Group Blog
 
 
เมษายน 2548
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
13 เมษายน 2548
 
All Blogs
 

Cosmic Experience on Girl with the pearl earring



หากถามว่าใครเคยดูหนังแล้วร้องไห้บ้าง คงมีคนยกมือสลอน
แต่ถ้าเปลี่ยนคำถาม
ถามใหม่ว่าใครเคยดูงานศิลปะแล้วร้องไห้บ้าง จะเหลือคนยกมือกี่คน ฉันอยากรู้

ในชีวิตนักเรียนศิลปะที่ใช้เวลากว่าค่อนนอกห้องเรียนในพิพิธภัณฑ์ต่างๆมาอย่างโชกโชน มีเพียงสองครั้งเท่านั้นที่ฉันเกิดโชคดีได้สัมผัสงานศิลปะถึงขั้นเข้าฌาน นักเรียนศิลปะบางคนเรียกประสบการณ์อย่างนี้ว่า Cosmic Experience

ครั้งแรกที่ยังติดตราตึงใจจนมาถึงทุกวันนี้คือ การได้สัมผัสภาพวาด หญิงสาวกับต่างหูมุก (Girl with the pearl earring) ของโจฮาห์น เวอร์เมียร์ (Johannes Vermeer, ค.ศ.1632- 1675) ศิลปินชาวดัตช์ในยุคศตวรรษที่ 17 ที่จัดแสดงอยู่ใน Mauritshuis ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

ภาพเขียนชิ้นนี้มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองเดลฟ์( Delft ) ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของเวอร์เมียร์ที่อยู่ห่างจากเมืองอัมสเตอรดัมไปทางใต้ประมาณหนึ่งชั่วโมงโดยรถไฟ แม้ว่าในนิยายที่ชื่อเดียวกับภาพของ Tracy Chevalier จะบอกว่าผู้หญิงในภาพเป็นหญิงรับใช้ที่ครอบครัวจ้างมาเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กๆ แต่จากการศึกษาโดยละเอียดโดยกลุ่มนักประวัติศาสตร์ศิลปะกลับไม่พบหลักฐานใดๆยืนยันแน่ชัดว่าเธอเป็นใครกันแน่ ระหว่าง Maria Vermeer ลูกสาวคนโตของเวเมียร์หรือ Magdelena van Ruijven ลูกสาวคนเดียวของ Pieter Van Ruijven ผู้อุปถัมภ์คนสำคัญ หรือแม้กระทั่งอาจเป็นพี่เลี้ยงที่ชื่อว่า Griet ที่ไม่เคยปรากฏหลักฐานใดๆยืนยันการมีตัวตนของหญิงพี่เลี้ยงคนนี้เลยนอกจากในนวนิยาย

ฉันรู้จักภาพชิ้นนี้ครั้งแรกตอนที่เรียนอยู่ศิลปากร จำได้ขึ้นใจเพราะ หนึ่งอาจารย์ออกสอบทุกปี และสองเพราะเพื่อนสนิทในกลุ่มที่ชื่อไอซ์ ชื่นชอบเวอร์เมียร์มาก ทุกครั้งที่พวกเราจับกลุ่มติว เธอจะบรรยายภาพนี้ได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของศิลปิน การใช้สี แสงเงา และความงามอมตะของสาวน้อยที่เปรียบได้ดั่งโมนาลิซาแห่งเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่ฉันจะมาเรียนต่อที่อัมสเตอร์ดัม ไอซ์กำชับแน่นหนักให้ฉันไปดูรูปของจริงชิ้นนี้ของเวอร์เมียร์ให้ได้

แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่ได้มีโอกาสได้ไปสักที เพราะคนที่สัญญาว่าจะไปด้วยกันมีเหตุให้พลัดพลาดกันเสียก่อน จนเมื่อเราสองคนกลับมาเจอกันอีกครั้ง เราจึงไม่รอช้าที่จะจูงมือกันไปดูสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้ที่มีเสียงร่ำลือหนาหูว่าดวงตาของเธอมีเวทมนต์

วันนั้นเป็นวันฟ้าครึ้ม เราจับรถไฟจากอัมสเตอร์ดัมไปกรุงเฮกในตอนสาย ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเดินต่อไปอีกไม่ไกลที่ Mauritshuis ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวมภาพเขียนระดับมาสเตอร์พีซชิ้นเอกตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาไว้มากมาย

พอมาถึงที่ Mauritshuis ฉันกับเพื่อนก็เดินชมที่นิทรรศการชั้นล่างไปเรื่อยๆ การจัดแสดงที่นี่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ไล่เรียงลำดับตามปี (Chronology) พอเดินหมดชั้นล่างเราก็พากันขึ้นไปชั้นบนซึ่งมีภาพเขียนต่างๆเรียงกันตามผนังห้องเต็มพืดไปหมด เดินไปเรื่อยๆสายตาฉันก็มาหยุดอยู่ที่รูปเขียนที่ตามหา

ทันทีที่สายตาของฉันกับสาวน้อยในภาพสบกัน ฉันก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดหมุน ดวงตาของเธอเป็นเหมือนหน้าต่างที่นำให้ฉันดำดิ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง ความรู้สึกของฉันลอยๆเหมือนอยู่ในความฝัน โลกแห่งความฝันที่จิตวิญญาณของเราทั้งสองได้ไต่ถามเรื่องราวของกันและกัน มันเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนสุดบรรยาย ทั้งดื่มด่ำ ล่องลอย ระคนปลื้มปิติและหวั่นไหวในคราเดียวกัน เมื่อความรู้สึกต่างๆถึงขีดสุด น้ำตาของฉันก็ไหลมาไม่ขาดสาย เหมือนน้ำตาแห่งชัยชนะของนักวิ่งหมื่นไมล์ เป็นความสุขที่มิหาที่ใดเปรียบ ชื่นใจยิ่งกว่าถูกลอตตารีและอิ่มเอมยิ่งกว่าการมีเซกส์!

ฉันไม่รู้ว่าฉันยืนอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ เวลามันช่างผ่านไปราวชั่วกัปชั่วกัลป์ ฉันค่อยๆตื่นจากภวังค์ด้วยสัมผัสจากมืออุ่นๆที่เพื่อนของฉันโน้มตัวลงมาโอบกอดจากทางด้านหลัง เราสองคนนิ่งเงียบ และในที่สุดก็เดินออกมาจากตรงนั้นลงบันไดไปชั้นล่างโดยผ่านเลยรูปภาพที่เหลืออื่นๆทั้งหมดอย่างไม่แยแส ใช่ว่าเหตุผลที่ฉันไม่ใยดีกับภาพที่เหลือเพราะฉันไม่สนใจ แต่หากเป็นเพราะฉันบรรลุจุดสุดยอดทางสายตาไปแล้ว!

มีคนเคยอธิบาย Cosmic experience ว่าเหมือนการเข้าฌานในการนั่งสมาธิซึ่งคล้ายๆ Cosmic Consciousness ที่จุดๆหนึ่งจิตของเราจะเข้าไปสู่สมาธิชั้นสูง ดินแดนที่สงบนิ่ง กาย ใจและวิญญาณของเรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว พลังงานที่ได้จะทำให้เราสัมผัสได้ถึงความสดชื่น รื่นรมย์ ได้เห็นและรู้สึกในภาวะเหนือจริง

มันเป็นประสบการณ์ที่ยากลืมเลือนเลยจริงๆ

เพื่อนฉันเคยเล่าให้ฟังว่า เธอคนเจอกับประสบการณ์แบบเดียวกันนี้ในพิพิธภัณฑ์ลูฟท์ ที่ปารีสกับรูปของซานโดรบอตติเชลลี (Sandro Botticelli,ค.ศ.1445-1510 )ศิลปินอิตาเลี่ยนยุคเรเนซองค์ ภาพนั้นของบอตติเชลลีสะกดใจเธอ รู้ตัวอีกทีก็น้ำตาไหลอาบแก้มพรากๆ

ฉันโชคดีมากที่ได้สัมผัสประสบการณ์แปลกๆแบบนี้กับคนที่เข้าใจและผ่านอะไรมามาก หากแต่เพียงในช่วงวินาทีที่ฉันกำลังเข้าไปอีกโลกหนึ่งถูกสะกิดรบกวนจากสิ่งรอบข้าง ฉันอาจจะไม่ได้คุยกับหญิงสาวในรูปเลยก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่ใครจะไปดูงานศิลปะ เห็นคนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าแสดงอาการดื่มด่ำสุดฤทธ์ น้ำตาไหลเป็นสาย หรือยิ้มหวานกับรูปตรงหน้าก็อย่าเพิ่งไปทึกทักว่าเขาบ้าหรือเพี้ยน เขาอาจจะกำลังเจอกับภาพเนื้อคู่ที่พาหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งก็เป็นได้

แต่ถ้าถึงขั้นน้ำลายไหลยืดเป็นทางล่ะก็ ตัวใครตัวมันแล้วกันนะ











 

Create Date : 13 เมษายน 2548
20 comments
Last Update : 13 เมษายน 2548 17:28:54 น.
Counter : 1603 Pageviews.

 

ดีจังเลยค่ะ ได้รู้สึกแบบนั้น
แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: Redkiller (Redkiller1980 ) 13 เมษายน 2548 13:22:26 น.  

 

เคย เหมือน กัน แต่ มันนานมาแล้วหน่ะ เป็นความรู้ สึก ที่ห่าง ไกลมากเลย

 

โดย: x.y.u. IP: 202.183.233.13 13 เมษายน 2548 13:46:06 น.  

 

อ่า.. อ่านแล้วอยากไปเห็นรูปจริงๆ ของหญิงสาวกับต่างหูมุกจริงๆ เลยครับ
... ได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้ แล้วชอบมากๆ เลย

หวังว่า ซักวันคงมีโอกาสได้ไปดูบ้าง :D

 

โดย: it ซียู 13 เมษายน 2548 18:16:26 น.  

 

ใช่ ภาพนี้เป็นอมตะแบบสงบเสงี่ยม แต่ทระนงจริง ๆ เราชอบมาก ๆ
เสียดายที่หนังทำออกมาแล้วไม่ตรงถึงใจเราอย่างหนังสือ
หรือจะเสียดายที่ดันอ่านหนังสือก่อนไปดูหนังดี
แต่ที่รู้คือชอบภาพนี้มาก พอได้เห็นทีไรก็ถอนสายตาออกไม่ค่อยจะได้ ทั้งที่ไม่ค่อยสนใจงานจิตรกรรม (ถ้าจิตเวรละไปอย่าง)

 

โดย: atihasita IP: 158.108.211.63 13 เมษายน 2548 19:49:11 น.  

 

แวะมาดู ขอบคุณครับแหม...ได้ความกระจ่างกับรูปนี้เพิ่มขึ้น
ไม่ได้เรียนแนวศิลปะครับแต่ ที่บ้านมีไดอารี่เก่าๆ พิมพ์จากฮอลแลนด์ มีภาพที่โพสเป็นปกครับ ในเล่มมีภาพเขียนสไตล์นี้ภาพกี่ยวกับโต๊ะอาหาร ดอกไม้ การเดินเรือ ไม่แน่ใจว่าทำไมบนโต๊ะ มักจะมีหอยนางรมประกอบอยู่เสมอ เหมือนกัน (สงสัยส่วนตัวครับ)

 

โดย: RFID IP: 203.118.105.237 14 เมษายน 2548 0:10:02 น.  

 

หนังกับหนังสือค่อนข้างต่างกันพอสมควรเลย
โดยเฉพาะตอนจบ ตอนจบของหนังสือมันปวดร้าวจริงๆ อ่านแล้วมีเสียน้ำตา

หนังเรื่องนี้ที่ทำออกมาตามนิยายเนี่ย ทำเอานักประวัติศาสตร์ศิลป์หัวเสียไปตามๆกัน
เพราะนอกจากไม่เคยมีหลักฐานใดๆที่บ่งบอกการมีตัวตนของพี่เลี้ยงคนนี้แล้ว ยังทำให้ภาพพจน์ของ Catalina ซึ่งเป็นภรรยาของเวอร์เมียร์เสียหายอย่างหนัก ไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันถึงความรุนแรง เกรี้ยวกราดของเธอเลยนอกจากนี้นักประวัติศาสตร์ศิลป์เชื่อว่าชีวิตแต่งงานของทั้งคู่เป็นชีวิตคู่ที่ดีใช้ได้ระดับหนึ่งทีเดียว

เป็น passion love ทีค่อนข้างหายากในยุคนั้นที่เวอร์เมียร์ยอมเปลี่ยนนิกายเพื่อภรรยาและทั้งสองก็มีลูกด้วยกันถึงสิบเอ็ดคน (จริงๆมีสิบห้าแต่เสียชีวิตไปบ้าง) ซึ่งแทบจะไม่มีใครมีลูกมากอย่างนั้นเลยในสมัยเดียวกัน ส่วนมากจะจำกัดอยู่ที่ 2 -3 คนเป็นอย่างมาก

ป่านนี้วิญญาณของ Catalina คงร้องไห้อยู่

 

โดย: estrella 14 เมษายน 2548 9:43:14 น.  

 

รู้ความจริงแล้วเซ็งเลยนิ ความจริงบางทีก็ทำลายความสวยงามของอะไรบางอย่าง แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่ดี ใครจะไปทำลายมันได้

 

โดย: patsypacky 14 เมษายน 2548 16:42:47 น.  

 

ตอบแพคว่า มันทำลายไปเยอะแล้ว อย่างถ้าเราไม่ได้ศึกษาจริงๆ ก็จะไม่ได้รู้ความจริง เราก็คงเข้าใจไปตามนิยาย

ถ้านิยายจะอิงประวัติศาสตร์แต่สุดท้ายไปบิดเบือนซะนี่ ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด แบบนี้ก็เซ็งเหมือนกัน อย่างเรื่อง Surviving Picasso ไง เสนอแต่แง่ร้ายเรื่องผู้หญิงของปิคัสโซ่ ถ้าเราไม่ศึกษาจริงๆน่ะ พลาดเลยนะนั่น

ตอนรู้ทีแรกก็เซ็งไปเลยเหมือนกัน สงสาร Catalina ที่ถูกปู้ย่ำปูยีซะขนาดนั้น แอบเกลียดคนเขียนนิยายไปเลยง่ะ

 

โดย: estrella 14 เมษายน 2548 16:52:18 น.  

 

ตั้งแต่จำความได้ก็มีโปสเตอร์รูปนี้ติดอยู่ในบ้านซะแล้วด้วยความว่าคุณพ่อเป็นนักชื่นชมศิลปะตัวยง

ผูกพันกับสาวน้อยในภาพเหมือนกันเป็นฝาแฝดของตัวเองยังไงยังงั้นเลย ต่างหูมุก ก็ใส่เหมือนเธอ
ก่อนทานข้าวยังหันไปสบตาเธอ ชวนทานข้าวด้วยกันทุกวัน

ดีใจมากที่ได้มีโอกาสอ่านบทความของบุคคลที่ชื่นชมภาพนี้ด้วยจิตวิญญาณ
ส่วนตัวแล้วยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนสาวน้อยตัวจริงที่เมืองเฮก เพีงแต่รูป "ญาติๆ"ของเธอจากฝีแปรงก็Vermeerที่พบกันที่ลูฟว์ก็ทำเอาขนลุกซู่ทีเดียว

คุณพ่อมีโอกาสไปชมตัวจริงของเธอที่เฮกเมื่อราวสองปีก่อน ท่านชื่นชอบภาพนี้มาเป็นเวลานาน ความประทับใจของท่านคงคล้ายๆคุณเพราะไม่ยอมเล่าให้เราฟังเลย ^ ^"

ป.ล. ไม่ชอบนิยายอย่างมากค่ะ

 

โดย: RUBIS IP: 61.91.208.79 15 เมษายน 2548 0:11:02 น.  

 

...ตามมาอ่านแล้วครับ ใจตรงกันจริงๆด้วย เขียนห่างกันแค่วันเดียว แต่ของผมเป็นหนัง (ขอปะลิงค์หน่อยเผื่อมีคนสนใจตามไปอ่านhttps://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=04-2005&date=14&group=7&blog=3 ) ตามมาอ่านได้ความรู้อีกเพียบ แล้วจะแวะมาอ่านความรู้อีกบ่อยๆ

...การมีบล้อกนี่ดีแหะ ทำให้เราได้โลกทัศน์และรู้จักอะไรมากขึ้น

 

โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" 15 เมษายน 2548 0:45:13 น.  

 

Can the "Cosmic Experience" be applied with sound? If yes, I have had such experience na but not with works of sonic art (Music) a' not painting...

 

โดย: Le Petit Panx 15 เมษายน 2548 18:35:28 น.  

 

อืมๆๆ เราร้องไห้เพราะดูไม่เป็น ง่ะ

 

โดย: หมาร่าหมาหรอด 16 เมษายน 2548 23:08:07 น.  

 

เคยดูหนังเรื่องนี้ป่าว ฉันว่าเขาทำได้ดีนะ
ความรู้สึกที่ว่าเนี่ยเหมือนจะเคยเกิดขึ้นเล็กน้อย กับภาพ ๆ นึง ของ Picasso ใน blue period (ไม่ค่อยนิยม ศิลปินท่านนี้นัก)จำชื่อไม่ได้ มันแขวนที่ tate modern เป็นผู้หญิงธรรมดา ๆ รูปนึง สวยซาบซึ้ง จริง ๆ แต่งหญิง และแสดง ออก 5555

 

โดย: โยโกะ IP: 202.176.129.59 20 เมษายน 2548 1:47:04 น.  

 

เพราะเราไม่ค่อยเก่งศิลปสักเท่าไหร่

อาจดูไม่เป็น ไม่ซึมซับความงามเหล่านั้นได้

เลยไม่เคยเข้าไปดู เพื่อไม่ให้ตัวเองทำลายบรรยากาศของงานดีกว่า

แต่เข้าใจ เพราะแต่ละคนแตกต่างกัน

ความแตกต่าง ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น


 

โดย: Black Tulip 25 เมษายน 2548 10:52:06 น.  

 

วันนี้หนูไม่ได้ไปสยามนะค้า
นอนอยู่บ้าน

 

โดย: +KikKle+ 25 เมษายน 2548 18:01:31 น.  

 

แวะมาอรุณสวัสดิ์ยามเช้า

คุณดาวสบายดีนะคะ

 

โดย: Black Tulip 4 พฤษภาคม 2548 8:03:37 น.  

 

ชอบอ่านเรือ่งแบบนี้จัง ตัวเองดูศิลปะไม่ค่อยอินหรอกนะค๊า แต่เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าชอบ ยังไม่เกิดปรากฏการ์ณ์แบบนั้นกะตัวเอง เวลาไปเดินพิพิธภํฑณ์ก็เดินผ่านไปหมด แหะๆ ตอนหลังจะพยายามดูละเอียดขึ้นหน่อย แบบดูที่มาที่ไปของงานศิลปะเค้าซะหน่อย อย่างน้อยก็ได้ ปย มากกว่าไปถ่ายรูปกะป้ายเค้าน่ะค่ะ ^^'

 

โดย: Sugary GA 18 พฤษภาคม 2548 13:32:27 น.  

 

แย่แล้ว อ่านแล้วจิตยิ่งฟุ้งซ่าน อยากไปดูของจริงมากๆๆๆๆ เลยครับ
ความรู้สึกแบบนี้ถ้าจะเกิดผมว่าต้องดูภาพจริงน่ะ สุดยอดเลย แต่ผมเคยรู้สึกอย่างนี้ตอนดูหนังสือรวมภาพของอาจาร์ย จักรพันธุ์ โปษยกฤต ครับ ( ถ้าสะกดผิดต้องกราบขออภัยอาจาร์ยด้วยนะครับ ) ตอนพลิกไปดูภาพ บุษบาเสี่ยงเทียน ความรู้สึกตอนนั้นลอยๆ สุขใจ สงบนิ่ง ไม่ถึงกับร้องไห้ แต่น้ำตาก็ซึมเลยนะ มองอยู่นานมากๆ รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในนั้นเลยครับ กว่าจะรู้ตัวอีกที ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความรู้สึกนี้ จะทำให้สุขใจได้ขนาดนี้ครับ
ปล ฮือ ฮือ อยากไปดูภาพ Jan vermeer ของจริงจังเลย
แง แง

 

โดย: เถื่อนดิบจ้ะ IP: 61.121.116.237 31 ตุลาคม 2548 17:05:51 น.  

 

คุณ estrella
ได้แวะเข้ามาอ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากนะครับกับประสบการณ์ที่คุณได้รับ ผมเองมิได้จบมาทางศิลปะโดยตรง อาศัยความรู้ที่มีเป็นพื้นฐานเล็กน้อย บวก ความชอบส่วนตัว ผ่านเวลานานทีเดียวครับ พอรู้ตัวอีกทีก็เหมือนมีโลกอีกโลกเกิดขึ้นอยู่ในตัวเอง ผมชอบรูปนี้ตั้งแต่แรกเห็น เรียกได้ว่าตกหลุมรักก็คงใช่ครับ ศิลปะที่เป็นที่สุดนั้นสำหรับผมแล้วประกอบด้วยสิ่งสามสิ่ง

อันดับแรกคือ ได้เห็นเพียงครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืม
อันดับสองคือ การได้เห็นนั้น"กระทบ"ต่อสภาวะความรู้สึกของเรา+++คือคอสมิคเอกซ์พีเรียนส์ที่คุณแจงไว้น่ะครับ
อันดับสามคือ การได้เห็นครั้งต่อๆมาเราจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปของความหมายที่กระทบต่อตัวเราเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในตัวเราเองหลังจากได้เห็นมันในครั้งก่อนหน้านั้น

ภาพนี้สำหรับผม มีทั้งสามอย่างครบสมบูรณ์แบบครับ แม้ว่าผมเองนั้นมิได้มีโอกาสที่จะไปเยี่ยมตัวจริงที่เนเธอแลนด์ ได้โอกาสเพียงได้เห็นภาพจำลองยังกระทบจิตใจได้มากขนาดนี้ สงสัยเวลาได้เห็นภาพจริงๆ จิตคงได้ลอยหายไปเลยแน่ๆครับ

ดีใจที่มีคนรักศิลปินและภาพเดียวกันครับ ยินดีและหวังว่าเราจะได้รู้จักกันนะครับ
Padipark@gmail.com

 

โดย: POP_ART IP: 58.136.225.24 10 กุมภาพันธ์ 2550 12:23:28 น.  

 

อยากรับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้บ้าง กำลังหยอดกาปุกเพื่อจะได้ไปดูภาพของศิลปินชั้นครูอีกสักครั้งเผื่อจะมีความรู้สึกแบบนั้น

 

โดย: nazze IP: 58.8.59.40 19 สิงหาคม 2550 3:29:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


estrella
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






Friends' blogs
[Add estrella's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.