ตี๋หล่อมีเสน่ห์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ก็แค่คนๆหนึ่งที่ชอบดูหนัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้อัพเดตข้อมูลอะไรเพิ่มแล้วนะครับ


Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2549
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
24 พฤศจิกายน 2549
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ตี๋หล่อมีเสน่ห์'s blog to your web]
Links
 

 
ความทรงจำดีๆกับเทศกาลหนังสยองขวัญของผู้กำกับหนังสยองขวัญ 13 คน Masters of Horror

เกริ่นนำกันหน่อย

เทศกาลหนังสยองขวัญ Masters of Horror ครั้งนี้จัดขึ้นที่โรงหนัง House RCA (เฮ้าวส์ อาร์ซีเอ) โดยเริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2549 จนถึงวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน 2549 โครงการนี้...เป็นการรวมตัวของผู้กำกับหนังระทึกขวัญ สยองขวัญถึง 13 คนด้วยกัน...จากการชักชวนของผู้กำกับ มิค แกร์ริส ที่โด่งดังมาจากหนังสยองขวัญ(ผลงานของสตีเฟ่น คิงส์)ทางทีวี The Stand ผู้กำกับแต่ละคนต้องทำหนังที่มีความยาวตอนละ 1 ชั่วโมง....ด้วยงบจำนวนหนึ่งที่ให้แต่ละคนไปสร้างกันเอง และไม่จำกัดขอบเขตเนื้อหา รวมทั้งรายละเอียด...เพื่อนำมาฉายบนจอทีวี (ยกเว้นเรื่องภาพโป๊เปลือยบางอย่างและความรุนแรงที่ทำกันระหว่างเด็ก...ซึ่งต้องจำกัด)

และอีก 12 ผู้กำกับที่ประธานโครงการ มิก แกร์ริส (ในตอน Chocolate) ชวนมาทำหนังด้วยนั้น ประกอบไปด้วย...

1. ผู้กำกับ ดอน คอสคาเรลลี โด่งดังมาจาก Bubba Ho-tep ในตอน Incident on and off a Mountain Road
2. ผู้กำกับ สจวร์ต กอร์ดอน โด่งดังมาจาก Re-Animator ในตอน Dreams in the Witch-House
3. ผู้กำกับ โทบี ฮูเปอร์ โด่งดังมาจาก The Texas Chainsaw Massacre และ The Poltergeist ในตอน Dance of the Dead
4. ผู้กำกับ ดาริโอ อาร์เจนโต โด่งดังมาจาก Suspiria ในตอน Jenifer
5. ผู้กำกับ โจ ดังเต โด่งดังมาจาก Gremlins ในตอน Homecoming
6. ผู้กำกับ จอห์น แลนดิส โด่งดังมาจาก An American Werewolf in London ในตอน Deer Woman
7. ผู้กำกับ จอห์น คาร์เพนเตอร์ โด่งดังมาจาก Halloween ในตอน Cigarette Burns
8. ผู้กำกับ วิลเลียม มาโลน โด่งดังมาจาก House on Haunted Hill ในตอน The Fair-Haired Child
9. ผู้กำกับ ลัคกี้ แม็กคี โด่งดังมาจาก May ในตอน Sick Girl
10. ผู้กำกับ แลร์รี โคเฮน โด่งดังมาจากการเขียนบท Phone Booth ในตอน Pick Me Up
11. ผู้กำกับ จอห์น แม็กนอห์ตัน โด่งดังมาจาก Hellraiser ในตอน Haeckel’s Tale
และ 12. ผู้กำกับ ทากาชิ มิอิเกะ โด่งดังมาจาก Visitor Q ในตอน Imprint

แต่แล้วไม่วายที่หนังจิตไม่ปรกติอย่าง Imprint จำต้องถูกถอดออกจากโปรแกรมการถ่ายทอดทางทีวีในอเมริกาจนได้เนื่องจาก"ฉากรุนแรง"บางฉากในหนัง อีกทั้งที่หน้าโรงหนัง House RCA (เฮ้าวส์อาร์ซีเอ) ก็ยังมีการติดประกาศไม่ขายตั๋วหนังเฉพาะเรื่องนี้ให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีด้วย

สำหรับการฉายหนังทั้งหมด 13 เรื่องที่มีความยาว 1 ชั่วโมงนี้ ภาพยนตร์ทุกเรื่องฉายด้วยระบบ DVD ความยาวแต่ละเรื่องคือ 1 ชั่วโมง (ไม่มีการเซ็นเซอร์อะไร) หนึ่งวันฉายทั้งหมด 3 เรื่อง และในแต่ละสัปดาห์จะเปลี่ยนเรื่องไปทุกๆ 3 เรื่องจนถึงสัปดาห์สุดท้ายที่จะมีทั้งหมด 4 เรื่อง

ส่วนราคาบัตรเข้าชมความสยอง คือ เรื่องละ 50 บาท ถ้าดูเต็มวัน 3 เรื่อง ก็ราคาเดียว 100 บาท (ส่วนสมาชิก House ก็เหลือ 80 บาท) แต่ถ้าดูความสยองตลอดทั้งเดือนกับหนังครบทั้ง 13 เรื่อง ก็ราคาเดียวไปเลย 320 บาท (ส่วนสมาชิก House ก็เหลือ 280 บาท) หมายเหตุก็คือ ถ้าเป็นสมาชิก House RCA ต้องนำบัตรพร้อมบัตรประชาชนของเจ้าของชื่อมาแสดงพร้อมกันด้วยนะครับ

เนื่องจากหนังทุกเรื่องฉายตรงตามเวลาที่กำหนด ไม่มีตัวอย่างหนังอะไรเลย ก็มีเรื่องตลกอยู่นิดนึงครับ คือ ตอนผมจองตั๋วหนังเข้าไปดูความสยองในสัปดาห์ที่ 2 ผมพยายามเข้าไปให้พอดีกับเวลาเพราะกลัวหนังเรื่องก่อนหน้านี้ยังไม่จบดี (คือไม่อยากเห็นท้ายเรื่องของหนังเรื่องนั้นเพราะกลัวจะเห็นจุดหักมุมหรือฉากคลายปม การสปอยล์นั่นเอง) พอมองนาฬิกาได้ฤกษ์สำหรับหนังเรื่องต่อไป ผมพุ่งเข้าโรงหนังโดยฉับพลันเพราะกลัวหนังเรื่องต่อไปจะฉายไป ทันทีที่ผมเข้าไป โอ้โห กำลังถึงฉากคลายปมก่อนจบของหนังเรื่องก่อนหน้าอยู่พอดี (เห็นไปห้าวินาที) รีบวิ่งออกมาแทบไม่ทันแล้วพยายามลืมสิ่งที่เห็นแว๊บๆเพราะกลัวสปอยล์จริงๆ (แต่ผมก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรหรอกครับเพราะมันยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย) สรุป หนังเรื่องก่อนหน้านี้ดันฉายจบช้าไปนิดนึง พูดถึงหนังที่ผมอยากดูเรื่องต่อไป...มันคงไม่เริ่มต้นได้ดุเดือดเผ็ดมันส์ทะเลาะกันแบบนั้นแน่นอน ใช่ไหม Sick Girl

และคะแนนที่ให้ ผมเน้นไปที่แนวคิดสร้างสรรค์ การเดินเรื่อง และอารมณ์การเล่าเรื่องในหนังเป็นหลักนะครับ (ส่วนฉาก ความอลังการ หรืออุปกรณ์อะไรนั้น...จะไม่เน้นมากนักเนื่องจาก เป็นหนังที่ได้ทุนสร้างไม่สูงเท่าไหร่)

พูดคุยหนังที่ได้ดูมา

ผมได้ดูหนังมาครบทั้ง 13 เรื่องครับ งั้นเรามาดูกันเลยว่า ผมได้ดูเรื่องไหนมาบ้าง หมายเหตุ ข้อความที่ผมเขียนไม่ได้ตีความลึกซึ้งอะไรมาก สรุปความรู้สึกสั้นๆ และมีการเปิดเผยเนื้อหาของหนังด้วยนะครับ (ถ้ามีความเห็นไม่ตรงกันก็พูดคุยกันได้นะครับ)

***ความหมายของคะแนน***
8.0/10 คะแนน - รู้สึกดีและประทับใจใน "หลายๆอย่าง" ของหนังเรื่องนั้น คุ้มค่าทั้งเงินและเวลา (ดีใจที่ได้ดู...ในความรู้สึกผมนะ) ถ้าคะแนนมากกกว่านั้น...ก็รู้สึกดีและประทับใจขึ้นไปอีก
7.0/10 คะแนน - หนังมี "อะไรบางอย่าง" ที่ทำให้ผมรู้สึกชอบขึ้นมา ถ้าคะแนนมากกว่านั้น...ก็ชอบขึ้นไปอีก
6.0/10 คะแนน - พอใจระดับนึงครับ ถ้าคะแนนมากกว่านั้น...ก็พอใจขึ้นไปอีก
5.0/10 คะแนน - รู้สึกเฉยๆ ถ้าคะแนนมากกว่านั้น...ก็รู้สึกดีขึ้นไปอีกหน่อย
4.0/10 คะแนน - หนังมี "อะไรบางอย่าง" ควรปรับปรุง ถ้าคะแนนมากกว่านั้น...ก็ปรับปรุงน้อยลงไปอีกหน่อย
3.5/10 คะแนน - หนังมีอะไร "หลายอย่าง" ที่ควรปรับปรุง และถ้ายิ่งคะแนนต่ำลงไปมากๆ...ก็ยิ่งรู้สึกว่า ควรปรับปรุงมากขึ้นไปอีก





Sick Girl

★★★★★★★★★★ 6.0/10

"เป็นเรื่องราวความรักระหว่างหญิงสาวสองคน ไอด้าและมิสตี้ เมื่อมิสตี้ถูกแมลงกัดเข้า บรรยากาศความเพี้ยนก็เลยเกิดขึ้น" หนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะมีหลากรส ทั้งเพี้ยนนิดๆ ฮาๆหน่อยๆ หลุดโลกเล็กๆ ผมว่า ฉากที่ไอด้ากับมิสตี้นัดเดทกินอาหารกันในร้านอาหาร...ได้บรรยากาศความโรแมนติกดี ฉากที่มิสตี้นั่งดูทีวีไปหัวเราะไปที่บ้านของไอด้า แล้วมือของไอด้าก็เริ่มคลืบคลานเข้ามาใกล้มิสตี้...ผมลุ้นและยิ้มเหมือนกันว่า จะเกิดอะไรขึ้น หนังมีจุดหักมุมนิดหน่อย...ซึ่งไม่ถึงกับอึ้งอะไรแต่เลือกหักมุมได้พอเหมาะเมื่อไอด้ารู้ความจริงว่า ทำไมพ่อของมิสตี้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ต้องส่งแมลงมีพิษมาให้เธอ รวมทั้งความลับที่มิสตี้เปิดเผยความจริงต่อมาด้วยว่า เธอแอบจุดจุดจุดไอด้ามาก่อน พฤติกรรมกึ่งเพี้ยนของ Angela Bettis ในบทไอด้า...แสดงออกมาได้น่ารักดีกับอาการพูดที่เหมือนคนเก็บคำ เนิบๆช้าๆ และเก้อเขินเวลาอยู่ใกล้คนที่แอบรัก ส่วน Erin Brown ในบทมิสตี้ เวลาเธอทำหน้าโกรธแบบของขึ้น...ก็ดูเพี้ยนตลกได้ใจไปเลย อย่างเดียวที่หนังขาดไป คือ เจ้าตัวแมลงที่หลบอยู่ในห้อง...น่าจะสร้างใส่ปัจจัยความระทึกให้กับมันได้มากกว่านี้ อ้อ เรื่องนี้ชวนให้ผมนึกถึงผลงานของคาสุโอะ อุเมสุ ใน Japanese 6 ที่ผ่านมาด้วยกับตอน Snake Girl สรุปคือ ชอบความเพี้ยนตัวละครเรื่องนี้ รวมทั้งการคลายปมตอนจบด้วยครับ





Haeckel’s Tale

★★★★★★★★★★ 4.0/10

"สตีฟไปหาแม่หมอเพื่อต้องการให้ปลุกชีวิตภรรยาของเขาที่เพิ่งเสียชีวิตลงไป แม่หมอจึงเล่าเรื่องราวตำนาน Haeckel ให้เขาฟัง" อาจเป็นเพราะว่า เรื่องราวของมนุษย์และผีเสพสมกัน ผมค่อนข้างเฉยๆแล้วก็ได้...ถ้าไม่มีเทคนิคการเดินเรื่องให้แปลกตาออกไปจากหนังที่ผ่านๆมา ส่วนบรรยากาศย้อนยุค...หนังทำได้ดีกับฉากต่างๆตลอดเรื่อง (ถ้าพูดถึงงบประมาณที่ไม่เยอะเท่าไหร่ในการสร้างนะ) จริงๆกว่า 70 เปอร์เซ็นต์แรกของหนังไม่มีจุดสะดุดความชอบอะไรเป็นพิเศษครับ...แม้หนังมีจุดเด่นมาแทรกไม่ให้น่าเบื่อเกินไปในช่วงหนึ่ง ก็คือ การนำมายากลปลุกวิญญาณและวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวพัน...ช่วงที่ Haeckel อยากรู้ความจริงว่า นักมายากลทำให้สุนัขตายไร้วิญญาณไปแล้วกลับมามีชีวิตได้อย่างไร (อารมณ์ประมาณหนัง The Prestige นั่นเอง) ฉากสุดท้ายทิ้งความหลอนไว้บ้างกับเหตุการณ์ในสุสานที่ทุกคนเห็น Elise กำลังเริงรักอยู่กับศพสามีคนเก่า แต่ความตื่นเต้นเหมือนยังไม่เต็มที่นักเพราะก่อนเข้าสุสาน Haeckel และนักมายากลเห็นสุนัขไร้วิญญาณเป็นใบเบิกทางอยู่แล้ว...ซึ่งนำร่องความน่าติดตามได้ดี แต่เหตุการณ์ภายในสุสาน...น่าจะสร้างบรรยากาศเร้าใจได้มากกว่านี้ (ยังไงก็ตาม ก่อนเข้าสุสาน ผมก็เผลอยิ้มได้เมื่อ Haecke เอาก้อนหินอันบะเริ่มทุบหัวสุนัขไร้วิญญาณเท่าไหร่...มันก็ไม่ตาย) แล้วผู้กำกับ จอห์น แม็กนอห์ตันก็ทำคะแนนขึ้นมาได้ในแบบหลอนนิดระทึกหน่อยในฉากจบที่สตีฟพบความจริงว่า หญิงแม่มดผู้มีคาถาเรียกศพภรรยาของเขากลับคืนมาได้ แท้ที่จริงแล้ว เธอก็คือ จุดจุดจุด





Dreams in the Witch-House

★★★★★★★★★★ 4.0/10

"หนุ่มนักศึกษาวอลเทอร์เข้าไปพักยังอพาร์ทเมนท์โบราณราคาถูกแห่งหนึ่งเพื่อทำงานวิทยานิพนธ์ของเขา แต่แล้วเขาก็พบเรื่องราวลึกลับหลังกำแพงห้องนอนอันน่าสะพรึง" สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจดูหนังเรื่องนี้ก็คือ ผมเคยตื่นเต้นกับหนังสยองขวัญเมื่อ 20 ปีก่อนของผู้กำกับ สจวร์ต กอร์ดอน มากๆในหนังที่มีชื่อว่า คนเปลี่ยนหัวคน (หรือ Re-Animator) มาคราวนี้เลยอยากรู้ว่า หนังจะตื่นเต้นหรือมีไอเดียแปลกใหม่ยังไงกันนะเพราะผู้กำกับได้นำผลงานของ H. P. Lovecraft มาขึ้นจอ...ซึ่งคอหนังสยองขวัญลึกลับน่าจะพอรู้จักกัน เริ่มต้นมา...ก็สร้างความอยากรู้แล้วครับว่า วอลเทอร์จะพบบทสรุปเช่นไรกับสิ่งที่เขาต้องประสาทเสียอยู่ตรงกำแพงห้องนอนอยู่เป็นระยะ รวมทั้งความฝันที่เขาพบเจอต่างๆ (แอบชอบตอนที่วอลเทอร์ฝันถึงหญิงข้างห้องนะ แหะแหะ) แต่ช่วงท้าย ตอนที่วอลเทอร์ค้นพบความลับหลังกำแพงที่ห้องแม่มด...หลังจากที่เขาปีนขึ้นไปดูแล้ว ก็โอเคกับความตื่นเต้น (พร้อมกับชายที่อยู่ชั้นล่างนั่งอ่านคัมภีร์แล้วก็เอาหัวโขกเก้าอี้จนเลือดออก) ผมแอบเสียดายเจ้าตัวหนูปีศาจที่น่าจะสร้างความหลอนความน่ากลัวได้มากกว่านี้อีกหน่อย อีกอย่างก็คือ ฉากที่วอลเทอร์เจอแม่มดจริงๆแล้วนั้น...น่าจะเป็นความระทึกตื่นเต้นแบบแรงๆไปได้เลย...ยังได้ ยังไงก็ตาม เมื่อวอลเทอร์ถูกตำรวจจับไป ผมว่า หนังแฝงความหลอนซ่อนช่วงท้ายๆเรื่องได้บ้าง...จวบจนกระทั่งคนดูเห็นหนูปีศาจวิ่งออกมาจากท้องที่ฉีกทะลุ...แม้จะเป็นสรุปที่คนดูคุ้นเคยอยู่ก็ตามที่ทำให้นางพยาบาลและนายตำรวจได้อึ้งทิ้งท้าย แต่ถ้าปัจจัยความหลอนทำได้ชัดเจนกันตลอดเรื่องเลย...จะดีกว่าที่เป็นอีกแน่ๆเพราะหนังเล่นอยู่กับมนต์ดำอยู่แล้ว





Pick Me Up

★★★★★★★★★★ 5.5/10

"รถบัสโดยสารคันหนึ่งเกิดเสียระหว่างทางบนถนนกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยป่า หนุ่มนักโบกกับชายขับรถบรรทุกอาสาช่วยผู้โดยสาร ความโหดจึงเกิดขึ้น" การเดินเรื่องค่อนข้างคุ้นตาทีเดียว นั่นคือ ฆาตกรโรคจิตจัดการกับเหยื่อที่รถเสียอยู่ข้างทางบ้าง หรือรถที่โดนโบกขอร่วมทางไปด้วยบ้าง...บนถนนที่ตัดผ่านป่าเขาซึ่งทอดยาวแทบจะหาบ้านเรือนสองข้างทางไม่เจอเลย ที่ผมชอบก็คือ การที่ให้ฆาตกร(มากกว่าหนึ่งคน)แข่งกันจับเหยื่อ ใครได้เหยื่อเป็นใคร...ก็จัดการกับเหยื่อของตนเอง ไม่มีการยุ่งก้าวก่ายกัน ของใครของมัน (อืม ถึงเลว แต่ก็รู้หน้าที่ดีแหะ) มีอยู่สองฉากที่ผมตลกจนหัวเราะออกมา หนึ่งก็คือ ตอนที่แมรี่ หญิงขี้ระแวงปากจัด พอเห็นแฟนเธอถูกหนุ่มนักโบกยิงตายบนรถบัสที่เสีย เธอวิ่งเตลิดเปิดเปิงพร้อมตะโกนโหวกเหวก "นึกแล้วว่า ต้องเจอแบบนี้ บอกแล้วไม่เชื่อ บ้าจริงๆ ไม่น่าเลย" เสียงเธอตอนวิ่งหนีคลั่งประสาทเสียเข้าป่า...ฮาดี ส่วนที่สองก็คือ ตอนที่สตาเซียโดนมัดอยู่บนรถบรรทุกโดยที่มีฆาตกรหนุ่มนักโบกกับฆาตกรวัยกลางคนขับรถบรรทุกนั่งประกบ ทั้งสามคนทะเลาะและด่ากันไปมา แถมตอนท้าย ยังแย่งเหยื่อกันเองอีก...จี้เหมือนกัน อ้อ นางเอกแฟรูซา บัลก์ในบทสตาเซีย...ผมค่อนข้างชอบเธอนะ (คนเดียวที่แสดงใน The Craft กับ The Waterboy ไง) ฉากจบแม้จะเป็นเทคนิคที่คุ้นตากันเล็กน้อย แต่ผมก็ยังชอบอยู่เพราะมันโรคจิตดีเมื่อเจ้าหน้าที่ขับรถผู้ประสบภัยและคนดูแลผู้ป่วยก็ดันจุดจุดจุด ตกลงว่า ตลอดเส้นทาง คุณอย่ารถเสียเป็นอันขาด สุดท้ายครับ งั้นผมขอเรียกฉากจบนี้ว่า Joyride เวอร์ชั่นเปิดเผยตัวดีไหมเนี่ย





The Fair-Haired Child

★★★★★★★★★★ 6.5/10

"ทาร่าโดนสองสามีภรรยาจับตัวไปขังไว้ที่ห้องใต้ดินในบ้านคฤหาสน์ใหญ่ซึ่งอยู่ไกลผู้คน ที่นั่น เธอได้เจอกับจอห์นนี่ ความลับบางอย่างกำลังถูกเปิดเผย เป็นหนังที่เริ่มต้นมาแบบธรรมดา แต่เหมือนกราฟสูงขึ้นเรื่อยๆแบบฉุดไม่อยู่ในตอนท้าย เรื่องนี้คงต้องรวมอยู่ในเทศกาลด้วยแล้วครับ สิ่งที่ชอบมากที่สุดก็ตอนท้ายเรื่องเริ่มตั้งแต่ ทาร่ายอมช่วยเหลือจอห์นนี่โดยให้จอห์นี่จุดจุดจุด...พร้อมประโยคที่จอห์นนี่บอกกับพ่อแม่ของเขาในเวลาต่อมาว่า เขาต่อรองกับปีศาจให้เหลือเครื่องเซ่นวิญญาณเพียงแค่สองคนเท่านั้น พอเหตุการณ์หลังจากนั้น ทาร่าตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียง จอห์นนี่กับทาร่ายืนพูดคุยกันอยู่ริมหน้าต่าง (ผมชอบฉากที่ทั้งสองยืนพูดคุยอยู่ที่ริมหน้าต่างนะ...โรแมนติกดี ทำภาพสวยด้วย) แต่ฉากต่อจากนั้นที่ทั้งสองเดินรอดซุ้มเถาวัลย์...รู้สึกมันโรแมนติกลดไปนิดนึง แต่ก็ยังโอเคอยู่ อ้อ ภาพที่พ่อและแม่ของจอห์นนี่บรรเลงดนตรีพร้อมๆกัน...ก็เป็นส่วนเสริมให้กับหนังแบบแปลกตาดี ส่วนฉากเริ่มต้นที่ทาร่าขี่จักรยาน (เหมือนจะกลับบ้าน) คืองงนิดหน่อยว่า เส้นทางกลับบ้าน...ทำไมมันดูเปล่าเปลี่ยวได้ขนาดนั้น ประเภทเกิดอะไรขึ้นก็คงหาใครช่วยไม่ได้เลย (แต่ฉากรถพุ่งชนจักรยานที่เธอกำลังขี่อยู่...ทำภาพใช้ได้เหมือนกัน) สุดท้ายครับ จริงๆบทหนังเรื่องนี้ค่อนข้างไปทางเฉยๆนะกับเหตุการณ์ที่ทาร่าและจอห์นนี่ติดอยู่ใต้ดินด้วยกัน ทีแรก...ผมดูไปเรื่อยๆมากกว่า (แม้จะมีฉากหนีตายในท่อเตาอบมาคั่นความระทึกเล็กๆน้อยๆก็ตาม) แต่พอหนังจบด้วยความโรแมนติก ผมกลับมานึกทบทวนเหตุการณ์ในห้องใต้ดินของคนทั้งสองอีกครั้ง มันกลายเป็นความรักโรแมนติกที่แฝงอยู่อย่างที่ผมไม่รู้ตัวเลยจริงๆ เลยได้ใจผมไปกันใหญ่ สุดท้ายครับ เมื่อมองกันดีๆ ชายหญิงวัยรุ่นสองคนที่อยู่ด้วยกันในฉากสุดท้าย...ทำให้คนดูรู้ว่า แม้ใครก็ตามจะถูกเพิกเฉยหรือโดนทอดทิ้ง แต่หนังก็ทิ้งท้ายให้ทุกอย่างมีทางออกที่ดีกับทุกๆคน





Cigarette Burns

★★★★★★★★★★ 5.5/10

"หนุ่มเคอร์บี้ได้รับการว่างจ้างจากมิสเตอร์เบิลลิงเกอร์ให้ไปหาฟิลม์หนังเก่า La Fin Absolue Du Monde ที่ว่ากันว่า ใครดูเป็นต้องประสาทเสีย บ้าไปเลย เมื่อเขาหามาได้ ความน่าสะพรึงจึงเกิดขึ้น" ทันทีที่รู้ว่า ถึงคิวของผู้กำกับสุดโปรดคนหนึ่งในอดีต จอห์น คาร์เพนเตอร์ (กับตำนานฮาโลวีน) ที่กำลังจะขึ้นจอให้ผมเห็นในอีกไม่กี่วินาที ผมค่อนข้างตั้งใจดูเป็นพิเศษ หนังทำบรรยากาศท้ายเรื่องได้ค่อนข้างระทึกปนโหดดี นับตั้งแต่ที่เคอร์บี้พบฟิลม์หนังเก่า(ที่ใครดูเป็นต้องบ้า)จากคัทจา พอเคอร์บี้นำฟิลม์มาให้มิสเตอร์เบลลิงเกอร์เท่านั้น หนังทำบรรยากาศระทึกได้ทันทีเมื่อเคอร์บี้กลับมาบ้านมิสเตอร์เบลิงเกอร์อีกครั้ง แล้วเห็นคนรับใช้ในบ้านมิสเตอร์เบลิงเกอร์ นั่นคือ ฟุง เอาเหล็กหรือมีด(จำไม่ได้แล้ว)ทิ่มเข้าตาตัวเองจนบอดทั้งสองข้างต่อหน้าเคอร์บี้ พอเขาเข้าไปห้องฉายหนัง เคอร์บี้ก็ต้องเจอกับมิสเตอร์เบลิงเกอร์อยู่ที่ห้องฉายหนัง (แทนที่เบลิงเกอร์จะนั่งดูอยู่) ฉากนี้ค่อนข้างโหดเป็นอันดับสองรองจาก Imprint เลยครับเมื่อเบลิงเกอร์ยืนเหมือนคนเหม่อลอยคว้านท้องลากไส้ตัวเองออกมา แล้วดึงไส้เข้าไปในเครื่องฉายหนัง โดยไส้ที่ไหลออกมาจากท้องก็กลายเป็นฟิลม์หนังซึ่งกำลังถูกดึงม้วนเข้าไปในเครื่องฉายตามแรงม้วนของเครื่องกรอฟิลม์เพราะตอนนี้ทุกคนที่ดูหนังเรื่องนี้ต่างก็เพี้ยนบ้ากันไปหมด บรรยากาศช่วงสุดท้ายของหนังเป็นความสั่นประสาทได้ดี และทิ้งท้ายด้วยเจ้าตัวประหลาด(ซึ่งเคยแสดงอยู่ในฟิลม์ม้วนนั้น)ที่มิสเตอร์เบลลิงเกอร์เก็บมาขังเลี้ยงไว้...ก็เป็นผู้ครอบครองฟิลม์ม้วนนั้นไปในที่สุด แต่ถ้าพูดถึงภาพรวมของหนัง บทหนังยังไม่ถือว่า เป็นความเตะตากันซะทีเดียว ยกเว้นความน่ากลัวที่ทำได้ดีในช่วงท้าย สุดท้ายครับ ชอบคำว่า Cigarette Burns ที่เอามาเล่นคำกับชื่อหนังเรื่องนี้เพราะความหมายของมันก็คือ ม้วนฟิลม์ที่กำลังจะฉายจบแล้วและคนฉายต้องเตรียมขึ้นม้วนใหม่ โดยฟิลม์ที่กำลังหมด...จะปรากฏรูปเป็นวงๆล่วงหน้าให้เห็นที่มุมขวาด้านบนก่อนหมดม้วน





Deer Woman

★★★★★★★★★★ 3.0/10

"เกิดการฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น เมื่อผู้ชายในเมืองแห่งหนึ่งถูกฆ่าตายอย่างปริศนาหลายศพ สิ่งเดียวที่เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนค้นพบก็คือ สิ่งที่ฆ่าพวกเขามีลักษณะเหมือนกวาง" ถ้าพูดถึงเนื้อหาโดยรวม...ไม่ได้เป็นความแปลกใหม่มากมาย แต่หนังก็เริ่มต้นได้ดีทีเดียวเพราะสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้ผมได้ว่า เกิดอะไรขึ้นในรถบรรทุกกันแน่...ผ่านการสืบสวนสอบสวน ส่วนนักแสดงสาวที่รับบทเป็นสาวกวาง เธอชื่อ Cinthia Moura แม้ไม่ได้ยินเสียงเธอพูดในเรื่องนี้เพราะเอาแต่ยิ้มกับพยักหน้า แต่ต้องยอมรับว่า หน้าตาสวย รูปร่างและหน้าอกหน้าใจของเธอก็โอเคจริงๆ ส่วนมุกในหนังที่ผมฮาและจดจำได้มากที่สุดก็คือ ตอนที่นักสืบ Dwight นั่งนึกย้อนไปว่า เหตุการณ์ฆาตกรรมที่พิลึกพิลั่นในรถบรรทุกคันนั้น...มันน่าจะออกมาเป็นรูปแบบไหนในหัวของเขา เขานึกซ้ำแล้วซ้ำอีก ตลกและจี้ดีมาก...ทุกครั้งที่เขานึก (โดยเฉพาะตอนที่นึกว่า เจอกวางร่างยักษ์ฆ่าผู้ชายแล้วจับตัวผู้หญิงอุ้มเข้าป่า) พูดกันจริงๆ หนังเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรเลยกับลูกเล่น เพียงแต่ผู้กำกับแฝงความขันที่ซ่อนอยู่ในหนังได้ดีเป็นช่วงๆ และน่าเสียดายที่ตัวหนังมาดิ่งลงตอนท้ายกับบทสรุปเพราะผมคาดหวังไว้ว่า อย่างน้อยฉากสุดท้ายก็น่าจะพลิกโผขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ไม่มีปาฏิหารย์อะไร





Homecoming

★★★★★★★★★★ 6.0/10

"เมื่อเหล่าทหารจากสงครามอิรัคฟื้นคืนชีพกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาได้อีกครั้งเพื่อต้องการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ อะไรจะเกิดขึ้น" ไอเดียของผู้กำกับ โจ ดังเต (ที่เคยฝากฝีมือสนุกแบบสยองยังไงไม่รู้ตอนที่ผมดูเมื่อเกือบ 20 ปีก่อนใน Gremlins และสยองกันจริงๆไปเลยกับ The Howling) สร้างสรรค์เรื่องนี้ออกมาได้บรรเจิดมาก เป็นความสนุกที่มาพร้อมสาระดีที่สุดในเทศกาลนี้แล้ว (ผมให้คะแนนแนวคิดหนังไปเยอะมาก) คิดได้ยังไงเนี่ยกับการให้เหล่าทหารที่เสียชีวิตในสงครามมีชีวิตลุกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อหย่อนบัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่เข้าสภา...แล้วค่อยตายไปจริงๆหลังจากเลือกตั้งเสร็จ...จากคำอธิษฐานที่เป็นจริงของโฆษกพรรค (ทีแรกผมนึกว่า มันจะมีชีวิตเดินเหินเหมือนมนุษย์หลังจากนั้นไปเลย อ้าว ปรากฏอยู่ดีๆก็ล้มลงตายทันทีที่หย่อนบัตรเสร็จ ตอนล้มลงไป...เหมือนจะซึ้งๆดีด้วย) พูดถึงตัวหนัง ผมว่า ผู้กำกับ โจ ดังเตเล่าเรื่องเสียดสีการเมืองได้ดีค่อนข้างแหวกแนว ตัวหนังยังเป็นการเล่าเรื่องย้อนกลับไปในอดีตให้คนดูเห็นว่า ทำไมเดวิดถึงต้องฆ่าเจน แต่แล้วเดวิดก็ต้องเจอจุดจุดจุดเหมือนกัน ติดอยู่เล็กๆว่า ถ้าหนังมีการประชดประชันเสียดสีให้ดูเจ็บๆแสบๆได้มากกว่านี้อีกนิด...น่าจะเยี่ยม อ้อ แต่ก็มีแนวโน้มว่า เหล่าทหารซอมบี้คงไม่เลือกบุชเข้าสภาเป็นแน่ สุดท้ายครับ ประเด็นที่พี่ชายของเดวิดเสียชีวิตในอดีตและสร้างตราบาปเกิดขึ้นในจิตใจของเดวิดนั้น...ผมไม่ค่อยรู้สึกว่า มันจะส่งผลกับตัวหนังโดยรวมเท่าไหร่ เหมือนตอนจบที่หนังเสียดสีด้วยการให้พี่ชายเขาฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง





Chocolate

★★★★★★★★★★ 3.5/10

"เจมี่คือนักปรุงแต่งรสชาติอาหารให้กับโรงงานอุตสาหกรรม วันหนึ่งต้องเกิดรับรู้ประสาทสัมผัสของหญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักมาก่อน...ผ่านจินตนาการ ซึ่งพัวพันถึงการฆาตกรรม" ขอพูดถึงหน้าของพระเอกในเรื่องนี้ก่อนอื่นใด เฮนรี่ โทมัสที่รับบทเป็น เจมี่ เขาดูไม่เปลี่ยนไปจากวันวานเท่าไหร่ (ขนาดไม่ได้เห็นเขามานาน...ผมยังคุ้นและจำเขาได้ดี) นับจากหนังที่เขาเคยแสดงเป็นเด็กชายเอลเลียตใน E.T. วกเข้ามาเรื่องหนังกันบ้าง แปลกนะที่แนวคิดหนังถือว่า น่าสนใจ แต่กลับเดินเรื่องได้ค่อนข้างธรรมดาไปหน่อย ตัวหนังเริ่มเรื่องมาก็ดึงความสนใจผมได้เมื่อเจมี่โดนสัมภาษณ์จากตำรวจถึงการฆาตกรรมหญิงสาวคนหนึ่ง เขาจึงเล่าย้อนเหตุการณ์ไปในอดีต สิ่งที่ชอบก็คือ แนวคิดหนังที่แปลกตาและน่าสนใจ คือ การให้ตัวเจมี่อยู่ดีๆก็มีประสาทรับรู้ถึงหญิงคนหนึ่งขึ้นมา...โดยที่เขาไม่รู้จักเธอมาก่อน และรับรู้ความรู้สึกของหญิงคนนั้นผ่านจินตนาการเท่านั้น ไม่ว่าเธอจะทำอะไร เจมี่ก็มักจะรับรู้ไปด้วย (ขำฉากที่หญิงคนนั้นกำลังมีเพศสัมพันธ์กับชายอีกคน แล้วเจมี่ก็ดันรับรู้อารมณ์ร่วมไปกับตัวเธอด้วย เธอเสียว เจมี่ก็เสียวตาม ทั้งที่อยู่คนละที่ คิดว่า ใครได้ดูตอนนี้...คงฮาในใจกันทั้งนั้น) ส่วนการฆาตกรรม...ผ่านการเล่าย้อนไปในอดีตนั้น ผู้กำกับ มิค แกร์ริสยังไม่สร้างความน่าติดตามทำให้สนุกและระทึกกันเท่าไหร่และที่สำคัญ ควรพลิกแพลงเรื่องบทให้มีสีสันมากกว่านี้ด้วย...ก็จะดี...ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่น่าเสียดายพอสมควร





Jenifer

★★★★★★★★★★ 4.0/10

"นายตำรวจแฟรงค์พบหญิงสาวหน้าอัปลักษณ์คนหนึ่งที่พูดไม่ได้ เขาช่วยเหลือเธอและให้ที่พักพิง แต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลงไป" เรื่องนี้ค่อนข้างสนุกในแบบเดิมๆ คือ มีบรรยากาศคุ้นตากันอยู่แล้ว (แถมมีอารมณ์หนังทีวีเข้ามาแทรกด้วย...เป็นเรื่องเดียวที่รู้สึก งงเหมือนกัน) แต่ประเด็นอย่างนึงที่ผมชอบก็คือ คนกับอมนุษย์...ต่างก็มีความต้องการไม่ต่างไปจากสัตว์ นั่นคือ กินและเสพสม เหมือนในฉากที่แฟรงค์มีสัมพันธ์สวาทเร่าร้อนอยู่กับมนุษย์หน้าประหลาดอย่างเจนิเฟอร์ การเดินเรื่องก็พอมีความน่าติดตามอยู่บ้างกับเหยื่อแต่ละรายที่เจนิเฟอร์เข้าไปกัดกิน (นับตั้งแต่สัตว์เล็กยันเด็ก แล้วก็เป็นผู้ใหญ่) แต่แปลกนะ ใครก็ตามที่เข้าไปพัวพันกับชีวิตของเจนิเฟอร์ ดูเหมือนทุกคนจะผูกพันธ์กับเธอจริงๆ...แม้เธอจะสร้างความพินาศให้ชีวิตเขาคนนั้นก็ตาม (หรือโบราณเขาบอกไว้ รักแท้แพ้ใกล้ชิด จะเป็นจริง) ส่วนฉากเริ่มต้นและฉากจบก็คงเป็นไปตามสูตรในแบบวัฏจักรอย่างที่เราเคยเห็นๆกันมา ที่แปลกใจก็คือ พอคนที่ผูกพันธ์จะฆ่าเจนิเฟอร์ทีไร ต้องมีใครอีกคนมาเห็นทุกที (อันนี้ พูดแซวเล่น)





Dance of the Dead

★★★★★★★★★★ 2.5/10

"ในโลกอนาคตที่การทดลองนิวเคลียร์ได้ส่งผลถึงชีวิตผู้คนมากมาย กลุ่มคนที่รอดก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เริ่มผิดเพี้ยนนอกรีตจากเดิม" ค่อนข้างเฉยมากกับตอนนี้ที่เป็นฝีมือของผู้กำกับ จอห์น แลนดิสเกี่ยวกับบรรยากาศในโลกอนาคตที่คนประชาชนส่วนใหญ่เจอกับมลภาวะจากผลของนิวเคลียร์ อย่างเดียวที่ชอบในหนังเรื่องนี้ก็คือ ท่าเต้นของศพที่ตายไปแล้ว แต่โดนไฟฟ้าจี้ให้ขึ้นมาลุกขึ้นมาเต้น เดินไปเดินมา (เหมือนท่าเบรคแดนซ์สมัยก่อน) ให้ผู้ชมในบาร์ที่ชอบลิ้มลองความพิลึกได้ดูกัน นอกนั้น ผมค่อนข้างเฉยๆนะครับ ผมว่า โทบี้ ฮูเปอร์ยังทำหนังเรื่องนี้ไม่โดนใจเท่าไหร่ (แม้ประเด็นโลกอนาคตที่เมืองมีแต่ความวิปริต รวมทั้งศพสุดท้ายที่อยู่ท้ายเรื่องซึ่งเพ็กกี้จำได้ว่าเป็นพี่สาวเธอ...จะมีความน่าสนใจในการเดินเรื่องอยู่บ้างก็ตาม) และเทียบไม่ได้แน่นอนกับผลงานก่อนหน้านี้ของผู้กำกับท่านนี้อย่าง Texas Chainsaw และ The Poltergeist ด้วย...แม้จะนานหลายสิบปีแล้วก็ตาม หรือแม้แต่หนังเรื่อง Mortuary ที่เข้าโรงฉายเมื่อตอนต้นปี...ยังความสนุกได้มากกว่า อ้อ ได้เห็น Robert Englund ที่เคยรับบทเป็นเฟรดดี้ ครูเกอร์แสดงเป็นเจ้าของบาร์นี้ด้วย และเป็นคนเดียวที่มีนาทีการแสดงที่น่าจดจำมากที่สุด แต่หนังก็เลือกจบได้สะใจดีเมื่อศพนักเต้นคนสุดท้ายก็คือ จุดจุดจุด





Incident on and off a Mountain Road

★★★★★★★★★★ 7.0/10

"หญิงสาวคนหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถชนกลางป่า ที่นั่นเธอพบกับฆาตกรต่อเนื่อง ไอ้หน้าพระจันทร์ ที่จับตัวเธอไปเพื่อทรมานก่อนฆ่าให้ตาย" ทันที่แม่นางเซี่ยวเหม๋ยแห่งสำนักง๊อไบ๊วางค่ายกลดอกท้อขึ้นมา เอ้ยไม่ใช่ ทันทีที่เอเลนสร้างกับดักหลุมพรางพร้อมบ่วงเข็มธนูโดยเธอฉีกเสื้อถอดกางเกงมาสร้างค่ายกล...เพื่อล่อให้เจ้าปีศาจหน้าพระจันทร์มาตกหลุมพลาง คะแนนหนังเรื่องนี้พุ่งกระฉูดแบบฉุดไม่อยู่ทันที (ทั้งที่ผมยังไม่รู้ว่า เพราะอะไรเธอถึงเก่งได้ขนาดนี้ แม้จะไม่ถึงกับทะมัดทะแมงกับท่วงท่าซะทีเดียวก็ตาม ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนดีที่ไม่ให้ดูโอเวอร์จนเกินไป) ที่คะแนนมากขนาดนี้เพราะโครงเรื่องเป็นความแปลกตาสำหรับผมมากเหมือนกับ Homecoming ที่ได้คะแนนสร้างสรรค์เยอะเช่นกัน (คิดว่า ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องไหนมาก่อนนะ) พอหนังมาเฉลยปมท้ายเรื่อง...ผมถึงค่อยถึงบางอ้อว่า เอเลนเคยเป็นแฟนของทหารพรานเก่ามาก่อนนี่เอง ส่วนฉากที่เจ้าปีศาจจับคนมาทรมานก่อนฆ่าทิ้งนั้น ฉากที่มันจับคนมาเจาะลูกตาด้วยสว่านเล่น แค่เห็นเลือดข้นๆไหลไปตามดอกสว่านหลังจากเจาะเสร็จ...ก็โอเคดี (แต่ถ้าถ่ายฉากเจาะทะลุเบ้าตาให้เห็นกันจะจะด้วยละก้อ...คงจะเข้าคอนเซ็ปความโหดเต็มร้อย) ส่วนชายแก่ที่อยู่กับเอเลนในห้องใต้ดินด้วยกัน...พฤติกรรมบ้าๆบอๆแบบนั้น สมควรยิงทิ้งแล้ว อย่างเดียวที่ผมรู้สึกก็คือ ถ้าหนังสร้างความระทึกกับเจ้าปีศาจหน้าพระจันทร์ได้มากกว่านี้...อรรถรสในการชมความสยอง คงเห็นอีกเยอะ (โดยเฉพาะวิธีการทรมานและฉากการฆ่าเหยื่อรายอื่นๆในห้องใต้ดิน) สำหรับฉากจบของหนังยังมีหักมุมเล็กน้อย (ซึ่งทำได้โอเคเลย) เมื่อเอเลนเปิดกระโปรงท้ายรถ แล้วภาพในอดีตก็ย้อนกลับมาให้คนดูรู้ทันทีว่า เพราะอะไรถึงต้องมีสิ่งนั้นอยู่ท้ายรถ รวมทั้งการที่เธอทำหุ่นไล่กาเลียนแบบปีศาจหน้าพระจันทร์ขึ้นมาเองซะเลย สุดท้ายครับ แอบคิดเหมือนกันว่า ถ้าหนังใช้ความสามารถของเอเลนที่ได้จากบรูซ(สามีทหารพรานคนเก่าของเธอ)เพิ่มขึ้นอีกสักฉากสองฉากในแบบไม่ต้องคล่องกันเกินไปเหมือนตอนวางกับดักตอนต้น...คงสะใจเหมือนกัน





Imprint

★★★★★★★★★★ 8.0/10

***เรื่องนี้ผมเล่าฉากโหดวิปริตแบบละเอียด ถ้าไม่กล้า อย่าอ่านนะครับ เตือนไว้ก่อน (เอ๊ะ หรือยิ่งเขียน เหมือนยิ่งยุ)***

"นักข่าวชาวอเมริกันเดินทางไปตามหาคนรักที่ประเทศญี่ปุ่นบนเกาะแห่งหนึ่ง เขาไม่พบหญิงคนดังกล่าว แต่กลับพบสาวโสเภณีหน้าประหลาดอีกคนที่เล่าอะไรบางอย่างให้เขาฟัง ความวิปริตและความเพี้ยนเกิดขึ้นทันที" คงเป็นหนังเรื่องเดียวที่โดดเด่นเป็นสง่าขึ้นมาได้น่าสนใจและดูดีที่สุดในเทศกาล (รวมทั้งอารมณ์หนังดูแปลกแยกออกจากเพื่อนฝูงมากที่สุดแล้วครับ) แม้ผมจะรู้สึกว่า งานชิ้นนี้จะเป็นส่วนผสมกันจากผลงานเก่าๆของผู้กำกับท่านนี้อยู่บ้างก็ตาม แต่ถ้าฝีมือไม่ถึง...ก็คงคุมความหลอน ความวิปริต และความเฮี้ยนเล็กๆเพื่อสะกดคนดูไม่อยู่แน่นอน นับตั้งแต่ฉากที่โคโมโมะโดนทรมานโดยถูกมัดเชือกทั้งแขนขาและลำตัว หนังทำฉากนี้ได้ค่อนข้างถูกใจคอซาดิสซ์ดีแบบนุ่นนวลปราณีตแต่ได้ผลจริงจังด้วยการลงโทษโดยเอาแท่งเหล็กเผาไฟให้ร้อนที่ปลายแท่งจนแดงก่อน แล้วก็จี้เข้าไปที่รักแร้ (เธอร้องลั่น แต่เสียงออกมาไม่ดังเพราะปากก็โดนเชือกรัดไว้ด้วย) หลังจากนั้นก็ทำการจี้ซ้ำอีกที แต่คราวนี้จี้ไปทั้งกำมือที่รักแร้อีกข้างเลย หลังจากนั้น หญิงคนเดิมซึ่งเป็นคนทรมานโคโมโมะก็เอาเข็มเหล็กเล็กๆยาวๆที่เหน็บไว้อยู่ข้างตัว(ไม่ได้ร้อนอะไร)แทงเข้าไปตามซอกเล็บทะลุเนื้อเข้าไปถึงเล็บด้านในจนครบทุกนิ้วเลย เลือดข้นๆใสๆทะลักออกทางหลังเล็บจากโคนเล็บด้านใน...แบบเห็นกันจะจะ (หนังถ่ายแบบเห็นกันครบทุกขั้นตอนด้วย...ตั้งแต่เริ่มเจาะทะลุเลย) อ้อ ผู้หญิงคนที่แทงเข็มเหล็กเข้าไปในเล็บ...แสดงสีหน้าได้ประทับใจผมมากๆ (คือ เธอทำสีหน้ายิ้มแบบมีความสุขปนเลือดเย็นขณะแทง...ได้ใจคนดูจริงๆ) และตบท้ายด้วยการแทงเข็มเหล็กชนิดเดิมเข้าไปในร่องฟันที่ติดชิดอยู่กับเหงือกจนทะลุเข้าไปพอดีๆต่อกันไปเลย...ถ้าหนังถ่ายให้เห็นแบบจะจะด้วยล่ะก้อ คงซาดิสซ์เข้ากับแนวทางเทศกาลหนังครั้งนี้เต็มร้อยไปเลย ส่วนภาพที่เธอโดนทรมานโดยการถูกเชือกผูกห้อยโหนอยู่กลางอากาศพร้อมเข็มเหล็กเจาะอยู่ที่ร่องฟันหลายเข็มทั้งบนและล่าง รวมทั้งเล็บทั้งสิบนิ้วนั้น...เป็นภาพเชิงศิลปะที่ดูสวยสยองแบบแปลกตาจริงๆ

สำหรับฉากคลายปมในอดีตของโสเภณีหน้าประหลาดนั้น...เป็นความสนุกได้ทันที (วิธีการเล่าของหนังมีลักษณะคล้าย Rashomon ครับ) เพราะทุกครั้งที่หญิงบริการหน้าประหลาดเล่าความลับในอดีตของเธอออกมาแต่ละครั้ง ผมรู้สึกอยากให้คริสโตเฟอร์ถามเธอไม่หยุดจริงๆเนื่องจากสิ่งที่เธอเล่าความจริงออกมาให้เขาฟังใหม่ทุกครั้งนั้น...เป็นเรื่องราวที่สนุกตลอดเวลากับอดีตอันพิลึก
จนสุดท้ายคนดูก็รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว พ่อและแม่ของหญิงบริการคนนั้นเป็นจุดจุดจุด รวมทั้งความจริงของหญิงบริการคนที่เล่าเองว่า เธอก็มีจุดจุดจุดด้วย (มิน่า ถึงไว้ผมทรงนั้น) สำหรับบรรยากาศของหนัง...ทั้งหลอนและทั้งมีอารมณ์วิปริตเล็กๆแฝงอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นยันฉากสุดท้ายในคุก อย่างเดียวที่ผมรู้สึกยังไม่ประทับใจมากนักในการแสดงก็คือ Billy Drago ในบทคริสโตเฟอร์ ผมว่า เขาให้การแสดงที่ยังไม่ช่วยสร้างความน่ากลัวหรือเสริมความหลอนให้กับหนังเท่าไหร่ ดูนิ่งและเอื่อยเกินไปในบางครั้ง ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับนักแสดงญี่ปุ่นที่ดูขลังและหลอนกันทุกองศา อ้อ ทีแรก...ผมนึกหน้าชายแคระญี่ปุ่นในหนังเรื่องนี้ตั้งนาน ที่แท้เขาก็คือ Mame Yamada ซึ่งเคยแสดงอยู่ในหนังญี่ปุ่น 9 Souls ที่ผมชอบด้วย (จำฉากสุดท้ายที่ทุกคนกลับมาขึ้นรถใหม่อีกครั้งได้ไม่ลืม) สุดท้ายครับ แอบไม่พอใจเล็กน้อยที่ว่า ทำไมไม่เอาพล๊อตเรื่องนี้ไปทำเป็นหนังยาวไปเลย เพราะผู้กำกับ ทาคาจิ มาเอเกะเล่าเรื่องนี้ได้ทั้งวิปริดทั้งหลอนไปพร้อมๆกันดี เสียดายว่า สั้นไปหน่อย ใครที่เคยดู Visitor Q และ Ichi the Killer และชอบ ถ้าเป็นสาวก...คงไม่พลาดเรื่องนี้แน่นอน


Create Date : 24 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 3 ธันวาคม 2551 14:17:11 น. 17 comments
Counter : 6941 Pageviews.

 
ความสยอง คือ อาหารกลางวันของเรา

ปล.ขอบคุณ จขบ.จ้า หยองแบบสะจายทีเดียว ชอบๆ


โดย: โจเซฟิน วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:57:39 น.  

 
ไปดูคนเดียวคงหลอนแย่


โดย: PutterZ (ToppuT ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:13:37:26 น.  

 
ปกติผมไม่ค่อยได้ดูหนังสยองขวัญนะครับ เพราะชักหมดอารมณ์ไม่ค่อยกลัวหนังพวกนี้เท่าไรละ

ยิ่งดูจากคะแนนที่พี่ให้มานี้หมดความอยากเลยไปดูเลยครับ


โดย: I will see U in the next life. วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:16:18:13 น.  

 
ตอบคุณ โจเซฟิน ท่าทางเจอคอซาดิสซ์ตัวจริงให้เข้าแล้วซิ

ตอบคุณ ToppuT แล้วแต่ความกลัวของแต่ละคนด้วยครับ แหะแหะ

ตอบคุณ I will see U in the next life. หนังในเทศกาลนี้ พี่ว่า ไม่ได้เน้นไปที่ความน่ากลัวนะ แต่เน้นไปที่ไอเดียแปลกๆมากกว่า


โดย: เจ้าของบล๊อคมาตอบเอง (ตี๋หล่อมีเสน่ห์ ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:17:07:05 น.  

 
อื่มม... มาพูดถึงทั้งสิบสามเรื่องกันเลยดีมั้ยครับ ^^

Incident on and off a Mountain Road --- เรื่องนี้ผมว่าแนวหนังยังเดิมๆไปหน่อย แต่ชอบเรื่องแนวคิดกับการ flashback ในเรื่องที่แหวกแนวดีครับ (นางเอกของเราก็สวย+โหดเล็กๆ)

Dreams in the Witch-House --- เรื่องนี้ผมล่ะอึ้งกับฉาก จุดจุดจุด ระัหว่างพระเอกกับแม่มดเนี่ยสิ ถึงจะเป็นแค่ความฝันแต่มันก็บรื๋อสุดๆ

Dance of the Dead --- ในตอนนี้ผมกลับให้คะแนนไม่เหมือนพี่นะครับ เพราะผมว่าการที่หนังสื่อสภาพสังคมหลังสงครามโลกครั้งที่สามอย่างเสื่อมทรามถึงขีดสุด พร้อมกับนางเอกผู้อยู่ภายใต้กรอบของแม่ผู้แสนดี ก่อนที่เรื่องราวจะประชดอย่างเจ็บแสบในตอนสุดท้าย (ฉากจบนี่ไำด้ใจผมมาก)

Jenifer --- เ้รื่องนี้ผมล่ะสยองกับเมคอัพของเจนิเฟอร์จริงๆ ถึงแม้บางครั้งยัยเจนิเฟอร์จะพยายามทำตัวน่ารักน่าชัง (อย่างฉากที่ตบมือกระโดดๆตอนพระเอกตำรวจของเรากลับมาที่บ้าน) แต่ก็ไม่วายน่ากลัวอยู่ดี (ทั้งฉากควักไส้เจ้าสัตว์ผู้น่าสงสาร หรือแม้่แต่ฉากเล็กๆอย่างตอนแลบลิ้นเลียปาก) แถมฉากที่ จุดจุดจุด ก็ช่าง....

Homecoming --- เรื่องนี้่ผมก็ให้คะแนนแนวคิดสร้่างสรรค์ของเรื่องมากเหมือนกันครับ รวมไปถึงเนื้อเรื่องที่เสียดสีการเมืองอเมริกันในยุคบุกอิรักกันเ้ถิดแบบนี้ (ยิ่งตอนนับคะแนนเลือกตั้งนี่แหม้่.. ช่างกล้า)

Deer Woman --- เรื่องนี้ให้คะัแนนนางเอกสวยครับ สวยที่สุดใน MOH เลยก็ว่าได้ล่ะ... ส่วนเนื้อเรื่องธรรมดาๆ (แต่ก็ชอบฉากที่นั่งนึกความเป็นไปได้ของคดีเหมือนกัน ฮาได้หลุดโลกจริงๆ 555+)

Cigarette Burns --- ฉากควักไส้ทำฟิล์มนี่เล่นเอาเสียวไปเลยครับ.. ว่าแล้วก็อยากไปหาหนัง La Fin Absolue du Monde มาดูมั่งจัง 555+

The Fair-Haired Child --- เ้รื่องนี้ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมายตอนแรก แต่ไปๆมาๆ กลับสนุกกว่าที่คิด โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทาร่ากับจอห์นนี่ที่ใต้ถุนบ้านของพ่อแม่นักดนตรี (ฉากท้ายๆนี่เป็นอะไรที่ได้ใจผมพอสมควร 55+)

Sick Girl --- เรื่องนี้ผมก็เสียดายที่เค้าไม่เล่นกับรูปลักษณ์อันน่าสยดสยองของเจ้าแมลงวิปริตตัวนี้ (ทั้งๆที่น่าจะเล่นความสยองกับหลานเจ้าของบ้านได้เ้ลยล่ะ นั่นวัตถุดิบชั้นเลิศเลยนะนั่น) ส่วนตัวผมชอบมิสตี้ตอนเธอของขึ้นนะครับ โรคจิตดี

Pick Me Up --- ชอบแนวคิดของเรื่องครับที่เอาฆาตกรโรคจิตสองคนมาเจอกัน ถ้าผมเป็นนางเอกคงเป็นบ้าไปเลยถ้่าต้ิองไปนั่งรถอยู๋ตรงกลางระหว่างตัวอันตรายทั้งสอง (บรรยากาศช่วงแรกทำได้ดีครับ โดยเฉพาะฉากเอางูรัีดคอ หักอารมณ์ดี)

Haeckel’s Tale --- เป็นตอนที่ผมเบื่อและหลับยาวที่สุดในเทศกาลครั้งนี้ครับกับเรื่องราวตอนแรกๆ ก่อนจะเริ่มมาตื่นกับฉากในป่าช้าช่วงหลังๆ 55555

Chocolate --- แนวคิดของเรื่องนั้นน่าสนใจค่อนข้างมาก และฉากที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกร่วมในตอนต้นก็ทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว (โดยเฉพาะตอนที่เสียวแล้วกระตุกตามนี่ พี่เฮนรี่แกเล่นได้เหมือนซ้า) แต่ว่าเรื่องราวหลังจากเจอหญิงสาวคนนั้นแล้วกลับค่อนข้างน่าเบื่อ


Imprint --- โหด สยอง สยิวกิ้ว แต่ดูเนื้อเรื่องไม่ค่อยเข้าใจครับ เหมือนกับมิอิเกะต้องการให้คนดูงงว่าเค้า้ตองการสื่ออะไรกันแน่.. โดยเฉพาะฉากจบ (แต่ว่าตอนเอาเข็มทิ่มเ้หงือกนี่มัน....นะั คิดในใจว่า เห้ย แค่นิ้วยังไม่สะใจอีกเรอะนังพวกนี้ - -*)


โดย: nanoguy IP: 161.200.255.162 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:18:05:41 น.  

 
คุณตี๋หล่อ คุณจะเป็นตี๋ไม่หล่อ ก็ตรงขยักตรงจุดจุดจุด นี่แหละ เล่าหน่อยเหอะท่าน คือเราอยากรู้มากเลยอ่ะ

ปล.เข้ามานั่งคิดไอ้ตรงจุดจุดจุดนี่มันอาไรหว่า


โดย: โจเซฟิน วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:18:26:10 น.  

 
แวะมาอ่าน ผ่านมาทักทายครับ


โดย: ตี๋น้อย Zantha ไม่ได้ล็อคอิน IP: 210.82.175.244 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:19:03:41 น.  

 
ตามคุณตี๋หล่อมาอ่านเลย
เล่าหมดเลยไม่ได้หรือไม่ต้อง จุดจุดจุด ครับ คงไม่ไมีโอกาสได้ดูแน่


โดย: a-ผู้ชั่วร้าย IP: 203.150.14.161 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:20:44:20 น.  

 
ตอบคุณ nanoguy น้องตี้ครับ โอ้โห ร่ายยาวเลยนะครับ แต่ดีใจนะที่เห็นความคิดเห็นน้องตี้ เอาเป็นว่า พี่มีความเห็นคล้ายกับน้องตี้ในบางเรื่องและเห็นต่างในบางเรื่องแล้วกันเด้อ ดีแล้วล่ะครับที่คนเราชอบหนังไม่เหมือนกัน ผู้กำกับจะได้ทำหนังออกมาหลายๆแนวไง

ตอบคุณ โจเซฟิน ถ้าอยากรู้ความจริง สงสัยคงเรื่อง Imprint แน่เลยใช่ไหมครับ งั้นผมขอเป็นพรุ่งนี้ช่วงค่ำๆนะ แล้วจะเข้ามาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกับไอ้ตรงจุดจุดจุดที่คุณสงสัยต่อจากความคิดเห็นด้านล่างๆลงไปเลยแล้วกัน (เดายังไง ก็เดาไม่ได้แน่นอนอยู่แล้วอ่ะครับ ถ้าไม่ได้ดู) พอดีผมต้องมีธุระไปทำก่อนนิดหน่อย อยู่หน้าจอได้ไม่นานอ่ะ

ตอบคุณ ตี๋น้อย Zantha หายหน้าไปนานเลยนะครับ

ตอบคุณ a-ผู้ชั่วร้าย ก็ได้ครับ งั้นพรุ่งนี้แต่ช่วงค่ำๆหน่อยนะครับ ผมจะมีเขียนสปอยล์ให้ฟังว่า จุดจุดจุดที่ว่าของเรื่อง Imprint มันคืออะไร เล่าต่อจากความคิดเห็นด้านล่างเลยแล้วกันนะครับ


โดย: เจ้าของบล๊อคมาตอบเอง (ตี๋หล่อมีเสน่ห์ ) วันที่: 24 พฤศจิกายน 2549 เวลา:21:14:29 น.  

 
วันที่ไปดูล็อตสุดท้าย 4 เรื่อง โชคดีที่ไปถึงแล้วเป็นเวลาฉายของ Imprint พอดี แต่พอหนังวนมาอีกรอบ เรื่อง Haeckel’s Tale ฉายไปได้ครึ่งนึง จอก็มืดวูบลง เหลือแต่เสียงให้จินตนาการ สุดท้ายทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าหนังฉายต่อบ่อได้ จึงให้กีฟเว้าเชอร์สำหรับมาดูเรื่องอะไรก็ได้ ฟรี ท่านละ 1 ที่นั่ง.....ยอดเยี่ยมมากเลย

สรุปว่าเลยดูไม่ครบ13เรื่อง
เรื่องที่ไม่ได้ดูเต็มๆคือเรื่อง The Fair-Haired Child อ่ะค่ะ ทั้งหมดที่ดูแล้ว ก็ขอให้คะแนนสูงสุดกับหนังของเจ้าแห่งการคิดค้นไอเดียในการทรมานคนได้แหวกมากมากอย่างลุง มิอิเกะ ค่ะ หนังแก เดาไม่ได้เลยอ่ะเรื่องนี้ (เรื่องอื่นก็เดาไม่ได้เหมือนกัน) เคยดู Visitor Q อ่ะค่ะ เพี้ยนได้ใจจริงๆ แต่กับ Ichi the Killer นี่ยังมะได้ดูค่ะ ยังใจไม่ถึงพอ แค่เห็นหน้าปกก็........ แล้ว

หนังในโครงการนี้ เห็นด้วยค่ะว่าออกมาในแนวการนำเสนอไอเดียแปลกใหม่มากกว่าจะเป็นหนังผี......ซึ่งก็ดูกันเพลินๆได้สนุกดี

Sick Girl ชอบฉากจบ ไอเดียบรรเจิดมาก
Cigarette Burns ชอบบบ... หลอนดี
Deer Woman ... ไม่หนุก ไม่ตื่นเต้น ไม่เร้าใจเลย
Jenifer ก็ชอบ

นอกนั้นก็ โอเค



โดย: renton_renton วันที่: 25 พฤศจิกายน 2549 เวลา:8:16:05 น.  

 
แค่อ่านยังสยอง นี่ ถ้าไปดูด้วย สงสัยปิดตาทั้งเรื่องแน่ ๆ

ไอ้ผมมันประเภท ดูได้ แต่แบบไม่ได้ชอบหนังสยอง เลือดสาด ขนาดนั้นอ่ะครับ


โดย: ... กระซิบรัก จากความทรงจำ ... IP: 58.9.71.123 วันที่: 25 พฤศจิกายน 2549 เวลา:23:19:51 น.  

 
ตอบคุณ renton_renton โอ้โห House RCA น่ารักดีน่ะเนี่ย อย่างนี้คุ้มค่าเลยอ่ะครับ เท่ากับได้ดูหนังฟรีเพิ่มอีกเรื่องด้วย

ตอบคุณ กระซิบรัก จากความทรงจำ ถ้างั้นหมดสิทธิ์ดูแล้วล่ะครับ แหะแหะเพราะภาพในหนังโจ่งครึ้มเลือดสาดกระฉูด

Spoiler คือจะเล่าหนังเรื่อง Imprint ตรงคำว่า จุดจุดจุด แล้วนะครับว่าคืออะไร สำหรับคุณ a-ผู้ชั่วร้าย และคุณ โจเซฟิน

จุดจุดจุดอันแรกที่ผมบอกไว้ก็คือ พ่อแม่เธอเป็นพี่น้องกันเอง จุดจุดจุดอันที่สองก็คือ เธอมีฝาแฝดแต่ฝาแฝดในที่นี้เกิดมาไม่ครบสามสิบสองครับเพราะเกิดมามีแค่เพียงมือเล็กๆและที่ฝ่ามือนั้นก็มีลูกตา จมูก และปาก ที่สำคัญก็คือ ฝ่ามือที่มีหน้าตาเหมือนคน(แต่คล้ายสัตว์ประหลาด) ดันเกิดติดอยู่กับตัวเธอที่บริเวณศรีษะ เพื่อไม่ให้ชาวบ้านเห็น เธอเลยต้องไว้ผมทรงตั้งๆใหญ่ๆเป็นพุ่มขึ้นเพื่อกลบมือที่มีชีวิตซึ่งอยู่บนศรีษะไม่ให้คนอื่นเห็น


โดย: เจ้าของบล๊อคมาตอบเอง (ตี๋หล่อมีเสน่ห์ ) วันที่: 28 พฤศจิกายน 2549 เวลา:22:44:42 น.  

 
เพิ่งได้มีเวลาเข้ามาอ่านค่ะ
เราไปดูมาครบ 13 เรื่องเหมือนกัน ชอบมากกก

แต่สำหรับเรา ไม่ค่อยชอบเรื่อง dance of the dead กับ chocolate เพราะรู้สึกว่าเอื่อยเฉื่อยไปหน่อย เหมือนจะดี แต่ดูไม่สนุกอ่ะ

นอกนั้นเรื่องอื่นๆที่เหลือ เราให้ 7-9.5/10 เลยนะ ถูกใจมากๆ บางเรื่องก็โหดสะใจ อย่าง imprint หรือ cigarette burns บางเรื่องไม่โหดเท่าไหร่ แต่ดูสนุก และไอเดียเจ๋งดี

สรุปว่าคุ้มมากๆ อ่ะ 13 เรื่อง 320 บาท หุหุ


โดย: ตุ้งมิ้งโรล IP: 202.69.140.233 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2549 เวลา:14:16:24 น.  

 
โอววววววววววว เจอคอหนังตัวจริงซะแล้ว
ชอบดูแนวนี้เหมือนกันคับ แต่เพิ่งดู hill have เสร็จตะกี้ ขอไปพักตาพักใจก่อน เลือดตาแทบกระเด็นตาม ยังไงก็ขอ add ไว้ก่อนนะคับ


โดย: sushiboy69 (sushiboy69 ) วันที่: 21 ธันวาคม 2549 เวลา:1:26:59 น.  

 
เรื่อง Sick Girl มันออกเป็นแผ่นซีดี นานยังค่ะ(อยากได้อะ)
แล้วมันหาได้ที่ไหนอ๊า(ฝากบอกสถานที่ด้วยน๊า)


โดย: ตะลุ๊งตุ๋งแช่ๆๆๆ IP: 203.113.33.13 วันที่: 25 ธันวาคม 2549 เวลา:21:03:25 น.  

 
ตอบคุณ sushiboy69 โอ้โห เรียกว่า คนรักหนังดีกว่าครับ ส่วน The Hills have eyes มันส์ดี

ตอบคุณ ตะลุ๊งตุ๋งแช่ๆๆๆ รู้สึกตอนนี้ แผ่นซีดีหนังเหล่านี้ยังไม่ออกนะครับเพราะหนังเพิ่งเลิกฉายไปไม่นานเอง คือ ถ้าออกมาเมื่อไหร่ หนังก็น่าจะขายอยู่ที่โรงหนัง House RCA (ส่วนที่อื่นผมไม่ทราบครับ) ไว้เดี๋ยวว่างๆ เมื่อไหร่ผมไปดูหนังที่ House แล้วผมจะลองถามเจ้าหน้าที่ที่นั่นให้แล้วกันนะ


โดย: เจ้าของบล๊อคมาตอบเอง (ตี๋หล่อมีเสน่ห์ ) วันที่: 29 ธันวาคม 2549 เวลา:21:32:51 น.  

 
ผมได้ดูครบ 13 เรื่องเหมือนกันครับ เรื่องที่ประทับใจก็มี...

Incident on and off a Mountain Road - นางเอกสวยได้ใจมากและตัวหนังดูสนุกและเพลินดี อ้อ ตาแก่ปากมากที่ถูกขังอยู่ใต้ถุนกับนางเอกเคยเล่นเป็น The Tall Man ในเรื่อง Phantasm(วงจรประหลาด ไม่อุบาทว์แต่ดุ) ของผู้กำกับคนนี้มาก่อนครับ ไม่ทราบว่าเคยดูกันรึเปล่า

Homecoming - ไอเดียสร้่างสรรค์มาก แต่รู้สึกว่าไม่น่าใส่พล็อตรองเรื่องอดีตของตัวเอกมาด้วยเลย

Deer Woman - ชอบเรื่องนี้เพราะมันตลกตอนที่พระเอกจินตนาการแหละครับ แม้จะจบทื่อๆ ไปหน่อยก็เถอะ

The Fair-Haired Child - สนุกกว่าที่คิด จอห์นนี่แก้เผ็ดได้เจ็บแสบและ "เละ" ดี

Imprint - ยอมรับว่างงกับเนื้อเรื่องครับ แต่เพราะเป็นมิอิเกะนะถึงชอบ ส่วนความโหดนั้นผมกลับรู้สึกเฉยๆ นะ อย่างมากก็แค่เสียวๆ ตอนที่ค่อยๆ เอาเข็มจิ้มเข้านิ้ว ผมคงคิดถึงหนังเก่าๆ ขึ้นหิ้งของเขามากกว่า อ้อ รำคาญนาย Billy Drago มากๆ ด้วย

ป.ล. ได้ยินว่าเดิมที George A. Romero จะมากำกับเรื่อง Haeckel's Tale นะ ไม่งั้นซอมบี้คงจะโหดสะใจกว่านี้


โดย: runtboy (runtboy ) วันที่: 30 ธันวาคม 2549 เวลา:23:50:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.