ตี 5 เวลาเนปาล ก็ประมาณ 6 โมง 15 นาที เวลาไทยแลนด์แดนสยาม ผมค่อย ๆ เกร็งกล้ามคอโงหัวเงยหน้าเลื้อยงุด ๆ ออกมาจากกระดอง The North Fake ล้างหน้า แปรงฟัน ... น้ำเย็นจัดจนแปรงฟันทีปากลิ้นชาไปหมด แค่น้ำก็เย็นแล้วดันยกกำลังเย็นด้วยเมนทอลในยาสีฟันอีก แต่ที่ต้องเกร็งเป็นกุ้งสะดุ้งทุกที ก็ตอนที่เอาก้นนิ่ม ๆ ไปสัมผัสชักโครกเย็นยะเยียบนั่นแหล่ะ เลยกลัว ๆ กล้า ๆ อยู่ตั้งนาน
ได้ยินเสียงกุกกักจากห้องข้าง ๆ แปลความได้ว่า "วุ้นเส้น" (นามสมมุติใหม่แทน น้องเผือก บล็อกที่แล้วครับ) เองก็ตื่นแล้ว ได้ยินเสียงวุ้นเส้นร้อง ชะอุ๊ย สงสัยจะสะดุ้งชักโครกมาเหมือนกัน อดทนหน่อยนะ 555 อาหารเช้าไม่ช้าเหมือนอาหารเย็น คุณพี่จันทราให้เราสั่งไว้ก่อนตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว กลัวว่าวุ้นเส้นจะวีน แค่กาแฟดำกับแซนด์วิชทูน่า รสชาติต่ำกว่ามาตรฐานนิดหน่อย ก็เพียงพอสำหรับเริ่มเดินทางกันแล้ว สู้ ๆ วุ้นเส้นฟุ้งให้ฟังว่า ห้องนอนวุ้นเส้นมีหน้าต่างมองออกไปเห็นดาวเดือนลอยรอบภูเขาสวยงามมาก วุ้นเส้นพูดพร้อมทำตาเป็นประกายวิ้ง วิ้ง แบบพระเอกการ์ตูนญี่ปุ่น ขาลีบ หัวโต ผมยุ่ง ขนาดตากินเนื้อที่หัวไปเกือบครึ่ง ก่อนจาก Phakding วุ้นเส้นกรากไปลากเอา พุดเจ น้องหมาตัวเล็กที่รู้จักกันเมื่อวานเย็น เข้ามากกกอด อย่างไม่เกรงกลัวหมัดและเห็บที่ พุดเจ เลี้ยงไว้ + Leaving Phakding อากาศเย็นเยือก เราเลือกใส่เสื้อกันหนาวกันลม จนตัวพองกลม พอเดินได้สักพัก ก็ค่อย ๆ ถอดเก็บทีละชิ้นครับ อากาศยังเย็น แต่คงเพราะเราใช้แรงเดินเหินกันเยอะอยู่ เหงื่อกาฬก็พาลไหล หลังแฉะชุ่ม เดินเลียบทางด่วน เง้ย เลียบแม่น้ำ Dudh Kosi (Milk River) ซู่ซ่า ไหลแรง สีขาวเขียวสวยขุ่น เกิดจากการละลายของหิมะหิมาลัย แร่ธาตุที่ผสมในน้ำทำให้น้ำมีสีสวย แปลกตาหนุ่มลุ่มเจ้าพระยายิ่ง สวยแต่ดื่มไม่ได้นะ จันทราบอก
เราเดินผ่านป่าสวย น้ำตกและลำธารเล็ก ๆ ไหลริน ท้อ บ๊วย กุหลาบพันปี (Rhododendron), Magnolia, Giant Fir ผลิดอกดูเพลิน เหนื่อยก็พักซดน้ำท่าแก้กระหาย ช่วงที่เดินผ่านตามผาหิน คนอื่นที่เคยมาก่อน แนะนำให้สังเกต โชคดีอาจเห็น Himalayan Tahr กับ Musk Deer แต่ผมกับวุ้นเส้นโชคไม่ดี ไม่ยักเห็น Birder อย่างผม สายตามองหาแต่น้องนกหิมาลัยเท่านั้น แต่ก็เจอเพียงแค่ นกเขนหัวขาวท้ายแดง (White-capped Water Redstart), นกเขนเทาหางแดง (Plumbeous Redstart) ที่อินทนนท์บ้านเราก็มี กระโดดกระด๊อกกระแด๊ก กระดุ๊กกระดิ๊กไปตามก้อนหินริมลำธาร ผ่านหมู่บ้าน Chomoa ทางเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ เราใช้เวลากว่า 2 ชม. ก็ถึงหมู่บ้าน Monjo ถึงตรงนี้เราพาตัวเองมาอยู่ที่ความสูง 2,840 เมตรแล้ว สูงกว่าอินทนนท์ เกือบ 300 เมตร เห็น Guest House สวย ๆ หลายที่เหมือนกัน จันทรา บอกขากลับเราอาจจะได้แวะนอนพักที่ Monjo อืม ดีเหมือนกันที่ทำการอุทยานแห่งชาติ Sagarmathar (Everest) อยู่เลย Monjo นิดเดียว จ่ายค่าธรรมเนียมคนละ 1,000 รูปี แวะฉี่แว้บนึงแล้วก็เดิน ... ต่อไปทาวน์เฮาส์แถว ๆ จังหวัด Khumbu Sagarmathar ที่ทำการ NP เก็บค่าหัวเราคนละ 1000 Rs สะพานแขวนเสียวสยอง ... + Suspension Bridge, a Dizzying Height สะพานแขวนต่องแต่งข้ามแม่น้ำ Dudh Kosi มีธงมนต์ผูกประดับโดนลมพัดปลิวไสว ตอนเดินข้ามมีแกว่งให้เสียวนิดหน่อย ถ้าอยากทวีความเสียว ระหว่างที่ข้ามห้ามเกาะราว ตาก็ต้องมอง Dudh Kosi ที่อยู่ต่ำลงไป 100 กว่าเมตร น่าจะเสียวสมใจ เลียบแม่น้ำเลยสะพานมาอีกหน่อย เราก็ถึงหมู่บ้าน Jorsale คุณพี่จันทรา บอกว่าเราควรจะกินอาหารกลางวันกันที่นี่ เราเป็นลูกทริปที่ดี เชื่อฟัง
อิ่มก็ออกเดิน คราวนี้เดินเลียบคู่กันไปข้าง ๆ Dudh Kosi ทางเดินเป็นก้อนหิน ต้องเพิ่มความระมัดระวัง ถ้าพลาดพลั้ง ก้นเราคงชอกช้ำ ตาผมมองทางสลับกับมองสายน้ำเขียวขาวซู่ซ่า ของ Dudh Kosi เผื่อจะเห็น หนูน้ำ (Water Rat) ล้อคลื่นให้ชื่นใจมั่ง ก็ไม่มี + Rare Bird (of Thailand) เจ้าป่าเจ้าเขาแห่ง Sagarmathar ท่านคงเข้าใจและเห็นใจ นักเดินทางบ้านไกลใจดีอย่างผม ... เจี๊ยก !!! ผมไม่เห็นหนูน้ำหรอกนะ ผมเห็นนก ... นกมุดน้ำ (Brown Dipper) นกที่หากินด้วยการกระโดดปุ๊ลงน้ำ ดำไปหากินแมลงใต้น้ำ วุ้นเส้นกับจันทรา ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้ผมใช้เวลาดูน้องนกกระโดด มุดขึ้น มุดลง อยู่จนบินไปหากินที่อื่น ฮี่ ๆ ดีใจจัง++ เจอขาใหญ่บนสะพานแขวน ขาเรียว ๆ ต้องหลบนะครับ ความดีใจไม่ทันจาง เราก็มาถึงสะพานแขวน สวิสเมด ข้าม Dudh Kosi อีกแล้ว จุดนี้พิเศษตรงที่ เป็นจุดนัดพบกับแม่น้ำ Bhote Kosi ที่ไหลจากตะวันตก กับ Dudh Kosi ที่มาจากตะวันออกพอดิบพอดี สะพานนี้สูงและเสียวกว่าสะพานก่อนหน้า ในระดับความสูงที่สร้างความคลื่นเหียรให้คนขวัญอ่อนได้ ดีนะ ที่ผมเป็นแค่คนใจอ่อน
+ Up up up and up ระยะทางต่อจากนี้ไม่มี Up and Down
Up and Down อีกแล้ว มีแค่ Up Up Up and Up
อย่างเดียวเท่านั้น โอ ... แม่เจ้า ช่วยลูกช้างด้วยเป็นเวลาเกือบ 2 ชม. ที่ผมแทบไม่ได้คุยกับวุ้นเส้นหรือจันทราเลย เจอใครเดินสวนเดินแซงกันใน Trail ก็จะเอ่ย Namaste ทักทายกัน ถึงตรงนี้ผมทักได้แค่ Hi คำเดียว ขยับปากหน่อยเดียว ประหยัดแรง เดินขึ้นได้ 100 ก้าว ก็ต้องหยุดพักอ้าปากหอบ พอหายหอบรอให้หัวใจเต้นเป็นปกติ ก็ Up ต่อ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ทางเดินช่วงนี้ ฝุ่นเยอะมาก ผมเอาที่ปิดปากปิดจมูกมาด้วย มัวแต่โชว์แมนไม่ได้ล้วงออกมาใช้ เลยรับประทานฝุ่น ระหว่างอ้าปากหอบไป มิใช่น้อย ถึงกับอิ่ม ที่จริงระหว่างขึ้น Namche Bazaar เราสามารถมองเห็นยอด E verest ได้ด้วยนะ แต่บ่าย ๆ อากาศปิดมัวซัวแบบนี้ โอกาสจะเปิดให้เราเห็น ก็เป็นไปไม่ได้ + Danger Zone จาก Lukla ตะกายป่ายปีนไป Namche Bazaar ที่ความสูง 3,420 เมตร ผู้รู้ทั้งหลายแนะนำว่า เราไม่ควรบ้าพลัง โชว์พาว รีบร้อนเดินนะครับ ค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ แบบนี้ จิบน้ำบ่อย ๆ ถูกตามแบบแผนดีอยู่แล้ว จันทราเน้นย้ำอยู่บ่อย ๆ ตลอดการเดินทาง
เหตุที่ว่า เรากำลังใต่ระดับความสูงที่เป็นรอยต่อระหว่างความเป็นกับความตาย ... จาก โรคแพ้ความสูง AMS (Acute Mountain Sickness) ถ้าเป็นน้อย ๆ ก็แค่มีปวดหัว คลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ้วกแตก หัวใจเต้นรัว มากกว่านั้น อาจหมดแรง เดินก้าว 2 ก้าว ล้มแผล่ะ ๆ ภาพหลอน หายใจไม่ออก น้ำท่วมปอด ท่วมสมอง ..... ตาย แต่ร่างกายมนุษย์สุดมหัศจรรย์สามารถที่ปรับตัวได้ ถ้าให้เวลา เหตุฉะนี้เราจะนอนเปิดโอกาสให้ร่างกายปรับตัว 2 คืนที่ Namche Bazaar แต่ถ้ามีอาการ AMS แล้วไม่ดีขึ้นหรือเลวร้ายกว่าเดิม หนทางรอดก็มีแต่ต้องลงที่ต่ำกว่าสถานเดียวเท่านั้นครับก่อนเดินทางวุ้นเส้นเป็นกังวลเรื่องนี้มาก จนผิวหน้าที่เคยขาวถึงกับหมองคล้ำไป
++ เมืองในกระทะ Namche Bazaar เขาที่เห็นไกล ๆ ชื่อว่า Kwangde Ri -- ถ่ายทำจากขอบกระทะเด้อ + Namche Bazaar (नाम्चे बजार) คงไม่ต้องบอกว่าเราดีใจแค่ไหน ที่พอพ้นโค้งแล้วเรามองเห็น Namche Bazaar เมืองที่เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ทุกอย่างอยู่ตรงหน้า Namche Bazaar เป็นเมืองที่สร้างอยู่ในหุบที่ดู ๆ ไปก็เหมือนบ้านเมืองที่ถูกสร้างลายล้อมอยู่ในกระทะใบมหึมา โอบกอดด้วยยอดเขา Thamserku (6,608 m) ทางทิศตะวันออกและ Khumbila (5,761 m) ทางทิศเหนือ Trekker ทั้งหลายที่ยังขาดอุปกรณ์หรือเสบียง ก็หาซื้อหาเช่าได้ที่ Namche Bazaar แห่งนี้ ราคาแพงกว่าที่ Kathmandu นิดหน่อย แม่ค้าชาวทิเบตให้เหตุผลว่า สินค้าของเธอต้องขนมาทางเครื่องบินนะฮะเฮีย จะให้ถูกเท่าที่ Thamel ได้จะไดก๊า ก็จริงของเธออาหารการกินนับจากนี้ไป ความอร่อยจะเริ่มสวนทางกับราคา รวมถึงน้ำอุ่น ๆ ที่เราอยากอาบ ก็จะทวีความแพงตามความสูงไปด้วย ++ Hotel Everest ที่เราซุกหัวกบดาน 2 คืน ... พอเรามาถึง Hotel Everest ผมกับวุ้นเส้นก็ไม่ลังเลที่จะขออาบน้ำอุ่น ห้องใครห้องมัน อาบกันควันเต็มห้อง ปรับไม่ดีอาจมีลวก พึงระวังอวัยวะสำคัญอาจเสียหาย อาหารเย็นเราสั่ง Yak Steak มาลองชิมดู หลังจากเดินสวนกับ Yak มาหลายสิบตัว แต่ก็รู้มาก่อนแล้วว่า เราจะหาเนื้อ Yak แท้ ๆ กินได้ยากเต็มที เพราะประเทศนี้ วัว เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจแตะต้อง แล้ว Yak แถวนี้ ก็ไม่น่าจะมีสายพันธุ์บริสุทธิ์แล้ว มักมีเลือดผสมของวัวที่ผสมข้ามพันธุ์กัน ฮินดูหน้าไหนจะกล้าทำร้าย Yak ได้ลงคอ แล้ว Yak Steak ที่ผมกะเผือกกระเดือก ... อ่า ลืม ๆ ... น้องวุ้นเส้นกระเดือกอยู่นี่เป็นเนื้อสัตว์สปีชีส์ไหนกันเล่าพี่จันทราเฉลยว่า ส่วนใหญ่เป็นเนื้อ น้องกระบือ Water Buffalo ... นี่เอง อร่อย อิ อิ
++ Yak แท้ ๆ ขนต้องยาวสยาย ถ้าขนสั้น มักจะผสมข้ามพันธุ์กับวัวศักดิ์สิทธิ์ครับ ถ้าเป็นตัวผู้ เรียกว่า Yak ... ตัวเมีย เรียกว่า Nak ครับท่าน ... ++ ยอดเขาเด่น ๆ เป็น Background ชื่อว่า Khumbila (Khumbu Yul Lha) - Khumbu region gods sacred mountain เจ้าของที่นี่ หน้าตาตี๋ รูปร่างท้วมไม่ค่อยสูง ชื่อ ดิล (แต่ก็แอบได้ยินจันทราเรียก "ดิลเล่" เหมือนกัน)แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Heart แปลเป็นไทยว่า หัวใจ จันทราเล่าว่า เมื่อก่อนนี้เป็น กุ๊กเก่าฝีมือดี อยู่โรงแรมใหญ่โตที่นี่ ทำอาหารอร่อยมาก ... ผมกับวุ้นเส้นเชื่อสนิทใจเลยครับ พี่จันทรา เพราะว่า อร่อยโค่ด
+ Acclicatisation หลับสบายดีจัง ... ขอแหวกม่านดูวิวหน่อยนะ อ่ะจ๊าก !!! อากาศใส ๆ ไร้เมฆหมอก มองเห็น Thamserku อยู่ตรงหน้า โดดเด่นเป็นป้อมปราการ ภูเขาหิมะอยู่หน้าห้องเพียงแค่ก้าวเท้าออกมาไม่กี่ก้าว ผมรีบเปิดประตูออกมาขยี้ตาดูชัด ๆ จมูกสูดดูดดมไอหนาวอันเย็นฉ่ำจนชุ่มปอด ... แต่ทำไมกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอฟระ
แปดโมง เสร็จกิจกับอาหารเช้า เราก็เริ่มปฏิบัติการสร้างความเคยชินกับความสูง ออกซิเจนน้อย ด้วยการเดินขึ้นที่สูงขึ้นไปอีก 400 เมตร แล้วก็กลับลงมา เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว สนิทสนมกับความสูงที่เพิ่มขึ้น
วุ้นเส้นกับผม เดินต้อย ๆ ตามจันทรา ขึ้นไปตามทางเดินด้านหลังโรงแรม ผ่านวัดทิเบต (Monastery) ไต่ขอบกระทะไปเรื่อย ๆ เหนื่อยเหมือนกัน++ นักท่องเที่ยวคนนึง ที่ริอ่านมาขวางทางปืนผม 555 + Everest View Hotel ภาระกิจเช้านี้ เราจะไป Hotel Everest View กันครับ โรงแรม 5 ดาว ราคาห้องพักคืนละหมื่นกว่าบาทเท่านั้น มีห้องปรับความดันแถมสั่งออกซิเจนได้ด้วยนะครับ ไม่ต้องกลัว AMS ที่ Hotel Everest View เป็นจุดที่สามารถเห็นยอด Everest, Ama Dablam ได้ชัดถนัดตา ถ้า (น้อง)ฟ้าเป็นใจ ++ บริเวณนี้ Hotel Everest View จัดไว้ให้ ขาจรทั้งหลาย นั่งสูบบรรยากาศหิมาลัยแบบ สุดไกลตา ฟ้ากว้างใหญ่เพียงใด ส่งดวงใจถึงกัน ..... เดินสบาย ๆ เอ้อระเหย ไม่ต้องรีบร้อน กินลมชมวิว สบายใจ เดินได้พักใหญ่ก็มาถึง Shyangboche (3790 m) เป็นลานกว้างเรียบโล่ง หนังสือ ดาวโดดเดี่ยว บอกว่าสร้างสำหรับรับส่งคนและเสบียงของ Hotel Everest View ครับ + Himalayan Panoramic View กว่าจะขึ้นไปถึง Hotel Everest View แดดก็ร้อนแรงเต็มที่ ไปนั่งตรงระเบียงที่โรงแรมเค้าจัดไว้ให้สำหรับขาจร สั่งชาอุ่น ๆ มากินแก้หนาว น่าเศร้าตรงที่เรามองไม่เห็น E verest ครับ แต่ก็ชัดเพียงพอให้เราได้เห็น Ama Dablam (6,856 m) ถ้ามาเดือนตุลา (
เอ่อ ผมจะพูดถึงเดือน ตุลา อีกหลายครั้งนะครับ) คงสวยใสซึ้งกว่านี้เยอะ แต่แค่นี้ก็ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยแล้ว
++ ถ้าเป่าเมฆปุย ๆ ขาว ๆ ข้างบนโน้นออกไปได้ เราจะเห็น Mt. Everest ได้เลยนะ T_T กลับมากินอาหารกลางวันกันที่ ครัวพี่ดิล ... ผมลองสั่ง Dalbat อาหารเนปาลีมาลองดู เป็นข้าวเปล่าเสิร์ฟคู่มากับแกงคล้าย ๆ มัสมั่น เราเลือกได้ว่าจะเอาแกงไก่ Yak หรือใส่แต่ผัก มีซุปถั่วสีเขียว ๆ เละ ๆ ต้มกับงาดำ ๆ อร่อยดี แก้เลี่ยนด้วย ผักดองคละชนิดเปรี้ยวและเผ็ดคล้าย กิมจิ วุ้นเส้นสั่งอะไรจำไม่ได้แล้ว ไม่ได้ใส่ใจ 555 + Tibatan Market บ่าย ๆ ผมกับน้องวุ้นเส้นไปเดินเล่นกันในตลาด ซื้อถุงมืออย่างหนาไว้กันลม กับผ้าพันคอขน Yak นุ่ม ๆ ไว้เพิ่มไออุ่น ขนมขบเคี้ยวช็อคโกเลตหาซื้อได้ราคาย่อมเยา ของขายเยอะมากคล้าย ๆ กันกับที่ Thamel น่าจะมาจากแหล่งเดียวกันแหล่ะ เดินไปเดินกลับหลายรอบ กว่าจะได้ของครบ หมดน้ำลายไปหลายหยด หมดตังค์ไปหลายรูปี วุ้นเส้นเห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ต้องคอยปราม
++ Tibetan Market ที่ Namche Bazaar ละลายรูปีในกระเป๋าได้อย่างง่าย ๆ ถ้าใจไม่แข็ง สักพักฝนเริ่มตกปรอย ๆ แต่อากาศเย็นแบบนี้ โดนฝนด้วยคงไม่ปลอดภัยต่อร่างกายอันบอบบาง เราเลยต้องถนอมไว้ในผ้าห่มอุ่น ๆ ตลอดบ่าย ฮี่ ๆ นอนเพลิน ๆ เด็กฮิพฮอพ ลูกกระจ๊อกพี่ดิลก็มาเคาะห้องตะโกนถามว่า ฮ็อท ซาว บ่ ... อะไรของมันฟระ ฮ็อท ซาว ฮ่วย Hot Shower น่ะเอง โอเช ปล่อยน้ำร้อนมาโล่ด ดูท่าวุ้นเส้นเองจะหลงเสน่ห์เมืองในกระทะแห่งนี้ไม่น้อย ผมก็เองชอบ เลยเอ่ยปากแกล้งถาม จันทราไปว่า ต้องทำไงนะ ผมถึงจะมีบ้านที่นี่ได้สักหลัง จันทราบอกว่า บ้านที่นี่ราคาค่อนข้างแพงนะนายจ๋า คนแถวนี้ก็รวย ๆ ทั้งนั้น ยูต้องยอมพลีกายหาเมียที่นี่ให้ได้สักคน ถึงจะพอมีทาง โธ่ ... แล้วจะมีใครเอาผมล่ะคร้าบ คุณพี่
Artist : Enigma Album : The Cross of Changes Year : 1994 Title : Return to Innocence (Long & Alive Version)ไม่ดูแล้ว ... . Love - Devotion Feeling - Emotion . Don't be afraid to be weak Don't be too proud to be strong Just look into your heart my friend That will be the return to yourself The return to innocence . The return to innocence . If you want, then start to laugh If you must, then start to cry Be yourself don't hide Just believe in destiny . Don't care what people say Just follow your own way Don't give up and use the chance To return to innocence . That's not the beginning of the end That's the return to yourself The return to innocence
หนูว่าพี่น่าจะลองพลีชีพเพื่อบ้านซะหน่อยนะ เฮ่ะๆ ถือเสียว่าเป็นกุศลบ้านพักต่างแดนของน้องๆ นุ่งๆ แถวนี้นะจ๊ะนายจ๋า