การทำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง การทําปุ๋ยอินทรีย์
การทำปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง มีรายละเอียดประกอบอะไรบ้าง และอัตราส่วนที่ใช้แต่ละชนิด และการทำปุ๋ยอินทรีย์ในเชิงพาณิชย์ใช้เงินลงทุนเท่าใดและสถาบันการเงินใดบ้างที่สนับสนุน
อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการผลิตปุ๋ยคุณภาพสูง 1. พลั่ว 2. จอบ 3.สายยางรดน้ำ 4. เครื่องชั่งน้ำหนัก 5. เครื่องตีป่น 6. เครื่องผสมปุ๋ย 7. เครื่องอัดเม็ดปุ๋ย 8. สายพานลำเลียงปุ๋ย 9.คราด 10.เครื่องเย็บกระดาษ 11. เชือกฟาง 12. ถุงพลาสติก ขนาด 24*38 นิ้ว 13. กระสอบปุ๋ย(นอก) 14. ด้ายเย็บกระสอบ 15. พลาสติกสำหรับคลุมกองปุ๋ยหมัก 16. รถเข็น 17. ถังพลาสติก
วัสดุที่ใช้ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง 1. มูลโค,กระบือ 2. ปุ๋ยร็อกฟอสเฟต 3.ปูนขาว 4.ปุ๋ยสูตร 46-0-0 5. ปุ๋ยสูตร 19-19-19(แม่ปุ๋ยผสมเสร็จ) 6. ปุ๋ยสูตร 18-46-0 7. ปุ๋ยสูตร 0-0-60 8. ปุ๋ยสูตร 16-20-0 วิธีทำปุ๋ยหมัก
1.ใช้ปุ๋ยคอก(มูลโค,กระบือ) จำนวน 1 ตัน นำมากองไว้ โรยด้วยปูนขาวและร็อกฟอสเฟต บนกองปุ๋ยคอกอย่างละ 25 กิโลกรัม ใช้จอบผสมให้เข้ากัน ระหว่างผสมให้หว่านปุ๋ยยูเรีย(สูตร 46-0-0) จำนวน 2-5 กิโลกรัม และรดน้ำไปด้วยการรดน้ำรดให้พอชุ่ม อย่าให้เปียกน้ำมากจนเกินไป แล้วคลุมด้วพลาสติก ใช้ก้อนหินหรือไม้ทับให้แห้ง
2 หลังจากหมักไปแล้ว 3 วัน ให้กลับกองปุ๋ยหมัก ครั้งที่ 1 และครั้งที่2,3,4 ห่างกันครั้งละ 7 วัน หลังจากกลับปุ๋ยครั้งที่ 4 แล้ว 7 วัน ให้นำปุ๋ยออกตากแดดให้แห้ง ทำการคัดแยกเศษวัสดุที่ปนกับปุ๋ยคอก เช่น กระบก หิน ตะปู ฯลฯ ออกให้หมด
3. นำปุ๋ยคอกที่ผ่านการตากแห้งและคัดแยกเศษวัสดุอื่นออกแล้ว ไปตีป่น เก็บใส่ถุง ใช้เชือกฟางมัดปาก ถุงให้แน่น และนำไปเก็บไม่ให้ถูกแดดและฝน
4. นำปุ๋ยคอกที่ผ่านการบด มาผสมกับปุ๋ยเคมี ดังนี้ 4.1 ปุ๋ยคอกที่บดละเอียดแล้ว จำนวน 75 กก. 4.2 ปุ๋ยสูตร 46-0-0 จำนวน 10 กก. จะได้ธาตุไนโตรเจน 4.6 กก. 4.3 ปุ๋ยสูตร 18-46-0 จำนวน 5 กก. จะได้ธาตุไนโตรเจน 0.9 กก.ลาตุฟอสฟอรัส จำนวน 2.3 กก. 4.4 ปุ๋ยสูตร 0-0-60 จำนวน 5 กก. จะธาตุโปรแตสเซียม 3 กก. 4.5 ปุ๋ยสูตร 16-20-0 จำนวน 5 กก. จะได้ธาตุไนโตรเจน 0.8 กก.ธาตุฟอสฟอรัส 1 กก. หากใช้ส่วนผสมที่กล่าวมานี้ปุ๋ยอินทรีย์ 100 กก. จะมีธาตุอาหารหลักของพืช N= 6 กก. p=3 กก. และ K=3 กก. ซึ่งใช้กับพืชที่กำลังจะเจริญเติบโต เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ยางพารา และนาข้าว อัตราที่ใช้ 20 กก./ไร่ หรืออัตราที่ใช้มากน้อยขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินในขณะนั้น ส่วนใหญ่เกษตรกรจะหาซื้อปุ๋ยสูตรดังกล่าวได้ยากแนะนำให้ซื้อแม่ปุ๋ยผสมเสร็จได้แก่สูตร 19-19-19 โดยให้ผสมลงไปในปุ๋ยคอก จำนวน 20 กก. แทนปุ๋ยสูตร 18-46-0,0-0-60 และสูตร 16-20-0 ผสมกับยูเรีย สูตร 46-0-0 จำนวน 5 กก.และปุ๋ยคอก 75 กก.ซึ่งจะได้ธาตุอาหารหลักของพืชใกล้เคียงกัน นำส่วนผสมทั้งหมดลงในถังผสม เติมนำลงไปให้พอชุ่ม ปล่อยให้ผสมจนเข้ากันแล้วจึงปล่อยใส่สายสะพานลำเลียง เพื่อขึ้นไปยังเครื่องอัดเม็ดปุ๋ย
5. หลังจากอัดเม็ดปุ๋ยแล้ว ให้นำเมล็ดปุ๋ยที่ได้นำไปตากแดดให้แห้ง บรรจุกระสอบเย็บปากถุงเก็บรักษาไว้ในโรงเก็บที่สามารถกันแดดและฝนได้ เพื่อรอการจำหน่ายให้กับสมาชิกท่านผู้อ่านสงสัยว่าทำไมต้องใส่ปุ๋ยเคมีลงไปในปุ๋ยอินทรีย์ ทำไมไม่ทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ล้วน ๆ หรือทำเป็นปุ๋ยชีวภาพ จากการศึกษารายละเอียดทางวิชาการพบว่า
1. ปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินโปร่งร่วนซุย ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รากพืชซอนไซอาหารอาหารได้ง่ายขึ้น แต่ปุ๋ยอินทรีย์มีปริมาณธาตุอาหารที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี ธาตุอาหารของพืชที่อยู่ในปุ๋ยอินทรีย์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ เมื่อใส่ลงไปในดิน พืชจะไม่สามารถดูดไว้ใช้ประโยชน์ได้ในทันทีแต่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดินเสียก่อน แล้วจึงจะปลดปล่อยธาตุอาหารเหล่านั้นออกมาในรูปของสารประกอบ อนินทรีย์เช่นเดียวกับสารเคมี จากนั้นพืชจึงจะดูดไปใช้ประโยชน์ได้ การที่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์มาชดเชยธาตุอาหารพืชในดินที่สูญเสียไปกับผลผลิตจะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมหาศาลประกอบกับการปรับปริมาณการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อสร้างความสมดุลของธาตุอาหารพืชในดินทำได้ยากลำบากมาก
2.ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ มีความสามารถดูดธาตุอาหารพืชที่มีอยู่ในอากาศได้เท่านั้น เช่น ไนโตรเจน และฮอร์โมนพืชบางอย่างเท่านั้น แต่ไม่สามารถหาตุอาหารตามความต้องการของพืชได้ทั้งหมด
3.น้ำหมักชีวภาพ ได้จากน้ำหมักชิ้นส่วนของพืช สัตว์กับกากน้ำตาล ตุอาหารของพืชจะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณและวัสดุที่นำมาหมัก ธาตุอาหารพืชที่ถูกปลดปล่อยผ่านกระบวนการย่อยสลาย จะมีอยู่ในปริมาณที่น้อยมากทั้งยังทำให้ถูกเจือจางด้วยน้ำอีกประมาณ 10-100 เท่า เมื่อกระบวนการหมักสิ้นสุดลง จะทำให้น้ำหมักมีกรด 2 กลุ่ม คือ ถ้าหมักในระบบเปิดที่มีอากาศเข้าได้จะได้กรดน้ำส้ม(กรดอะซิติก)และยีสต์ ถ้าหมักในระบบปิดอากาศเข้าได้น้อยจะได้กรดนม(กรดแลคติก) และเชื้อแลคติกแบคทีเรีย เมื่อนำน้ำหมักไปราดลงดิน หรือฉีดพ่นพืช อาจจะได้ผลดีเนื่องจากสาเหตุดังนี้
3.1 ทำให้ศัตรูพืชลดลงชั่วคราว เพราะไม่ชอบกลิ่นหรือความเป็นกรด แม่เมื่อศัตรูพืชปรับตัวได้ก็จะมาทำลายพืชเหมือนเดิม
3.2 ในกรณีที่มีเกษตรกรมีการใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเดิมๆ อย่างต่อเนื่องทำให้การสะสมธาตุอาหารพืชบางตัวในดินมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟอสฟอรัสและโพแตลเซียม เมื่อหยุดใช้ปุ๋ยเคมี แล้วใช้น้ำหมักชีวภาพแทนพืชจะยังคงสมารถเจริญเติบโตได้
3.3 ในบางกรณี ดินมีความเป็นด่าง หรือธาตุอาหารของพืชบางตัวไม่ละลาย เมื่อใส่น้ำหมักลงไป จะทำให้สภาพดีขึ้นชั่วคราว
3.4 ในกรณีดินนั้นขาดาตุอาหารรองบางตัว และน้ำหมักนั้นมีธาตุอาหารรองดังกล่าวเข้าไปทดแทน ทำให้เกิดผลดีต่อพืช
3.5 มีฮอร์โมนพืชบางตัวที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นในกระบวนการหมักและปริมารที่เหมาะสมกับพืชนั้น จึงทำให้พืชเจริญเติบโตดีขึ้น
จากข้อมูลทางวิชาการดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มฯผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงขึ้นมาใช้เอง ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิต พืชมีธาตุอาหารเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ดินมีความร่วนซุย จากการผสมมูลสัตว์ ที่ผ่านกระบวนการหมักแล้ว นอกจากนั้นปูนขาวที่ใส่ลงไปในขั้นตอนตอนกระบวนการหมัก ยังช่วยในการปรับปรุงคุณภาพดินทางด้านเคมีได้อีกด้วย
ที่มา : //kmag.ku.ac.th/webboard/view.php?No=8
Create Date : 20 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2553 9:41:58 น. |
|
4 comments
|
Counter : 4267 Pageviews. |
|
|
|
โดย: เพ็ญ IP: 125.24.80.239 วันที่: 20 พฤษภาคม 2553 เวลา:10:47:50 น. |
|
|
|
โดย: Tanawat IP: 101.108.170.203 วันที่: 29 เมษายน 2554 เวลา:22:46:56 น. |
|
|
|
โดย: เเว้นบอย IP: 27.55.8.180 วันที่: 6 ตุลาคม 2555 เวลา:18:10:19 น. |
|
|
|
โดย: ผู้ก่อการดี IP: 27.55.8.180 วันที่: 6 ตุลาคม 2555 เวลา:18:11:46 น. |
|
|
|
|
|
|
Online 30-03-2553 #2
Stats
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|