ตี๋หล่อมีเสน่ห์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ก็แค่คนๆหนึ่งที่ชอบดูหนัง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้อัพเดตข้อมูลอะไรเพิ่มแล้วนะครับ


Group Blog
 
 
มกราคม 2550
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
15 มกราคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ตี๋หล่อมีเสน่ห์'s blog to your web]
Links
 

 

Hukkle หนังชีวิตเรียบๆของผู้คนในหมู่บ้านฮังการีโดยที่ผู้ชมไม่ได้ยินเสียงคนพูดเลย แต่ทุกอย่างไม่ยังจบ



Hukkle

★★★★★★★★★ 9.0/10

เป็นหนังปฏิวัติความรู้สึกในรอบหลายปีและทำผมให้รู้ว่า “คน พืช สัตว์ สิ่งของ และทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีค่าเท่ากัน...ก็ในหนังเรื่องนี้” นี่คือ หนังที่ไม่มีคำพูดใดๆของมนุษย์หรือบทสนทนาให้คนดูได้ยินเลย...ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง (ซับไทเทิ้ลภาษาอังกฤษ...จึงไม่จำเป็น) นอกจากภาพการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเรียบง่ายของชาวบ้านในชนบทแห่งหนึ่งที่ประเทศฮังการี ตั้งแต่ชายแก่หลังค่อมชอบนั่งสะอึกอยู่หน้าบ้านบ่อยๆ ชายหนุ่มรับหน้าที่ขนสัมภาระด้วยเกวียน สาววัยรุ่นเลี้ยงแกะ กลุ่มหญิงวัยกลางคนนั่งทำงานหน้าเครื่องเย็บผ้าในโรงงาน กลุ่มผู้ชายที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ...จับกลุ่มนั่งคุยบ้าง ไม่ก็เล่นโบว์ลิ่งกลางแจ้งบ้าง ยายแก่ต้มน้ำทำกับข้าวอยู่ในครัว ภรรยาที่เฝ้าสามีนอนไม่สบายอยู่ที่บ้าน งานศพ ตำรวจ และงานแต่งงาน ทั้งหมดคือ เรื่องราวชีวิตเรียบง่ายของคนในหมู่บ้านนี้ ระหว่างดู ผมรู้สึกว่า มันคือความบันเทิง...ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้ ยังรู้สึกเหมือนหนังสารคดีอีกเช่นกัน...ก็อาจมีส่วน หรือจะเป็นหนังเงียบเรื่องหนึ่ง...ก็อาจจะจริง แต่ที่ตัวหนังทำได้โดดเด่นที่สุดของที่สุดและที่สุดแล้ว ก็คือ การทำให้สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทุกอย่างในเรื่อง (ซึ่งดูเหมือนไม่มีความหมายอะไร) กลับมีค่าขึ้นมาในทุกๆฉาก และคนดูต้องคอยสังเกตกันตลอดเพราะทุกอย่างมันมีความหมายหมด มีทั้งที่คนดูสามารถรับรู้กันตรงๆและรับรู้ผ่านความหมายแฝง...ผ่านเทคนิคการจับภาพเคลื่อนไหวของทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวกล้องเน้น “ในระยะกระชั้นชิดกับสิ่งใดๆก็ตามในภาพ...แบบเห็นกันจะจะราวกล้องจุลทรรศน์ขยายโมเลกุล” กันไปเลย

ความหมายที่คนดูรับรู้กันตรงๆก่อน ก็เช่น ฉากแรกที่งูหางกระดิ่งเลื้อยออกจากโพรงเพื่อรับแสงแดด ตัวหนังจับภาพเกล็ดงูตอนอยู่ในโพรงแบบเห็นเต็มเกล็ดในระยะห่างกล้องไม่กี่นิ้วเท่านั้น (ยังชอบที่หนังแอบสื่อความเป็นอสรพิษ แต่ไม่บอกกันตรงๆด้วย) ต่อด้วยลูกอัณฑะของหมูที่แกว่งไปมา...ขณะที่หมูเดินตามเจ้าของอยู่กลางถนนในหมู่บ้าน กล้องจับภาพอัณฑะระยะประชั้นชิดแบบบังจอไปทั้งโรง (ทีแรกผมไม่รู้ว่า มันคืออะไร พอกล้องเริ่มขยายมุมกว้างออกมา...มันกลายเป็นฉากขำสนั่นประจำเทศกาลทีเดียว) ฉากปั่นน้ำ ผสมเครื่องดื่มและทำกับข้าวของหญิงชราในครัว ต่อด้วยฉากจักรเย็บผ้าที่ถ่ายตัวเครื่องและด้ายกันแบบเน้นๆ ยังมีขั้นตอนการทำน้ำผึ้งที่ตัวผึ้งแทบใหญ่ล้นทะลักออกนอกจอโรง ฉากถีบจักรยานของหญิงส่งพัสดุ...ที่เห็นซี่ล้อเป็นซี่ล้อจริงๆ ฉากปลาตัวหนึ่งที่เผลอไปกินเหยื่อของนักตกปลาเข้า ฉากจ่อภาพไปใกล้ๆเมล็ดพืชตั้งแต่อยู่ใต้ดินจนงอกโตเป็นต้นไม้ใหญ่ออกดอกออกผลอย่างรวดเร็ว ฉากปิดล็อคกลอนประตูรถและปิดฝากระโปรงเมื่อลูกหลานขับรถมาจอดแวะเยี่ยมตายายที่บ้าน และภาพถ่ายบรรดาสัตว์ที่ป้วนเปี้ยนอยู่ข้างชายแก่นั่งสะอึกหน้าบ้านแบบจ่อกล้องเข้าไปใกล้ๆ เช่น มดเดินเป็นทางยาว (ดวงตามด คนดูยังเห็นชัดเจน) แมลงบินเกาะที่ใบไม้ ไก่จิกหาอาหาร แมวนอนหาวอ้าปากกว้าง สุนัขตะกุยคุ้ยเขี่ยริมกำแพง เป็ดเดินอ้อนแอ้นไปมา เป็นต้น

และแล้ว ในบรรดาภาพเคลื่อนไหวต่างๆที่คนดูกำลังชมกันอย่างเพลิดเพลินนั้น มันมีความอำมหิตไม่เงียบซ่อนอยู่กับฉากต่างๆต่อไปนี้ ฉากแมวตัวหนึ่งดิ้นตายอย่างทรมาน...ในบ้านยายแก่ที่มีลูกหลานมาเยี่ยม ตัวหนังถ่ายภาพตอนมันดิ้นพล่านแบบห่างไม่เกินสองไม้บรรทัดจนคนดูเห็นแมวตาค้างตายกลางจอโรง (ทีแรกผมนึกว่า มันขี้เล่นด้วยซ้ำ จนเริ่มผิดสังเกตจากการดิ้นในลักษณะทุรนทุราย) ฉากที่หญิงคนหนึ่งเก็บใบพืชใส่ตะกร้า (ฉากนี้เหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าสังเกตดีๆ มันคือ ต้นตอความสุดสะพรึง) ฉากที่หญิงสาวคนหนึ่งเทน้ำในขวดทิ้ง...ขณะที่ยืนอยู่กับนายตำรวจเพื่อตามหาชายคนหนึ่งที่หายตัวไปอย่างลึกลับ (ความจริงบางอย่างปรากฏอยู่ใต้บึงข้างบ้าน) ฉากเล่นโยนโบลว์ลิ่งของกลุ่มคนหนุ่มและชายสูงอายุที่ว่างงาน พวกเขานัดเจอกัน (อ้อ ต้องบอกว่า ทุกครั้งที่ถ่ายภาพกลุ่มคนโยนโบลว์ตั้งแต่ฉากแรก กล้องเคลื่อนภาพจากมุมไกลตามแนวกำแพง...โดยเห็นคนยืนเรียงกันเป็นแนวยาวได้ประทับใจผมนะ) และจากกลุ่มที่เคยเป็นกลุ่มใหญ่เล่นกันหลายๆคน จำนวนคนกลับเริ่มหายไปจนเหลือเพียงคนเดียวที่โยนโบวล์อยู่ในภาพสุดท้ายตอนท้ายเรื่อง ฉากที่เหลือชายคนเดียวโยนโบวล์...บรรยากาศค่อนข้างเศร้าผสมสะเทือนใจด้วยภาพที่ถ่ายออกมาได้สวยอีกครั้งจากการเลื่อนกล้อง เพียงแต่คราวนี้เหลือชายหนุ่มแค่คนเดียวเป็นจุดโฟกัสในภาพสุดท้าย (แต่ฉากเหลือคนเดียว คิดได้สองทางนะ หนึ่งคือ บางคนอาจจะไปงานแต่งงานตอนท้ายเรื่องก็ได้ หรือสอง พวกเขากำลังจะจุดจุดจุดในไม่ช้า)

ฉากที่เริ่มแรงขึ้นก็คือ ชายแก่ (พ่อของนายตำรวจที่กำลังสืบสวนคดีการหายสาปสูญ) ถือถังน้ำเดินไปตามทาง แล้วล้มลงฟุบสิ้นใจคาพื้นถนนไปเลย ฉากที่เหล่าภรรยาและลูกสาวนั่งรายล้อมจ้องดูพ่อ (คนที่ตกปลาในบึง) กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ฉากเหล่าภรรยาต่างพาสามีไปหาหมอที่โรงพยาบาล (ช่วงรอยต่อเข้าสู่ฉากโรงพยาบาลนี้ หนังใช้เทคนิคจากเหตุการณ์ก่อนหน้าโดยใช้ฉากกลืนข้าวลงคอของชายตกปลา...แล้วทับซ้อนภาพกลายเป็นแผ่นฟิลม์เอ็กซเรย์ลำคอของคนไข้อีกรายในห้องพยาบาลทันที...เจ๋ง) หรือแม้แต่ฉากตัวกินหนอนใต้พื้นดินที่ถูกคนขุดดินใช้จอบพรวนขึ้นมาให้สุนัขกินอีกทอด...ก็ยังบอกความเป็นจริงของโลกด้านบนได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีการบอกใบ้ให้คนดูเห็นตั้งแต่ฉากแรกแล้วกับงูหางกระดิ่งที่เลื้อยโผล่ออกมานอกรู แล้วจ้องไปที่หมู่บ้านเล็กๆในหุบเขา (ซึ่งหนังกำลังเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านนี้...ให้คนดูได้เห็น) เพียงแต่คนดูอาจเพลินไปกับเทคนิคภาพไม่มีเสียงขณะเล่าเรื่อง โดยหารู้ไม่ว่า ในวิถีชีวิตธรรมดาของผู้คน การเจริญเติบโตของพืช การเคลื่อนไหวของสัตว์ สิ่งของที่ตั้งอยู่...ทุกอย่างแฝงความโหดร้ายอย่างเลือดเย็น ผมทึ่งกับวิธีการนำเสนอหนังเรื่องนี้มากเนื่องจากไม่มีบทพูดเลย แต่ซ่อนปมไว้ในฉากต่างๆที่ดูเหมือนไม่มีอะไร...นอกจากการใช้ชีวิตของผู้คน และแม้จะมีบทสนทนา...มันก็เพียงแว่วเบามากจนผู้ชมไม่มีทางรู้แน่นอนว่า ชาวบ้านกำลังพูดอะไรกันอยู่ (แม้แต่ผู้ชมฮังการีเองก็ตาม)

ฉากสุดท้ายที่นายตำรวจนั่งคอตกอยู่ในงานแต่งงาน (ฉากนี้คนดูจะได้ยินเสียงร้องเพลงรื่นเริงเป็นครั้งแรก ไม่ใช่เสียงพูดนะครับ แต่เป็นเสียงร้องเพลงในงานแต่งงาน) เขากำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะหนึ่งในผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม...อาจรวมถึงจุดจุดจุดด้วย
อ้อ ติอยู่นิดๆหน่อยๆ ผมว่า ฉากที่มีแผ่นดินไหว ผมชอบนะ ทุกอย่างมันดูสมจริงกับภาพรอยร้าวที่ถ่ายใกล้ๆ แต่พอมีเครื่องบินโผล่ออกมา จริงๆ มันก็ดูเท่ห์ดีกับภาพสโลโมชั่นเหนือลำธารด้วยความเร็วสูงกับการบินโฉบผ่านจอหนัง เพียงแต่ประเด็นเครื่องบินมันตัดกับวิถีชีวิตหมู่บ้านมากไปหน่อย (จริงๆ หนังอาจมีความหมายแฝงอยู่กับฉากนี้ ยังไงก็ตาม ถ้ามีแค่แผ่นดินไหวอย่างเดียว...น่าจะดีกว่า) และที่ลืมไม่ได้ก็คือ ชายแก่ที่รับบทโดย Ferenc Bandi สะอึกไม่หยุดหย่อนได้เท่ห์เหลือหลาย แถมมีรอยยิ้มที่น่ารักมากมายอยู่ตลอดเวลาด้วย (คนในรูปโปสเตอร์ไง) สุดท้ายครับ และนี่คือหนังที่ผู้กำกับ György Pálfi (ทั้งเขียนบทและกำกับเอง) ทำให้เรารู้ว่า “การสัมผัสและการรับรู้เรื่องที่เล่าด้วยภาพสนุกกว่าความเข้าใจเรื่องที่เล่าด้วยเสียง” ได้เลย




 

Create Date : 15 มกราคม 2550
2 comments
Last Update : 6 มิถุนายน 2552 12:31:54 น.
Counter : 1695 Pageviews.

 

ไม่รู้จักหนังนอกกระแสที่แนะนำมาสักกะเรื่อง เป็นหนังเทศกาลตอนปลายปีที่แล้วใช่ไหมครับ ผมได้ไปดูเรื่องเดียวเองคือ I don't want to sleep alone ของไฉ่หมิงเลี่ยง เพราะเป็นแฟนหนังเฮียไฉ่แกมานานแล้ว

หนังที่แนะนำมาแต่ละเรื่องน่าสนใจดีครับ แต่ไม่รู้จะหามาดูได้รึเปล่าเนี่ยซิ

 

โดย: das Kino 27 กุมภาพันธ์ 2550 14:10:05 น.  

 

ขอบคุุณครับ น่าหามาดู
kitchenaidmixerblackfriday

 

โดย: aomzon (aomzon ) 10 ตุลาคม 2554 19:10:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.