สิ่งหนึ่งที่ชอบในหนังสั้นเรื่องนี้คือ ความเป็นตลกร้าย(ในด้านมืด)ที่ใส่เข้ามา...ซึ่งฝรั่งเศสมักจะทำเรื่องราวตลกร้าย(ในด้านมืด)ได้ดีอยู่ตลอดมาจากที่ผมสังเกต...นับตั้งแต่หนังของผู้กำกับคู่หู มาร์ค คาโรและฌอน ปิแอร์ เยอเน่ในเรื่อง Delicatessen เมื่อสิบกว่าปีก่อน...ซึ่งทำให้ผมเริ่มรู้สึก มันเป็นอารมณ์ร้ายที่เจาะลึกจิตใจมนุษย์ด้านมืดได้ดี เพียงแต่ในเรื่องนี้มันผสมความเหนือจริงเข้าไปอีกต่อ ถ้าวันนึงคุณเกิดมีกล้องที่สามารถถ่ายภาพมนุษย์ แล้วมนุษย์ที่โดนถ่ายก็ต้องเข้าไปอยู่ในภาพ(เหมือนโดนขัง)ทันทีในภาพใบนั้น ส่วนไหนที่ไม่โดนถ่าย...ก็จะโดนตัดอยู่นอกรูป เช่นเหลือแต่ขากับเอว (กลายเป็นคนครึ่งตัวอยู่นอกภาพ) ทุกภาพจะถูกพระเอกนำไปซ่อนเก็บไว้ยังแกลลอรี่ส่วนตัว...ซึ่งนั่นก็รวมถึงแฟนขี้บ่นคนแรกที่เป็นเหยื่อโดนถ่ายภาพอย่างไม่ตั้งใจ หลังจากนั้น...เขาจึงเริ่มจัดการถ่ายภาพ แต่แล้วเมื่อภาพทุกภาพเกิดต้องการจะล้างแค้นขึ้นมา ช่างภาพคนนั้นจะเอาตัวรอดได้หรือไม่ (การเปิดตัวของหนังเรื่องสั้นเรื่องนี้มีอารมณ์ภาพสวยๆเหมือนตุ๊กตา คล้ายเรื่อง La Cité des enfants perdus หรือชื่ออังกฤษว่า The City of Lost Children เลย)
พูดถึงเหตุการณ์ที่เป็นลูกโซ่ต่อๆกันไปนั้น...ผมดูไปเรื่อยๆอย่างไม่สามารถละสายตาได้ เป็นการพัวพันเรื่องราวได้แปลก...เมื่อเวลาผ่านไป แรกๆผมยังรู้สึกว่า หนังเหมือนจะปูเรื่องในเชิงไม่สมดุลย์กับตัวละครหรือเปล่า แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ...จึงเริ่มเข้าใจเนื้อหาและความประทับใจก็เข้ามาแทน หนังมีอยู่ฉากนึงที่ผมฮามาก นั่นคือ ตอนที่เซลแมนร่างอ้วนนั่งดื่มเบียร์ไป ดูวีดีโอโป๊ไป ขณะเดียวกันที่บนเตียงนอน...ไมค์กับโสเภณีกำลังร่วมรักกันอย่างรุนแรง เซลแมนร่างอ้วนหันหน้าไปทางทีวีที่ฉายหนังโป๊ทีนึง หันกลับมาที่เตียงดูของจริงทีนึง...แล้วแถมยังมีการเดินมาก้มดูบริเวณตรงนั้นของทั้งสองด้วยความสงสัยแบบเมาๆอีก...ตรงนี้ฮาจริงๆ และเป็นจุดเดียวในหนังที่มีความฮา นอกนั้น...คุณเตรียมพบกับโลกแห่งความเป็นจริงของประเทศฟินแลนด์ที่ถ่ายทอดออกมาในแง่ลบได้ดีเหลือหลาย ผู้กำกับ Aku Louhimies ยังเป็นคนเขียนบทอีกด้วยนะครับ...น่านับถือการผูกเรื่องราวออกมาในแบบเหงาๆเศร้าๆแต่ฝังใจคนดูได้ และหนังก็ทิ้งท้ายด้วยโศกนาฏกรรมที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...ดั่งที่นิโคได้พูดไว้ตอนต้นเรื่องที่หน้าหลุมฝังศพว่า "คนเราิเิกิดทำไม แต่ไม่ว่ายังไง ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็ย่อมมีทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราทุกคน" สุดท้ายครับ เป็นหนังที่เดินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีความน่าเบื่อเลย เหมือนกราฟที่สูงขึ้นไปด้วยความมั่นคงเมื่อเดินออกมา...มันก็ค้างนิ่งสูงอยู่อย่างนั้น และถ้า Me and You and Everyone We Know จะเป็นแง่มุมที่สดใสในความรัก Paha maa ก็คือแง่มุมห่อเหี่ยวในความเป็นจริง
ผมพยายามจะเลี่ยงหนังอินเดียประเภทตามหาสัจธรรมหรือความฝันต่างๆเพราะหลายๆครั้งที่ผมดู...แล้วรู้สึกว่า หนังยังไม่สามารถทำให้คนดูคล้ายตามได้เท่าไหร่ อย่างเช่น Reaching Silence ที่ผมเคยดูเป็นต้น แต่นับจากนาทีที่หนังเปิดตัวฉากแรกขึ้นมา ผมก็ต้องสะดุดตาและความคิดก็เริ่มเปลี่ยนไปกับภาพชายวัยกลางคน Herbert ที่คลุ้มคลั่งราวกับคนบ้าเพราะทางการจะจับเขา...ด้วยข้อหาเปิดร้านต้มตุ๋นประชาชนด้วยความคิดอันพิลึกของเขา และมีชาวบ้านเข้ามาห้ามปรามไว้ แล้วผมก็ต้องประหลาดใจกับจินตนาการสุดเฮี้ยนเกินคาดอีกเมื่อมีวิญญาณพ่อและแม่ของ Herbert ที่เสียชีวิตตั้งแต่ Herbert ยังเด็ก...มายืนยิ้มและพูดคุยกันถึงตัว Herbert อยู่นอกหน้าต่างห้องนอนลูกชายในชุดเต็มยศแบบร่วมสมัย(แต่แฝงความสยองยังไงไม่รู้)...รวมทั้งยังคอยถ่ายฟิลม์หนังชีวิตของลูกชายตั้งแต่ในวัยเด็กไปด้วย...แค่ฉากแรกก็ได้ใจผมไปเลย
เรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่ชื่อ Herbert ซึ่งหนังเล่าชีวิตของเขาตั้งแต่เด็กจวบจนเป็นผู้ใหญ่ เขาได้ผ่านเรื่องราวแปลกๆมากมายจากผู้คนที่อยู่รอบข้างเขา...จนมีผลกระทบกับความคิดของเขาในตอนโต ตัว Herbert มีบทหนังที่ทำให้ชายคนนี้มีความคิดแปลกแยกจากผู้คนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว...พอมาได้เจอเรื่องเล่า คัมภีร์ หรือตำนานอภินิหารอะไรเข้าหน่อย ก็เลยไปกันใหญ่ แม้แต่ตอน Herbert เข้าไปจีบผู้หญิงด้วยจดหมายรัก ผมว่า วิธีการให้จดหมาย...ก็ยังดูพิลึกๆเลย อย่างเดียวที่ผมรู้สึกว่า เขาดูจะเป็นปรกติที่สุดในช่วงวัยรุ่นก็คือ ตอนที่เขาขอดูส่วนต่างๆของผู้หญิงเพราะความอยากรู้อยากเห็น (แต่ออกแนวหนุ่มโรคจิตแทน...เหมือนวัยรุ่นชายทั่วไป) นอกนั้น ดูออกจะเพี้ยนๆอยู่ตลอดเวลา คงไม่ต้องพูดถึงท่าทางเดินในตอนเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนของเขานะครับที่เดินได้เหมือนนกกระจอกเทศมากๆ...จนคนในหมู่บ้านล้อเลียนเขาว่า Ostrich ผมว่า นักแสดง Subhasish Mukherjee ในบท Herbert ให้การแสดงความเพี้ยนด้วยท่าทาง หน้าตา และแววตาได้เต็มร้อย...ท่ามกลางอารมณ์ความตั้งใจและเจตนาที่บริสุทธิ์ ผมว่า หนังเรื่องนี้เป็นการเสียดสีสังคมปัจจุบันที่คนดีแต่มีวิธีการนำเสนอที่ไม่ถูกที่ถูกทาง บางครั้ง...ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมเช่นกัน
ทำให้ตอนกลางเรื่องผมหลับไปเลย ให้ตายเถอะ 5555+
แต่เท่าที่ดูและจับใจความได้นี่ผมก็ชอบในแนวคิดของหนังเรื่องนี้นะครับ รวมไปถึงเนื้อเรื่องหลังจากที่ทั้งคู่ได้ห่างกัน