คุณรู้จักสามจังหวัดชายแดนใต้ว่ายังไงบ้างคะ
ก่อนหน้านี้...ฉันเคยเขียนบทความถึงชายแดนใต้
ว่า...เป็นพื้นที่ที่หายใจด้วยอากาศสีแดง
นั่น...เป็นตอนที่ฉันลงไปสัมผัสพื้นพิเศษนี้ใหม่ ๆ เมื่อหลายปีก่อน
ต่อเมื่อลงทำงานในพื้นที่ ได้รู้จักผู้คนที่นั่นมากมาย
ได้ร่วมทานอาหารตามแบบบ้าน ๆ ที่ยังใช้มือเปิป
ได้รับการต้อนรับในฐานะแขกผู้มาเยือน ด้วยน้ำชาและขนม
อันเป็นวัฒนธรรมที่น่ารัก
ได้ไปกินเหนียววันแต่งงาน ได้ไปช่วยงานเลี้ยงน้ำชาโรงเรียนตาดีกา
ได้เรียนรู้การดำรงตนตามหลักศาสนาอิสลาม
ได้รับการช่วยเหลือ ได้รับความไว้วางใจจากคนมุสลิมมากมาย
ได้รับความรักจากเด็ก ๆ ในพื้นที่ชายแดนใต้
วันนี้...ฉันเชื่อว่า พื้นที่ชายแดนใต้หายใจกันด้วยอากาศสีชมพู
"รุสนี" เป็นนวนิยายที่ฉันรอคอย
ทันทีที่เห็นเธอบนหน้า FB ของพี่เวียง สามัญชน
ฉันก็ตกหลุมรักหญิงสาวในฮิญาบสีส้ม
ชุดและผ้าคลุมบนปกนวนิยายเรื่อง "รุสนี"
ทำให้ฉันคิดถึง "เด๊ะนี" หญิงสาววัยเดียวกับฉัน
หากเธอเรียกแทนตัวเองว่า "เด๊ะนี" กับทุกคน
"เด๊ะ" แปลว่าน้องค่ะ ส่วน "นี" เป็นชื่อเล่นของเธอ
ที่ย่อมาจาก "ซูไฮนี" หญิงสาวที่มักคลุมผมด้วยผ้าคลุมสีส้ม
และสวมชุดกูรง ซึ่งซื้อมาจากร้านเสื้อผ้ามือสอง
"เด๊ะนี" ไม่มีอะไรที่เหมือน "รุสนี" ในนวนิยาย
ฉันเพียงแต่คิดถึงเธอขึ้นมาเฉย ๆ คิดถึงชีวิตของเธอ
ที่น่าสงสารไม่ต่างไปจากชีวิตของ "อาริตา" "ซูไฮมิง" "กูนิง"
และอีกหลายชีวิตใน "รุสนี"
ทันทีที่อ่านคำนิยมของพี่มนตรี ศรียงค์
ความคิดของฉันกระโดดไปถึงเรื่องที่ "เด๊ะเยาะห์"
น้องสาวคนหนึ่งที่ตะโละกาโปร์ เล่าเรื่องโจรนินจาให้ฟัง
เด๊ะเยาะห์บอกว่า...ก่อนเหตุรุนแรงจะประทุขึ้นในปี 2547
ชาวบ้านในหลาย ๆ พื้นที่ หวาดผวากับโจรนินจาอยู่แรมปี
โจรนินจาเป็นเหมือนพวกมีเวทย์มนต์คาถา
แต่บังเอิญว่าพ่อของเด๊ะเยาะห์ ซึ่งเสียไปแล้วนั้นก็มีคาถาอาคมเหมือนกัน
"มะ" หรือแม่ของเด๊ะเยาะห์ เคยเล่าให้ฉันฟังว่า...
พ่อของเด๊ะเยาะห์ลงคาถาไว้ที่บ้านไม่ให้ใครเข้ามาทำอันตรายคนในบ้านได้
ในคืนที่โจรนินจาปรากฏตัวที่หมู่บ้านริมทะเลของตะโละกาโปร์
มีหลายคนเห็นเงาดำสูงใหญ่ ยืนอยู่หน้าบ้านเด๊ะเยาะห์
เด๊ะเยาะห์และแมะเชื่อว่า...สิ่งนั้นคือสิ่งที่ปกป้องครอบครัวของเธอไว้จากโจรนินจา
แม้มีสิ่งยึดเหนี่ยวใจว่ามีคาถาของพ่อปกป้อง
แต่เด๊ะเยาะห์เองก็ยังอยู่อย่างหวาดกลัว
เช่นกันกับเด๊ะนี...เพื่อนสนิทของเด๊ะเยาะห์
ที่เล่าให้ฟังถึงความหวาดผวาที่เธอและครอบครัวมีต่อโจรนินจา
ฉันนึกถึงเรื่องเล่าของบาเรน จากตำบลป่าไร่ อำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี
บาเรนบอกว่า ก่อนเกิดเหตุปะทะหลายจุดในพื้นที่ชายแดนใต้
วัยรุ่นในหมู่บ้านไปรวมตัวกันตอนค่ำ ๆ เสมอ
เพื่อไปเรียนวิชาป้องกันตนเอง ฟันแทนไม่เข้า
จากโต๊ะครูที่เดินทางมาจากรัฐกลันตัน ในประเทศมาเลเซีย
ค่ำคืนนั้น...ก่อนหัวรุ่งวันที่เกิดเหตุการณ์
มีนัดดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์อะไรสักอย่างที่จุดรวมตัวกัน
โชคดีว่าบาเรนไม่สบาย โชคดีที่บาเรนต้องอยู่ดูแลแม่ที่ไม่สบาย
บาเรนจึงไม่ได้ไปดื่มน้ำในพิธีกรรมดังกล่าว
และบาเรนไม่มีรายชื่ออยู่ในผู้สูญเสียชีวิตจากจุดเกิดเหตุกรือเซะ
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 วันที่ถูกเรียนขานว่า "อรุณรุ่งสีเลือด"
นึกถึงเรื่องเล่าของ "ปู่รุ่ง" ที่ลงไปถึงพื้นที่เกิดเหตุสะบ้าย้อยช่วงใกล้ค่ำวันเดียวกัน
ปู่รุ่งบอกว่า...แววตาชาวบ้านเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
ที่ลูกหลานถูกยิงตาย ทั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้ก็ไม่มีอาวุธอื่นใด
นอกจาก "พร้า" สิ่งที่ผู้ชายแทบทุกคนในพื้นที่ล้วนพกติดตัว
แววตาของชาวบ้านที่เห็นแล้วรู้สึกสะเทือนใจกับเหตุที่เกิดขึ้น
ในความเจ็บปวดของชาวบ้าน ที่เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือ ญาติ ๆ
ที่ไม่เคยได้รับการติดตาม ไม่ได้รับการเยียวยาใจ
เด็กที่เคยมีแววตาแบบนี้ล่ะ ที่สองปีมานี้กลายเป็นแนวร่วมกลุ่มใหม่
ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ บึ้มแล้ว...บึ้มเล่า...
และเสียงอันแผ่นเบาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของทหารที่เฝ้าป้อมยาม
ก่อนที่กลุ่มวัยรุ่นจะกรูเข้ามา...สถานการณ์ความไม่สงบในหลายจุด
ได้ถูกรายงานให้เจ้าหน้าที่รัฐ ดูแลพื้นที่ให้ดี
เป็นความพลาดของกลุ่มเด็ก ที่ไม่ได้ปฏิบัติการณ์เวลาเดียวกับกลุ่มอื่น
เป็นความระแวงของเจ้าหน้าที่ ที่กลัวจะเกิดเหตุการณ์เดียวกับหลาย ๆ จุด
เป็นความกลัว...ที่ทำให้ก่อเหตุสะเทือนใจนั้นไป
ความกลัว...ความหวาดระแวงที่ถูกผลิตซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
...จากความเขลาของเจ้าหน้าที่รัฐ
ฉันเคยอ่านบางส่วนของภาคแรกใน "รุสนี" มาแล้วจากเรื่องสั้น
ที่ถูกตีพิมพ์ลงใน DeepSouth BookaZine เล่ม 1
ยังจำความรู้สึกตอนที่อ่านได้ดีว่า...หายใจไม่ทั่วท้อง
สงสาร "รุสนี" กับ "ยะยาห์"
ชีวิต "รอกิบ" ที่มีอยู่จริงหลายต่อหลายชีวิต
รวมถึงชีวิตของพ่อเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นโต๊ะอิหม่าม
"อูมา" ร้องขอให้ฉันคลุมผ้าปิดผมให้มิดชิดตอนเราเดินทางไป "รามันห์" ด้วยกัน
จากนั้น "อูมา" เล่าให้ฟังว่าตอนเกิดเหตุการณ์ใหม่ ๆ
เช้าหนึ่งมีไข่และข้าวเหนียว...สัญลักษณ์ของความตายแขวนไว้หน้าบ้าน
พร้อมจดหมายขู่ว่าเป็นโต๊ะอิหม่ามภาษาอะไรส่งลูกไปเรียนโรงเรียนคนไทย
ตั้งแต่วันนั้น...พ่อไม่ให้อูมากลับมาบ้าน...และไม่นานพ่อก็หายตัวไปเงียบ ๆ
หลังจากชายชุดดำเข้ามาคุยกับพ่อได้ 3-4 วัน
พ่อของอูมาหายไปนาน 2 เดือน และกลับมาในสภาพที่จิตใจไม่ปกติ
ตั้งแต่นั้น...พ่ออูมาไม่เคยนอนอยู่บ้าน ทุก ๆ ค่ำ หลังละหมาดเสร็จ
พ่อจะไปนอนค้างที่ขนำเล็ก ๆ กลางทุ่งนา
อูมามารู้ตอนหลังว่า...พ่อทำแบบนี้เผื่อว่าทุกคนในบ้านจะปลอดภัย
แน่นอน...อูมา...พ่ออูมา...และทุกคนในครอบครัวของอูมา
รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนที่ "รอกิบ" พ่อของ "รุสนี"เองก็รู้สึก
แน่นอน...ทุกคนในหมู่บ้านของอูมาที่อำเภอรามันห์ จังหวัดยะลา
ต่างมีความรู้สึกชนิดเดียวกันกับคนในหมู่บ้านแคและ
ที่อยู่เชิงเขาบูโด ของจังหวัดนราธิวาส
ฉันอ่าน "รุสนี" แบบรวดเดียวจบในค่ำคืนก่อน
หลังจากที่ได้รับหนังสือมา ก็เริ่มอ่านสมกับที่รอคอย
อ่านแบบลื่นไหล...ยิ่งอ่าน ตัวละครที่ปรากฏใหม่
ก็ชวนให้คิดถึงผู้คนอีกมากมายในชีวิตจริง
และยิ่งอ่าน...ยิ่งเห็นลายเซ็นต์ของพี่มนตรีในนวนิยายเล่มนี้
สำหรับฉัน...รุสนี...จึงไม่ใช่แค่นวนิยาย
หากเป็นบทบันทึกฉบับย่นย่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา
ใช่...เหตุความรุนแรงนี้...กำลังจะก้าวสู่ทศวรรษในไม่กี่ข่าวข้างหน้า
แต่เรื่องราวของผู้คนบนแผ่นดินสีชมพู...ก็ยังคงถูกผลิตซ้ำต่อไปในกงล้อที่ชื่อชะตากรรม
สี่ปีที่สัมผัสพื้นที่ชายแดนใต้
หัวใจฉันยังคงสั่นไหว และเปราะบางต่อความตายของทุกชีวิต
ฉันไม่เชื่อใน พรก.ฉุกเฉิน ว่าสามารถช่วยให้สถานการณ์คลี่คลาย
เราจะสร้างสันติสุขได้อย่างไร...ในเมือกระบอกปืนและอาวุธสงครามเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป
เราจะสร้างสันติสุขได้อย่างไร...ในเมื่อบางคนที่กล่าวอ้างว่ากระทำการในนามสันติสุข
...เป็นคนเดียวกับที่สร้างความเจ็บร้าวในใจคนมากมาย
เราจะสร้างสันติสุขได้อย่างไร...ในเมื่อเราไม่เคย "เข้าใจ" ซึ่งกันและกันเลย
อ่าน "รุสนี" เถอะค่ะ...เพราะฉันเชื่อว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เราล้วนมีส่วนช่วยให้สามจังหวัดชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบงามเช่นอดีตกาลอีกครั้ง!!!
//www.facebook.com/media/set/?set=a.1796528924011.2082394.1563365584&type=3