มาถึงวีซ่าสุดท้ายที่ต้องขอก่อนไปเที่ยวทริปนี้สักที ครั้งนี้บีบีต้องขอวีซ่ากับกงศุลอิตาลีค่ะ ตามที่บีบีเคยเขียนไว้ในบล็อคขอวีซ่าก่อนๆว่า กงศุลส่วนใหญ่ในอเมริกาแต่ละสาขาเค้าจะรับแบ่งเขตพื้นที่การให้บริการกับประชาชนอย่างชัดเจน ดังนั้น ใครที่ต้องการขอวีซ่าเชงเก้นในอเมริกา สิ่งที่คุณควรจะรู้คือ

1. ต้องไปขอวีซ่ากับกงศุลประเทศไหน – ไปเที่ยวประเทศไหนนานที่สุด ให้ขอกับประเทศนั้น เช่นกรณีของบีบี ตั้งใจจะไปสวีเดน 2 วัน นอร์เวย์ 5 วัน และอิตาลี 10 วัน เพราะฉะนั้นบีบีต้องขอวีซ่าเชงเก้นกับกงศุลอิตาลีค่ะ

2. ต้องรู้ว่ารัฐที่เราอยู่ขึ้นอยู่กับการให้บริการกงศุลสาขาใด – เช่น ถ้าอาศัยอยู่ในรัฐวอชิงตันต้องไปขอวีซ่ากับกงศุลสาขาซานฟรานซิสโก หรือถ้าอยู่รัฐเมนต้องไปขอวีซ่ากับกงศุลสาขาบอสตัน เป็นต้น

3. วิธีการขอวีซ่าของกงศุลนั้นมีกี่วิธี และมีวิธีอะไรบ้าง – เช่น ต้องเดินทางไปสมัครด้วยตัวเองเท่านั้น หรือสมัครทางไปรษณีย์ได้ หรือสมัครกับกงศุลกิตติมศักดิ์ก็ได้

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ารัฐที่เราอยู่ขึ้นอยู่กับการรับผิดชอบของกงศุลสาขาไหน แต่ละกงศุลมีวิธีขอวีซ่ายังไงบ้าง หรือต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง ณ จุดนี้ google ช่วยเราได้ค่ะ เวปไซส์หน้าหลักของกงศุลส่วนใหญ่ เขาจะบอกไว้อย่างชัดเจนเลยว่า กงศุลสาขาของเค้ารับผิดชอบการให้บริการแก่รัฐไหนบ้าง แล้วพอเราคลิ๊กไปในส่วนวีซ่า เขาจะบอกเลยว่าขั้นตอนการขอวีซ่ากับเค้าต้องทำยังไงบ้าง มีวิธีไหนบ้าง ใช้เอกสารอะไรบ้าง

กลับมาที่เคสของบีบี โชคดีหน่อยที่ซีแอทเทิลมีกงศุลกิตติมศักดิ์อิตาลีอยู่และเขารับสัมภาษณ์วีซ่าเชงเก้นด้วย บีบีเลยไม่ต้องบินไปสมัครกับกงศุลใหญ่ที่ซานฟราน ขั้นตอนอย่างแรกของการขอวีซ่าเชงเก้นกับกงศุลกิตติมศักดิ์คือการส่งอีเมล์ขอนัดวันสัมภาษณ์วีซ่าค่ะ ถึงวันนัดก็ไปสัมภาษณ์ กงศุลกิตติมศักดิ์จะตรวจเอกสารเบื้องต้น เซ็นต์ชื่อรับเรื่อง เสร็จแล้วเราก็เอาเอกสารทั้งหมดส่งไปรษณีย์ไปที่กงศุลใหญ่สาขาที่รับผิดชอบรัฐที่เราอยู่ แล้วก็รอวีซ่าอนุมัติค่ะ พูดกันตามตรงก็คือ กงศุลกิตติมศักดิ์เป็นแค่คนรับเรื่อง เพราะอำนาจการอนุมัติวีซ่ายังคนเป็นของกงศุลใหญ่อยู่ดี

ข้อดีของการสมัครผ่านกงศุลกิตติมศักดิ์คือประหยัดเวลาเดินทางและเงินค่าตั๋วเครื่องบิน แต่ข้อเสียคือกว่าจะกว่าท่านกงศุลจะตอบอีเมล์ได้แต่ละอีเมล์ และกว่าได้คิวนัดสัมภาษณ์นานมากอ่ะ กิตติมศักดิ์สุดๆอ่ะค่ะ


เอกสารในการขอวีซ่าเชงเก้นกับกงศุลอิตาลีในอเมริกา

1. พาสปอร์ตตัวจริงกับสำเนา ถ้าใครมีพาสปอร์ตเล่มเก่าที่หมดอายุแล้ว ให้ส่งไปด้วยค่ะ

2. รูปถ่ายไซส์พาสปอร์ต จำนวน 2 รูป

3. ใบคำร้องขอวีซ่า ปรินท์แบบฟอร์มออกมาแล้วก็กรอกด้วยลายมืออันงดงามของเรา

4. ค่าธรรมเนียมวีซ่า จ่ายเป็น Money order โดยสั่งจ่าย “The Consulate of Italy”

5. บัตรกรีนการ์ดและสำเนา

6. ทะเบียนสมรสและสำเนา

7. ใบขับขี่และสำเนา

8. แผนการเที่ยวของเรา (Itinerary)

9. ใบจองตั๋วเครื่องบิน

10. ใบจองตั๋วรถไฟ Eu rail - อันนี้เป็นกฎเฉพาะของกงศุลอิตตาลีค่ะ เราต้องแนบหลักฐานการเดินทางแบบ point to point ทั้งทริปของเราไปด้วย ตัวอย่างหลักฐานประเภทนี้คือ ตั๋วรถไฟยูเรียล ตั๋วเครื่องบินภายในยุโรป ใบเช่ารถ อะไรแบบนี้ค่ะ

11. ใบจองโรงแรมแต่ละคืนตลอดทั้งทริป

12. จดหมายรับรองการทำงาน

13. สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือน

14. จดหมายรับรองการทำงานและสลิปเงินเดือนย้อนหลัง 3 เดือนของคู่สมรสของเรา ในกรณีที่คู่สมรสเราเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

15. สเตทเมนท์ธนาคารย้อนหลัง 3 เดือน

16. ประกันสุขภาพระหว่างการเดินทางที่คลอบคลุม medical expenses, hospitalization and repatriation ในวงเงินไม่ต่ำกว่า 50,000 USD

17. แบบฟอร์ม Declaration for mailing passport ปรินท์จากเวปไซต์ไป แล้วไปเซนต์ชื่อต่อหน้าท่านกงศุลค่ะ

18. ซองเปล่าจ่าหน้าซองถึงตัวเอง จ่ายค่าธรรมไปรษณีย์เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีหมายเลขสำหรับ tracking

**** เอกสารด้านบนคือเอกสารที่เราต้องเอาไปด้วยในวันสัมภาษณ์กับกงศุลกิตติมศักดิ์นะคะ คือให้เอาเอกสารฉบับจริงๆไปด้วย (กรีนการ์ด, ทะเบียนสมรส, ใบขับขี่) แต่ตอนที่เราส่งเอกสารไปที่กงศุลใหญ่หลังจากสัมภาษณ์กับท่านกงศุลกิตติมศักดิ์ เราจะไม่ส่งเอกสารตัวจริงไปที่กงศุลใหญ่นะคะ เราส่งไปเฉพาะสำเนาค่ะ เพราะถือว่าท่านกงศุลกิตติมศักดิ์ได้เห็นเอกสารฉบับจริงเรียบร้อยแล้ว

ก่อนสัมภาษณ์เนี่ยะ ท่านกงศุลกิตติมศักดิ์บอกเลยนะว่าถ้าเอกสารไม่ครบเขาจะไม่รับพิจารณาเลยนะ ให้นัดวันสัมภาษณ์ใหม่ได้เลย แล้วก็บอกว่าเค้ามีเวลาให้เราแค่ 15 นาที ออกแนว unfriendly มากๆ ไม่มีการทักทายแบบ little talk ใดๆเลยทั้งสิ้น ขั้นตอนการสัมภาษณ์ก็เหมือนกันกับตอนที่บีบีขอวีซ่าเชงเก้นกับกงศุลกิตติมศักดิ์เยอรมันเมื่อปีที่แล้ว คือเริ่มจากท่านกงศุลจะเรียกดูเอกสารทีละชิ้น แล้วให้เราหยิบให้ พอท่านเห็นเอกสารตัวจริงแล้ว ท่านจะคืนเอกสารฉบับจริงให้เรา และเก็บสำเนาไว้กับท่านค่ะ บีบีสังเกตุว่าเค้าให้ความสำคัญกับแผนการท่องเที่ยวพอสมควร แบบว่าใช้นิ้วไล่ดูเลยอ่ะว่าเราจะไปประเทศไหนบ้าง แล้วมีตั๋วเครื่องบินหรือตั๋วรถไฟแล้วรึยัง ซึ่งเราอ่ะเตรียมไว้หมดแล้ว แล้วเค้าก็สะดุดตรงประเทศไอร์แลนด์ แล้วก็ไปเปิดหนังสือเช็คดูว่าไอร์แลนด์เป็นสมาชิกของเชงเก้นรึป่าว แล้วเค้าก็บอกว่าไอร์แลนด์ไม่ได้เป็นพื้นที่ของเชงเก้นนะ บีบีเลยบอกไปว่ารู้แล้วค่ะ แล้วฉันก็มีวีซ่าอังกฤษกับไอร์แลนด์เรียบร้อยแล้วด้วย แล้วก็เปิดวีซ่าอังกฤษกับวีซ่าไอร์แลนด์ให้ท่านกงศุลดู ท่านกงศุลดูทึ่งเล็กน้อย คงไม่คิดว่าเราจะ “เป๊ะ” ขนาดนี้ ท่านกงศุลเลยขอให้เอาใบ Declaration for mailing passport ออกมาเซนต์ แล้วท่านก็เซนต์เอกสารให้อีกฉบับหนึ่งแล้วเอามาปะไว้หน้าบนสุดของเอกสารเรา แล้วท่านกงศุลก็บอกว่าให้ส่งเอกสารไปที่กงศุลใหญ่ ท่านเรียงเอกสารไว้ให้หมดแล้ว ให้ส่งไปตามนี้เลยนะ

หลังจากส่งเอกสารไปกงศุลใหญ่แล้ว บีบีก็มานั่งลุ้นกันกับคุณสามีว่าเราจะได้วีซ่าคืนมาทันกำหนดรึป่าว เพราะรู้สึกว่ากงศุลนี้ทำงานช้ามาก ขนาดแค่อีเมล์นัดสัมภาษณ์ยังใช้เวลาเกือบสองอาทิตย์เลย แต่ผ่านไปแค่อาทิตย์เดียว เราก็ได้พาสปอร์ตคืนมาแล้วอ่ะ ตอนแรกดีใจมาก แต่พอเปิดดูวีซ่าแล้วแปลกใจสุดๆ เพราะเขาออกวีซ่าให้ผิด เราขอวีซ่าแบบ Multiple แต่เขาออกวีซ่าแบบ Single มาให้ แต่ระยะเวลาท่องเที่ยวเขาอนุมัติให้เราตรงตามที่เราขอไป เราเลยสันนิษฐานว่า เขาคงคิดว่าไอร์แลนด์เป็นสมาชิกของเชงเก้นมั้ง เขาเลยออกวีซ่าแบบ Single entryให้เราอ่ะ เราเลยส่งอีเมล์ไปบอกกงศุลใหญ่ว่าเขาออกวีซ่าให้เราผิด แล้วก็อธิบายว่าครั้งแรกจะเข้า-ออกพื้นที่เชงเก้นที่ประเทศไหน และครั้งที่สองที่เราจะเข้า-ออกพื้นที่เชงเก้นคือประเทศไหน ดังนั้นเราจึงต้องการวีซ่าแบบ Multiple entry พร้อมทั้งแนบหลักฐาน Itinerary กับใบจองตั๋วเครื่องบินไปกับอีเมล์ด้วย

วันถัดมาเจ้าหน้าที่ของกงศุลใหญ่โทรมาขอโทษบีบีแล้วก็ขอให้ส่งพาสปอร์ตกลับคืนไปให้เขา เดี๋ยวเขาจะแก้ไขให้ แล้วก็บอกให้เราแนบซองเปล่าจ่าหน้าซองถึงตัวเองมากับพาสปอร์ตด้วย อะไรฟะ ส่งเอกสารกลับไปแก้ไขเนี่ยะพอเข้าใจได้ แต่ให้แนบซองเปล่าแบบ prepaid ไปด้วยเนี่ยะ งกไปป่ะ ตัวเองเป็นคนออกวีซ่าให้เค้าผิดแท้ๆ อ่ะนะ เสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับการทำงานของกงศุลนี้ ไม่ผิดไปจากที่ได้ยินมาเลยสักนิดเดียว

อันนี้เป็น timeline การขอวีซ่าเชงเก้นของบีบีครั้งนี้ค่ะ

     18 July    นัดสัมภาษณ์วีซ่ากับกงศุลกิตติมศักดิ์ที่ซีแอทเทิล
     22 July    ส่งเอกสารไปที่กงศุลใหญ่ซานฟรานซิสโก
     23 July    กงศุลใหญ่ได้รับเอกสาร
     29 July    ได้รับพาสปอร์ตคืน แต่กงศุลออกวีซ่าให้ผิด
     30 July    ส่งอีเมล์ไปแจ้งกงศุลใหญ่ว่าออกวีซ่าให้ผิด
     31 July    กงศุลใหญ่โทรหา
     1 August ส่งพาสปอร์ตพร้อมกับปรินท์หน้าอีเมล์ที่เมลไปบอกกงศุลและเอกสารแนบกลับไปกงศุลใหญ่
     8 August ได้พาสปอร์ตกลับคืน

ตอนนั้นรู้สึกดีใจมากที่ได้วีซ่าไอร์แลนด์ไวกว่ากำหนดเกือบ 3 อาทิตย์ เพราะมันชดเชยเวลาที่เสียไปกับการขอวีซ่าเชงเก้นครั้งนี้ได้พอดี ว่าแต่ว่าเรื่องการออกวีซ่าให้ผิด ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินและเคยโดนนี่แหล่ะ เฮ้อ