เบาหวาน โรคที่ป๊าให้มา..
อากง อาม่า อาโกว อาเจ๊ก อาป๊า... 99% ของตระกูล ป่วยด้วยโรคเบาหวาน...
จำความได้ว่าตอนฉันอายุ 7 ขวบ อาม่า ถูกตัดขา ป่วยเป็นเบาหวาน แต่เสียชีวิตในอีกไม่นาน..ตอนนั้นยังเด็ก ยังไม่เข้าใจอะไร พอเริ่มโต เริ่มเห็นป๊ากินยาทุกวัน กินมาเรื่อย ๆ ป๊าผอมลง พอป๊าเริ่มอายุเข้าใกล้ 60 ตาฝ้าฟาง รู้แหละว่าเป็นเบาหวาน...แต่ก็ยังไม่สนใจอะไรอีก พอถึงวันรวมญาติ ไม่ว่าจะวันตรุษ วันสารท วันเชงเม้ง อาโกว..ชอบถามว่า "เมื่อไหร่ฉันจะผอมซะที...เมื่อไหร่จะมีแฟน...บราๆๆๆ" ก็ยังคิดว่าถามตามประสาผู้ใหญ่เป็นห่วงลูกหลาน
ที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตอย่างหนัก มันเริ่มหนักจริง ๆ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ก็ตอนที่ฉันเรียนไป ทำงานไป หนักชนิดที่ว่านอนตอนตี 3 ตื่นมา 7 โมงเช้าไปเรียน ตกเย็น สังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนอย่างไม่ขาดสาย นั่นหมายความว่า ฉันรับแอลกอฮอล์อย่างหนักเข้าร่างกาย ถึงขั้นว่าไปเที่ยวผับกลับบ้านตีสาม ก็มาเปิดคอมเขียนการบ้าน..เป็นแบบนี้มา 5 ปี(แอบคิดถึงวันเหล่านั้นจัง...)
พอเรียนจบ ได้งานทำ ชีวิตก็ยังหนักอยู่ เพราะพอเริ่มทำงาน นั่นคือบทพิสูจน์ความสามารถ พิสูจน์เพื่อให้เจ้านายยอมรับ และพร้อมจะเป็นหัวหน้าในวันข้างหน้า ซึ่งฉันก็ขึ้นมาเป็นหัวหน้าไม่นานนัก ก็ยังคงต้องทำงานหนักกันต่อไป...ทำงานดึก อดหลับอดนอน เดินทางบ่อย หิวก็กิน มีอะไรกินแบบนั้น มาม่าถือเป็นอาหารหลักยามดึก ซึ่งก็เป็นแบบนี้อยู่หลายปี...
เมื่อปีที่แล้วพฤติกรรมที่สะสมมาตลอดกว่าสิบปี เริ่มเผยอาการให้เห็น...เหนื่อยง่าย ปวดหัวบ่อย ๆ หัวใจมันร้องจี๊ด ๆ พูดแค่สิบห้านาทีก็หอบ...แต่ๆๆๆๆๆ รู้อะไรไหม๊..ขณะที่มีอาการเหล่านี้ ผู้คนรอบข้างต่างทักว่า.. "ทำไมผอมลง????...ไปทำอะไร...????" เฮ๊ย !!! มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเรายังนอนดึก กินเหมือนเดิม บางทีก็กินมากกว่าเดิม..แล้วมันจะผอมลงได้ไงฟร๊ะ...
พอมีคนทักมากเข้าๆๆๆ ประจวบกับที่ที่ทำงานมีตรวจสุขภาพ..นั่นแหละเป็นปีแรกที่ฉันยอมลงชื่อ เข้าคิวเจาะเลือด ตรวจฉี่ (เว้นแต่ตรวจอึ ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)... เริ่มกันที่โต๊ะแรก ตรวจความดัน.... 170 / 110 ป๊าดดดดดด อะไรมันจะสูงปานนั้น นอกจากจะได้ความดันสูงแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ตรวจยังบ่นๆๆๆๆๆๆ บ๊น บ่น ไม่รู้จะบ่นอะไรกันนักหนา หน้าตาก็ไม่ได้เป็นป้าซะหน่อย เฮ้อ.. ถัดมาโต๊ะที่สอง เจาะเลือด เจาะเลือดไม่ได้เจ็บ แต่ดูดเอาไปสามหลอด โอวววว...เยอะแท้ ตรวจเสร็จ เป็นอันว่ากินข้าวได้...มื้อเช้า กินแหลกซิคะ รออะไร
และในเย็นวันนั้นเอง..ฉันก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเบอร์แปลก ๆ พูดขึ้นว่า "คุณ..ใช้ไหม๊คะ...เนี่ยคุณ ไขมันสูงมากเลยนะ เนี่ยหลายชั่วโมงแล้วเลือดยังขุ่นอยู่เลย...อยากให้มาเจาะเลือดตรวจใหม่นะคะ" อุต๊ะ !!! ได้ยินเสียงจากปลายสายแบบนี้ จิตตกสิคร๊าาาคุ๊ณ...เฮ้อ เจาะใหม่ก็เจาะใหม่ฟร๊ะ...ทำใจแล้วล่ะ ผลจะเป็นยังไง ยังไงก็ต้องไปหาหมออยู่ดี
ผลตรวจออกมาแทบกรี๊ดหนักกว่าเดิม ครั้งที่ 1 เมษายน 2559 ไตรกลีเซอไรด็ 1297- กลูโคส 214-
อู๊วแม่เจ้า สูงจนรับไม่ไหว บอกตัวเองว่า "ฉันยังตายไม่ได้นะเว๊ย..) ถือผลตรวจดิ่งตรงไปโรงพยาบาลทันทีค่าาาาา พอเข้าไปห้องตรวจ หมอผู้ชาย วัยกลางคน ท่าทางนิ่ง ๆ ขรึม ๆ มีน้ำอัดลมอยู่บนโต๊ะ..ไม่พูดมาก ไม่บ่น ชัดถ้อยชัดคำ พูดแค่ว่า..."คุณเป็นเบาหวานนะ..งดของมัน น้ำตาล ออกกำลังกาย เดือนหน้ามาดูกันใหม่.."
เฮ๊ย อะไรวะ พูดแค่นี้ ตามหลักการที่หาได้ในกูเกิ้ลเป๊ะ...อุทานในใจดังๆ เชี่ยยยย... "นั่นไง ป๊าทิ้งไว้ให้แล้วไง...ป๊านะป๊า" แล้วก็ได้ยาเบาหวาน ความดัน และไขมันมาตามระเบียบ
ในช่วงเดือนแรก ไม่สิ ช่วงอาทิตย์แรก ฉันโคตรระมัดระวังในการกิน สลัด ผลไม้ มาหมด ส่วนเนื้อสัตว์กินแต่ปลา ไก่ หมูมันๆ ไม่ได้แอ้มหรอก ... แต่มันเป็นแค่ช่วงอาทิตย์แรกเท่านั้นแหละ แล้วต่อมาเป็นไง ก็เป็นเหมือนเดิม กินแบบเดิม แต่ลดปริมาณลงนิด ของหวานไม่แตะ กาแฟลาขาด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนขาดไม่ได้ น้ำอัดลม นี่เลิกเลย..ไม่แตะเลย
เจาะเลือดครั้งที่ 2 ผลดีขึ้นมาหน่อย 27 พฤษภา 2559 ไตรกลีเซอไรด์ 335 กลูโคส 169
ถึงจะลด แต่หมอก็ยังไม่พอใจ เพิ่มยาค่าาาาา กินยาตัวเดิม แต่เพิ่มยาเบาหวานเป็น 2 เม็ด ตอกย้ำความเป็นเบาหวานจังวุ้ย...
เดือนถัดมา ชิวสิครัช แหม เห็นตัวเลขทุกอย่างลด ถึงจะลดน้อย แต่ก็ลดน่า เดี๋ยวมันก็คงลดลงอีกตามลำดับ..เพราะความชะล่าใจ นั่นเลยทำให้กินไม่ยั้งเลยค่าาา กินปกติ๊ ปกติ กินเหมือนตัวเองไม่ได้ป่วย คิดแค่ว่า กินไป เดี๋ยวก็กินยา คงไม่เป็นไรหรอก ของคาวนี่ไม่เท่าไหร่ แต่ของหวานนี่สิคะ หนักเลย...โอริโอ้ ช้อคโกแลต น้ำหวาน น้ำตาลเพียบ อาร๊ายยย กินไป ก็กินยา ไม่เป็นไรหรอก...
เจาะเลือดครั้งที่ 3 27 มิถุนายน 2559 กลูโคส 154 ไตรกลีเซอไรด์ 505
ได้กรี๊ดกันอีกครั้งนะครัชคุ๊ณ ไขมันมันขึ้น 505 สูงปรี๊ดดดด ตาย..พรุ่งนี้จะเป็นยังไงล่ะ..มิน่าล่ะ อาการหัวใจร้องจี๊ด ๆ มันก็กลับมาอีก
พรุ่งนี้สินะ ต้องไปหาหมอ และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราต้องกลับมาเขียนบล็อคอีกครั้ง อย่างน้อยก็ได้บันทึกความระยำของพฤติกรรมตัวเอง หรือถ้าโชคดีหน่อย ก็อาจจะเป็นการบันทึกความสำเร็จของตัวเองก็ได้...ในเมื่อบรรพบุรุษให้มาแบบนี้ ก็ต้องอยู่กับมันไป ดูแลมันไป ต่อสู้กับตัวเองไป...
แล้วมาดูกัน พรุ่งนี้หมอจะด่าว่าไง กร๊ากก (หัวเราะทั้งน้ำตาเลย...)
28 มิถุนายน 2559 9 โมงสิบห้านาที
Create Date : 28 มิถุนายน 2559 |
|
6 comments |
Last Update : 28 มิถุนายน 2559 9:17:18 น. |
Counter : 1011 Pageviews. |
|
|
|
คิดว่าตัวเองก็คงไม่รอด