Create Date : 11 กันยายน 2548 |
|
8 comments |
Last Update : 11 กันยายน 2548 0:35:20 น. |
Counter : 1098 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: อยู่ไกลบ้าน IP: 210.18.17.122 11 กันยายน 2548 1:53:07 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักดี 11 กันยายน 2548 18:50:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 13 กันยายน 2548 9:28:38 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
เพิ่งเห็นอ่านข้อสาม
เคยแต่อ่านเจอแต่ข้อหนึงหรือสอง
ข้อสามนี่เพิ่งเคย
ขอบคุณค่ะที่เอามาฝาก